“หนึ่งความคิด”
“สุรวิชช์ วีรวรรณ”
การเข้าไปช่วยทีมหมูป่าอะคาเดมี่ไม่ใช่เป็นเพียงการเอาใจช่วยของคนไทยในประเทศเท่านั้น แต่เป็นการเอาใจช่วยของคนทั่วโลกทุกชาติทุกภาษา และถือเป็นปรากฎการณ์ที่เป็นภารกิจร่วมของมนุษยชาติในยุคนี้ก็ได้
และน่ายินดีอย่างยิ่งที่นักเตะเยาวชนทั้ง12คน และโค้ชของพวกเขาได้ออกกลับมาอย่างปลอดภัย
แน่นอนว่าในความสำเร็จและยินดีนี้มีความสูญเสียของ จ่าเอกสมาน กุนัน อยู่ด้วย แต่คนไทยทุกคนและคนทั้งโลกจะต้องจดจำการเสียสละชีวิตครั้งนี้ของเขา แต่เหนือสิ่งอื่นใดเราจะต้องไม่ทอดทิ้งครอบครัวของเขาพ่อแม่ภรรยาให้อยู่ในภาวะที่โดดเดี่ยวไร้ที่พึ่งแล้วปล่อยให้เรื่องราวจางหายไปตามกาลเวลา
ภารกิจที่เป็นความมุ่งมั่นของจ่าสมานประสบความสำเร็จแล้ว ผมเชื่อว่าถ้าจ่าสมานรับรู้ได้เขาจะมองลงมาจากฟากฟ้าอย่างมีความสุข แต่เราต้องไม่ลืมว่าผู้ชายคนนี้ไม่ได้อยู่ตามลำพังเขามีครอบครัวที่ต้องดูแล ดังนั้นความมุ่งหมายของเขาหากมีชีวิตก็คือภาระต่อครอบครัวที่เราจะต้องช่วยกันสานต่อ ซึ่งเชื่อมั่นรัฐ หน่วยงานต้นสังกัด อดีตต้นสังกัด และประชาชนจะช่วยกันรับภารกิจในการดูแลครอบครัวของเขาต่อไป
และเราจะต้องจดจำรำลึกถึงวีรกรรมแห่งการเสียสละชีวิตครั้งนี้ของจ่าสมานตลอดไป ส่วนตัวผมอยากเห็นอนุสาวรีย์ในชุดมนุษย์กบของจ่าสมานที่หน้าถ้ำหลวง ดอยนางนอนเพื่อให้เขายังคงอยู่กับเราตลอดไป
การช่วยเหลือเด็กและโค้ชทั้ง13 คน ครั้งนี้ผมมองเห็นถึงความสวยงามและความหวังของมนุษยชาติ ซึ่งสะท้อนว่า ไม่ว่าคุณจะเป็นใครชาติไหนก็ไม่นิ่งดูดายต่อชะตากรรมของเพื่อนมนุษย์ที่ตกอยู่ในความยากลำบาก
หลายประเทศทั่วโลกต่างพากันติดตามภารกิจครั้งนี้อย่างเอาใจช่วย หลายชาติส่งคนมาสนับสนุน คนทั่วโลกต่างสวดมนต์ภาวนาอ้อนวอนพระเจ้าและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ตัวเองยึดถือ และช่วยกันคิดค้นการนำทั้ง13คนออกมาจากถ้ำซึ่งนักดำน้ำที่มีความเชี่ยวชาญระดับโลกเรียกมันว่า ยอดเขาเอฟเวอร์เรสของการดำน้ำ
ตอนที่เป็นข่าวใหม่มามีคนตำหนิเด็กอยู่บ้าง ทำนองว่า เป็นเด็กซนที่ดิ้นรนหาความเดือดร้อนให้ตัวเอง แต่เมื่อมองความเป็นจริงเด็กเหล่านี้เป็นเด็กที่ควรจะเอาเป็นแบบอย่าง พวกเขาใช้เวลาเพื่อเล่นกีฬา ปั่นจักรยานซึ่งเป็นวิถีที่หาได้ยากในเด็กยุคใหม่วัยเดียวกัน
การเข้าไปเที่ยวในถ้ำนั้นเป็นวิถีปกติของเขา หากเราได้ติดตามในโซเชียลมีเดียของพวกเขาเอง เขาเข้าไปกันมาแล้วหลายครั้ง ซึ่งเป็นการเรียนรู้ธรรมชาติของท้องถิ่นที่น่าสนับสนุนเมื่อเทียบกับเด็กกรุงเทพฯที่ใช้เวลาอยู่ในห้างสรรพสินค้าหรือแม้แต่เด็กต่างจังหวัดในปัจจุบันก็ไม่ต่างกัน พวกเขาเข้าไปก่อนถึงวันต้องห้าม แต่โชคร้ายต้องประสบกับภัยธรรมชาติที่มาก่อนฤดูกาลทำให้ต้องดิ้นรนเอาชีวิตรอดลึกเข้าไปเรื่อยๆ
ผมนึกไม่ออกนะครับว่า ตอนที่เขาติดอยู่นานวันเข้าโดยไม่รู้ชะตากรรมว่าผ่านไปกี่คืนกี่วัน แล้วไม่รู้ว่าข้างนอกกำลังดิ้นหาทางจะช่วยพวกเขาอยู่ พวกเขาทั้ง13คนที่ติดอยู่ในถ้ำอย่างไม่รู้ชะตากรรมคิดอะไรอยู่ในนั้น
บอกตรงๆ ว่าในช่วงแรกที่เวลาผ่านไปหลายวันผมเองก็แอบจิตตกกลัวว่าเด็กจะเอาชีวิตไม่รอด แต่เมื่อนักดำน้ำอังกฤษเข้าไปพบมันทำให้รู้สึกมีความสุขมากเมื่อทราบว่าพวกเขาทั้ง13คนยังมีชีวิตอย่างน่ามหัศจรรย์ด้วยการดำรงชีพด้วยน้ำที่หยดลงมาจากผนังถ้ำ
แต่เชื่อไหมครับว่า ทันทีที่มีข่าวว่าเด็กและโค้ชติดในถ้ำแล้วทหารเข้าไปหาทางเพื่อจะช่วยแก้ไข มีคำถามเกิดขึ้นมากมาย ผมคิดว่าคำถามที่ถามว่าทำไมจะต้องใช้ทหารในการกู้ภัยทำไมเราไม่มีหน่วยกู้ภัยของชาติ อาจจะไม่ใช่เรื่องที่ผิด ถ้าเราคิดแต่หลักการแบบหน้าที่ใครหน้าที่มันใครมีหน้าที่อะไรก็ทำอย่างนั้น แถมพวกนี้จะมีวิธีถามโดยมีข้อความอิงมาด้วยว่า แม้จะสงสัยแต่อยากให้เด็กออกมาเร็วๆ คือเห็นใจเด็กแต่ไม่เห็นด้วยกับวิธีการ แต่ถามว่ามันควรเป็นคำถามในสถานการณ์เช่นนี้หรือ
ผมไม่พูดถึงบางคนที่ตั้งคำถามเรื่องว่าสิ้นเปลืองงบประมาณไปเท่าไหร่ เพราะพวกนี้คงเป็นคนประเภทที่เงินสำคัญกว่าชีวิตมนุษย์ พวกเขาคิดแต่เรื่องเงินๆทองๆ แน่นอนล่ะมันจำเป็นในการดำรงชีวิตของทุกคน แต่มันจำเป็นกว่าชีวิตคนได้อย่างไร ดังนั้นพวกคิดแบบนี้จึงไม่มีคุณค่าความเป็นมนุษย์ในสายตาของผม
แต่เมื่อคำถามนี้เกิดในภาวะวิกฤตมันยิ่งตอกย้ำว่า การเอาจุดยืนการเมืองมาปะปนกับภารกิจที่เป็นความเป็นความตายของเพื่อนมนุษย์นั้น มันสะท้อนความด้อยคุณค่าในมิติประชาธิปไตยที่พวกเขาอ้างว่ายึดถือเพราะพวกเขาไม่แยกแยะเหตุผล ไม่เห็นคุณค่าของความเป็นมนุษย์กระทั่งเอาเหตุการณ์วิกฤตมาเป็นเครื่องมือทางการเมืองได้
สำหรับผมแล้วคิดว่า นี่เป็นเรื่องของคนที่ไม่รู้กาละเทศะ คนที่ถามอย่างนี้ เขาไม่ได้ตั้งใจถามในเชิงหลักการจริงๆ หรอก เมื่อย้อนไปดูประวัติและทัศนคติทางการเมืองของพวกเขา เป้าหมายก็คือ การแซะทหารนั่นแหละ เป้าหมายของเขาคือการดูแคลนประเทศตัวเอง เมื่อเขาตั้งคำถามว่าทำไมใช้ทหารจึงติดตามมาด้วยว่า ถึงว่าเอางบไปให้ทหารหมด เอาเงินไปซื้ออาวุธ ซื้อเรือดำน้ำ ฯลฯ
หลายคนเอาเหตุการณ์ครั้งนี้มาเหยียดหยามประเทศของตัวเอง หยิบเอากรณีที่ต่างชาติเข้ามาช่วยเหลือเพื่อกดชาติของตัวเองให้ด้อยค่าลงทำนองว่าไม่มีความรู้ภูมิปัญญาของตัวเองที่น่าภูมิใจในความเป็นชาติ เป็นประเทศด้อยพัฒนา ไม่ว่าจะเป็นความเห็นของสุภลักษณ์ กาญจนขุนดี บรรณาธิการบริหารของเดอะเนชั่น ประวิตร โรจนพฤกษ์ ของข่าวสด หรือปวิณ ชัชวาลพงษ์พันธ์ นักวิชาการข้ามเพศ ฯลฯ ล้วนแล้วแต่เป็นพวกนิยมทักษิณ ที่เรียกตัวเองว่า คนเสื้อแดง และฝ่ายประชาธิปไตยทั้งสิ้น
พอปรากฏเหตุการณ์ความเป็นหนึ่งเดียวของคนไทย ความร่วมแรงร่วมใจของคนไทยที่จะช่วยกันทุกวิถีทางเพื่อเอาเด็กออกมาแล้วทันทีที่มีคนบอกว่านี่คือความเป็นไทยน้ำหนึ่งใจเดียวของคนไทยเพื่อสะท้อนว่าในภาวะที่บ้านเมืองเกิดความขัดแย้งทางการเมืองนั้น เพื่อบอกยังมีสายใยที่เชื่อมโยงคนไทยไว้ด้วยกันก็คือเมตตาธรรมเพื่อบอกนี่คือสิ่งที่มีคุณค่าในสังคมไทย พวกนี้ก็ถามว่ามันเป็นไทยตรงไหนมีคุณค่าตรงไหน
มันน่าตั้งคำถามนะครับว่า พวกเขาเกลียดชังความเป็นไทยจริงๆ และเมื่อต้องพึ่งพาต่างชาติในการช่วยเหลือก็เอาสิ่งนั้นมาเป็นเครื่องมือเพื่อตอกย้ำทัศนคติทางการเมืองของตัวเอง หรือจริงๆแล้วพวกเขาเกลียดชังรัฐบาลแล้วความเกลียดชังนั้นมันส่งผลต่อความคิดของพวกเขาเมื่อเห็นทหารลงไปช่วยเด็กๆ จนกระทั่งลืมแยกแยะเรื่องกาลเทศะ
ชวนให้คิดต่อไปว่า ถ้าเหตุการณ์ครั้งนี้เกิดขึ้นในสมัยของรัฐบาลประชาธิปไตย สมัยของทักษิณหรือยิ่งลักษณ์ซึ่งผมคิดว่ามาตรการ แนวทาง และบรรยากาศการช่วยเหลือก็คงเป็นไปไม่ต่างกันคือต้องพึ่งพาหน่วยซีลและต่างชาติ พวกเขาเหล่านี้ที่แสดงความชังชาติตัวเองจะโพสต์เฟซบุ๊ค ทวิตเตอร์ หรือโซเชียลมีเดียด้วยข้อความราวกับกราดเกรี้ยวเช่นนี้หรือไม่
ไม่มีอะไรน่าภูมิใจ-ประเทศไทยด้อยพัฒนา-ไม่มีภูมิปัญญาของตัวเอง-ทำไมต้องใช้ทหารฯลฯ ราวกับไม่มีอะไรดีสำหรับประเทศไทยที่พวกเขาอาศัยเกิดเลย
อย่างไรก็ตามแม้มองเห็นความน่ารังเกียจของคนเหล่านี้ แต่ดีใจที่พวกนี้ยังเป็นเพียงคนที่ไม่กี่คนที่ไร้สำนึกในประเทศของเรา ยังมีคนจำนวนหนึ่งแม้จะมีจุดยืนทางการเมืองที่แตกต่างกับผมเขาก็มองเฝ้าดูชะตากรรมของเด็กและโค้ชไม่แตกต่างกัน คนที่มีความเห็นและทัศนคติไปในทางแย่ๆที่ผมว่ามาจึงเป็นคนส่วนน้อย คนพวกนี้เป็นพวกไร้เหตุผลซึ่งเป็นพื้นฐานที่ต่ำสุดของนักประชาธิปไตยด้วยซ้ำไป
ผมจึงคิดว่า ทัศนคติเชิงลบของคนบางคนต่อเหตุการณ์ครั้งนี้ไม่ใช่ความเห็นของคนที่ต่อต้านรัฐบาลนี้ทั้งหมด เพียงแต่คนที่ต่อต้านรัฐบาลนี้ไม่กี่คนเท่านั้นที่ไม่แยกแยะเหตุการณ์เหล่านี้ออกจากอุดมการณ์ทางการเมืองของตัวเอง
ผมพูดเสมอว่า อุดมการณ์ทางการเมืองไม่ใช่เรื่องผิด แต่เมื่อเอาชะตากรรมของเพื่อนมนุษย์มาเป็นเครื่องมือทางการเมือง ไม่ว่าพวกเขาจะมีอุดมการณ์ดีเลิศอย่างไรก็ทำให้คุณค่าของตัวเองไร้ค่าลงไป
อย่างไรก็ตามแม้จะเกิดสิ่งแย่ๆ ที่เราเห็นจากคนไทยด้วยกันเองบางคน แต่ความสำเร็จของการช่วยเหลือทั้ง13คนครั้งนี้ออกมาจากถ้ำคือความสวยงามของความเป็นมนุษย์ที่น่าจะเป็นพื้นฐานสำคัญที่สุดของการดำรงอยู่ร่วมกันบนโลกมนุษย์
ด้วยมนุษยธรรมทำให้คนทั้งโลกทุกชาติทุกฝ่ายถือว่าการทุ่มเททุกวิถีเพื่อทั้ง13คนออกจากถ้ำนั้นเป็นภารกิจที่ต้องทำร่วมกัน ทุกคนมีความมุ่งมัน และชื่นชมการร่วมแรงร่วมใจที่ช่วยเหลือทั้งหมดออกมาจากถ้ำได้อย่างปลอดภัย
แล้วหลังจากนี้เรานำวิกฤตการณ์ครั้งนี้มาถอดบทเรียนว่า หากเกิดเหตุการณ์แบบนี้อีกเราจะรับมืออย่างไร ต้องมีหน่วยงานแบบไหน มีผู้เชี่ยวชาญแบบไหน ควรจะอยู่ในสังกัดไหนอย่างไรที่พร้อมจะรับมือกับเหตุการณ์แบบนี้ได้
ขอบคุณคนไทยทุกคนขอบคุณชาวโลกทุกคน และขอให้หมูป่าทั้ง13ตัวที่รอดชีวิตออกมาจงใช้ชีวิตอย่างคุ้มค่าและยึดมั่นความดีงามที่คนทั้งโลกมอบให้เป็นหลักในการดำรงชีวิต
ติดตามผู้เขียนได้ที่ https://www.facebook.com/surawich.verawan