"อุตตม" หนุน " สสว. " ปรับโครงสร้างองค์กรและบทบาท เร่งปฏิรูปเอสเอ็มอี ลุยยุบ 2 กองทุนพลิกฟื้นเอสเอ็มอี และกองทุนฟื้นฟูฯ เดิมคลอดกองทุนฟื้นฟูผู้ประกอบการวิสาหกิจชุมชน วงเงิน 1,800 ล้าน เริ่มบริการปลายก.ค.นี้ ดึง ธพว. ร่วมบริหารจัดการ หวังเข้าถึงเอสเอ็มอี และวิสหกิจชุมชนทุกระดับ พร้อมปรับโครงสร้าง สสว. ใหม่ ชงบอร์ดใหญ่ส.ค.นี้ จ่อเพิ่มคนอีก 100 คน รองรับปฏิรูปเอสเอ็มอีสนองนโยบายรัฐ
นายอุตตม สาวนายน รมว.อุตสาหกรรม กล่าวถึงแนวทางการขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศด้านวิสาหกิจขนาดกลางและย่อม (เอสเอ็มอี) ว่า ล่าสุดสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและย่อม (สสว.) ได้จัดตั้งกองทุนใหม่ "กองทุนฟื้นฟูผู้ประกอบการวิสาหกิจชุมชน" วงเงิน 1,800 ล้านบาท ซึ่งเกิดจากการปรับยุบ 2 กองทุนเดิม คือ พลิกฟื้นเอสเอ็มอี กองทุนฟื้นฟูผู้ประกอบการเอสเอ็มอี มารวมกัน โดยกองทุนฯดังกล่าวจะดึงธนาคารเพื่อการพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและย่อม ( ธพว. ) มาบริหารที่จะทำให้เงินเข้าถึงเอสเอ็มอีและวิสาหกิจชุมชนมากขึ้น โดยคาดว่าจะเริ่มเปิดให้บริการได้ในช่วงปลายเดือนก.ค.นี้ โดยมีเป้าหมายปล่อยกู้ 5,000 ราย
นอกจากนี้ สสว. ยังเตรียมที่จะปรับโครงสร้างองค์กร กำลังคน และงบประมาณ ให้เพียงพอเพื่อทำให้การขับเคลื่อนการส่งเสริมเอสเอ็มอี มีประสิทธิภาพมากขึ้น ซึ่งจะนำเสนอเข้าสู่บอร์ดใหญ่ สสว. ที่มีนายกรัฐมนตรี เป็นประธาน ในเดือนส.ค.นี้ โดยการปรับโครงสร้างองค์กร จะรองรับกับโจทย์ที่ให้ไว้ ที่ สสว. จะต้องมุ่งเน้นหลักๆ อาทิ 1. การยกระดับเอสเอ็มอี โดยเฉพาะกลุ่มสินค้าเกษตรแปรรูปชุมชนที่จะต้องมุ่งเน้นเป็นพิเศษโดยจัดตั้งศูนย์ความเป็นเลิศด้านต่างๆ และรวมถึง Centre of Excellence ภาคเกษตร สินค้าชุมชน
2. การทำงานร่วมกัน ระหว่างกระทรวงอุตสาหกรรม สสว. และกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) ที่จะสนับสนุนการพัฒนาศูนย์ดิจิทัลชุมชนที่มีศักยภาพ ซึ่งจะนำร่อง 5 ศูนย์ ในภูมิภาคที่จะให้บริการสำหรับผู้ประกอบการ ทั้งองค์ความรู้การค้าออนไลน์ โดยมีการบูรณาการตั้งแต่การยกระดับการผลิตไปสู่การค้าขายไปยังตลาดต่างประเทศ ซึ่งล่าสุดกระทรวงอุตฯ ได้ลงนามกับ องค์การสภาพัฒนาการค้าฮ่องกง (HKTDC) ซึ่งจะสามารถเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในการช่วยยกระดับอีคอมเมิร์ซให้กับเอสเอ็มอีไทย
3. สสว. จะประสานงานกับเครือข่ายในการจัดตั้งศูนย์ National Startup Center ซึ่งไม่จำเป็นต้องเน้นเอสเอ็มอี ที่ต้องมุ่งแต่เทคโลยีแต่สามารถผสมผสานได้หมดแม้กระทั่งวิสาหกิจชุมชน โดยจะต้องบูรณาการกับสถาบันการศึกษา กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เพื่อให้เป็นศูนย์เพื่อการส่งเสริมและสร้างสังคมผู้ประกอบการเอสเอ็มอี เป็นต้นโดยแนวทางทั้งหมดจะตอ้งเห็นเป็นรูปธรรมในไตรมาส 3
นายสุวรรณชัย โลหะวัฒนกุล ผู้อำนวยการ สสว. กล่าวว่า กองทุนใหม่เกิดจากการยุบ 2 กองทุน ได้แก่ 1. กองทุนพลิกฟื้นเอสเอ็มอี มีวงเงิน 1,000 ล้านบาท ที่เหลือวงเงิน 600 ล้านบาท 2.กองทุนฟื้นฟูวงเงิน 2,000 ล้านบาท เหลือวงเงิน 1,200ล้านบาท ซึ่งเดิม สสว. จะบริหารจัดการเอง ซึ่งยอมรับว่าที่ผ่านมาการปล่อยกู้มีความล่าช้าด้วยเงื่อนไขที่เอสเอ็มอี อาจจะเข้าไม่ถึงดังนั้นกองทุนฯใหม่กำลังพิจารณาอาจปรับลดวงเงินปล่อยกู้ขั้นต้นที่ 5 หมื่นบาทสูงสุดไม่เกิน 1 ล้านบาทมีอัตราดอกเบี้ย 1%
"กองทุนพลิกฟื้นมีเงื่อนไขต้องปรับโครงสร้างหนี้และสถาบันการเงินต้องการันตีว่าทำเรียบร้อยแล้วจึงเป็นปัญหาเพราะเอสเอ็มอีบางรายไม่ได้ปรับโครงสร้างหนี้ ทำให้ล่าช้า ส่วนกองทุนฟื้นฟูเดิมครั้งแรกต้องวางระบบก็ล่าช้ากว่าจะเริ่มได้ ดังนั้นกองทุนฟื้นฟูเดิมที่จะให้วงเงินเริ่มต้น 2 แสนบาทแต่ไม่เกิน 1 ล้านบาทจุดนี้เห็วว่าเอสเอ็มอีบางรายไม่ได้ต้องการขนาดนั้นกองทุนใหม่จะปรับเน้นรายย่อยมากขึ้นก็กำลังคุยหารือรายละเอียดกับ ธพว. ในการปรับเงื่อนไขทั้งหมดอีกครั้ง"นายสุวรรณชัย
สำหรับการปรับโครงสร้างองค์กรอยู่ระหว่างการพิจารณานั้นปัจจุบันมีพนักงานอยู่ 240 คน โดย สสว. มีแนวคิดที่จะขอเพิ่มอีก 100 คน เพื่อที่จะรองรับบทบาทใหม่ที่จะเปลี่ยนไปที่จะเป็นองค์กรชี้นำในการพัฒนาเอสเอ็มอีและวิสาหกิจชุมชนของประเทศ
นายอุตตม สาวนายน รมว.อุตสาหกรรม กล่าวถึงแนวทางการขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศด้านวิสาหกิจขนาดกลางและย่อม (เอสเอ็มอี) ว่า ล่าสุดสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและย่อม (สสว.) ได้จัดตั้งกองทุนใหม่ "กองทุนฟื้นฟูผู้ประกอบการวิสาหกิจชุมชน" วงเงิน 1,800 ล้านบาท ซึ่งเกิดจากการปรับยุบ 2 กองทุนเดิม คือ พลิกฟื้นเอสเอ็มอี กองทุนฟื้นฟูผู้ประกอบการเอสเอ็มอี มารวมกัน โดยกองทุนฯดังกล่าวจะดึงธนาคารเพื่อการพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและย่อม ( ธพว. ) มาบริหารที่จะทำให้เงินเข้าถึงเอสเอ็มอีและวิสาหกิจชุมชนมากขึ้น โดยคาดว่าจะเริ่มเปิดให้บริการได้ในช่วงปลายเดือนก.ค.นี้ โดยมีเป้าหมายปล่อยกู้ 5,000 ราย
นอกจากนี้ สสว. ยังเตรียมที่จะปรับโครงสร้างองค์กร กำลังคน และงบประมาณ ให้เพียงพอเพื่อทำให้การขับเคลื่อนการส่งเสริมเอสเอ็มอี มีประสิทธิภาพมากขึ้น ซึ่งจะนำเสนอเข้าสู่บอร์ดใหญ่ สสว. ที่มีนายกรัฐมนตรี เป็นประธาน ในเดือนส.ค.นี้ โดยการปรับโครงสร้างองค์กร จะรองรับกับโจทย์ที่ให้ไว้ ที่ สสว. จะต้องมุ่งเน้นหลักๆ อาทิ 1. การยกระดับเอสเอ็มอี โดยเฉพาะกลุ่มสินค้าเกษตรแปรรูปชุมชนที่จะต้องมุ่งเน้นเป็นพิเศษโดยจัดตั้งศูนย์ความเป็นเลิศด้านต่างๆ และรวมถึง Centre of Excellence ภาคเกษตร สินค้าชุมชน
2. การทำงานร่วมกัน ระหว่างกระทรวงอุตสาหกรรม สสว. และกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) ที่จะสนับสนุนการพัฒนาศูนย์ดิจิทัลชุมชนที่มีศักยภาพ ซึ่งจะนำร่อง 5 ศูนย์ ในภูมิภาคที่จะให้บริการสำหรับผู้ประกอบการ ทั้งองค์ความรู้การค้าออนไลน์ โดยมีการบูรณาการตั้งแต่การยกระดับการผลิตไปสู่การค้าขายไปยังตลาดต่างประเทศ ซึ่งล่าสุดกระทรวงอุตฯ ได้ลงนามกับ องค์การสภาพัฒนาการค้าฮ่องกง (HKTDC) ซึ่งจะสามารถเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในการช่วยยกระดับอีคอมเมิร์ซให้กับเอสเอ็มอีไทย
3. สสว. จะประสานงานกับเครือข่ายในการจัดตั้งศูนย์ National Startup Center ซึ่งไม่จำเป็นต้องเน้นเอสเอ็มอี ที่ต้องมุ่งแต่เทคโลยีแต่สามารถผสมผสานได้หมดแม้กระทั่งวิสาหกิจชุมชน โดยจะต้องบูรณาการกับสถาบันการศึกษา กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เพื่อให้เป็นศูนย์เพื่อการส่งเสริมและสร้างสังคมผู้ประกอบการเอสเอ็มอี เป็นต้นโดยแนวทางทั้งหมดจะตอ้งเห็นเป็นรูปธรรมในไตรมาส 3
นายสุวรรณชัย โลหะวัฒนกุล ผู้อำนวยการ สสว. กล่าวว่า กองทุนใหม่เกิดจากการยุบ 2 กองทุน ได้แก่ 1. กองทุนพลิกฟื้นเอสเอ็มอี มีวงเงิน 1,000 ล้านบาท ที่เหลือวงเงิน 600 ล้านบาท 2.กองทุนฟื้นฟูวงเงิน 2,000 ล้านบาท เหลือวงเงิน 1,200ล้านบาท ซึ่งเดิม สสว. จะบริหารจัดการเอง ซึ่งยอมรับว่าที่ผ่านมาการปล่อยกู้มีความล่าช้าด้วยเงื่อนไขที่เอสเอ็มอี อาจจะเข้าไม่ถึงดังนั้นกองทุนฯใหม่กำลังพิจารณาอาจปรับลดวงเงินปล่อยกู้ขั้นต้นที่ 5 หมื่นบาทสูงสุดไม่เกิน 1 ล้านบาทมีอัตราดอกเบี้ย 1%
"กองทุนพลิกฟื้นมีเงื่อนไขต้องปรับโครงสร้างหนี้และสถาบันการเงินต้องการันตีว่าทำเรียบร้อยแล้วจึงเป็นปัญหาเพราะเอสเอ็มอีบางรายไม่ได้ปรับโครงสร้างหนี้ ทำให้ล่าช้า ส่วนกองทุนฟื้นฟูเดิมครั้งแรกต้องวางระบบก็ล่าช้ากว่าจะเริ่มได้ ดังนั้นกองทุนฟื้นฟูเดิมที่จะให้วงเงินเริ่มต้น 2 แสนบาทแต่ไม่เกิน 1 ล้านบาทจุดนี้เห็วว่าเอสเอ็มอีบางรายไม่ได้ต้องการขนาดนั้นกองทุนใหม่จะปรับเน้นรายย่อยมากขึ้นก็กำลังคุยหารือรายละเอียดกับ ธพว. ในการปรับเงื่อนไขทั้งหมดอีกครั้ง"นายสุวรรณชัย
สำหรับการปรับโครงสร้างองค์กรอยู่ระหว่างการพิจารณานั้นปัจจุบันมีพนักงานอยู่ 240 คน โดย สสว. มีแนวคิดที่จะขอเพิ่มอีก 100 คน เพื่อที่จะรองรับบทบาทใหม่ที่จะเปลี่ยนไปที่จะเป็นองค์กรชี้นำในการพัฒนาเอสเอ็มอีและวิสาหกิจชุมชนของประเทศ