“วิบูลย์” ผู้ว่าฯ กฟผ.พร้อมเดินหน้าปรับองค์กรรับเทคโนโลยีเปลี่ยนโลก ปล่อยพนักงานเกษียณอายุตามปกติโดยไม่รับคนเพิ่มเพื่อลดขนาดองค์กรใน 4-5 ปีข้างหน้าให้เหลือเพียง 1.6 หมื่นคนจาก 2.2 หมื่นคนในปัจจุบัน พร้อมปรับตัวจับมือพันธมิตรแสวงหาธุรกิจและเทคโนโลยีใหม่ทั้ง ปตท. เอสซีจี 2 การไฟฟ้า ฯลฯ
นายวิบูลย์ ฤกษ์ศิระทัย ผู้ว่าการการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) เปิดเผยวิสัยทัศน์การดำเนินนโยบายขององค์กรอย่างเป็นทางการในโอกาสรับตำแหน่งผู้ว่าการ กฟผ.คนที่ 14 ว่า ขณะนี้เทคโนโลยีต่างๆ มีการเปลี่ยนแปลงรวดเร็ว รวมถึงการผลิตไฟฟ้าที่ทำให้รูปแบบการผลิต การซื้อขายไฟ เปลี่ยนแปลง โดยเฉพาะการเข้ามาของเทคโนโลยีพลังงานหมุนเวียน เช่น พลังงานแสงอาทิตย์ ฯลฯ ที่กระทบต่อรายได้ของ กฟผ.ให้ลดลง ดังนั้นจึงจำเป็นต้องปรับตัวรองรับ ซึ่งเบื้องต้นได้วางแผนปรับโครงสร้างองค์กรด้วยการลดขนาดให้เหมาะสมกับงานที่จะใช้เทคโนโลยีมากขึ้น โดยมีเป้าหมาย 4-5 ปีข้างหน้าจะลดพนักงานเหลือ 16,000 คนจากปัจจุบันมี 22,000 คนโดยวิธีไม่ปลดแต่จะไม่รับเพิ่มเข้ามาทดแทนผู้ที่จะเกษียนอายุเฉลี่ยปีละกว่า 1,000 คน ซึ่งจะเริ่มในปีนี้
“ยุค Disruptive เราจะต้องปรับตัวเข้าหาเทคโนโลยี กฟผ.ก็เช่นกัน และการปรับองค์กรให้คล่องตัวเรื่องนี้เราได้ชี้แจงพนักงานรับทราบต่อเนื่อง และ กฟผ.จะอยู่ลำพังเช่นอดีตไม่ได้ต้องหาพันธมิตรเข้ามาร่วมพัฒนาพลังงานใหม่ๆ ที่เป็นเทรนด์ของโลกที่มาถึงไทยเร็วขึ้นกว่าอดีต ซึ่งแม้แต่ค่ายแอปเปิลมือถือรายใหญ่ยังมีเครือข่ายผู้ผลิตชิ้นส่วนมากมายก็เพื่อพัฒนาให้มากขึ้น” นายวิบูลย์กล่าว
ทั้งนี้ ที่ผ่านมา กฟผ.ได้ลงนามร่วมกับ บมจ.ปตท. บริษัท กสท โทรคมนาคม จำกัด(มหาชน) การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (PEA) และการไฟฟ้านครหลวง (กฟน.) รวมไปถึงกลุ่มเอสซีจี เพื่อเป็นพันธมิตรด้านต่างๆ ที่จะพัฒนาและวิจัยนวัตกรรมและทำธุรกิจร่วมกัน โดยเฉพาะในส่วนของ ปตท.จะมองหาศักยภาพการพัฒนาด้านเชื้อเพลิงที่จะเป็นโครงการนำร่องซึ่งจะสรุปได้ในกลางเดือน ก.ค.นี้ ขณะที่เอสซีจี กฟผ.พร้อมวิจัยพัฒนานำนวัตกรรมและเทคโนโลยีใหม่เข้ามาดำเนินงานในการพัฒนาโซลาร์ลอยน้ำ เป็นต้น
สำหรับความคืบหน้าการนำเข้าก๊าซธรรมชาติเหลว (แอลเอ็นจี) 1.5 ล้านตันนั้นอยู่ระหว่างการเตรียมความพร้อมสำหรับการรองรับซึ่งแผนดำเนินงานจะเสร็จในสิ้นปีนี้ โดยมติ กพช.ไม่ได้ระบุว่าต้องนำเข้าภายในปีนี้แต่อย่างใด และระหว่างนี้ยังต้องหารือข้อยุติเกี่ยวกับอัตราค่าไฟฟ้าที่จะเรียกเก็บกับประชาชนที่ต้องรอคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) เป็นผู้พิจารณา
“โรงไฟฟ้าขนาดใหญ่จะลดลงจะมีโรงไฟฟ้าขนาดเล็กมากขึ้น กฟผ.จะต้องพัฒนาระบบส่งไฟฟ้าเชื่่อมโยงกับภูมิภาค นำนวัตกรรมมาเพิ่มประสิทธิภาพระบบส่งเพื่อให้ไฟฟ้ามีความเสถียรจากการเข้ามาของโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนที่เพิ่มขึ้น แต่สัดส่วนการผลิตไฟฟ้าของ กฟผ.ปัจจุบันที่อยู่ประมาณกว่า 30% จะเพิ่มขึ้นหรือไม่อย่างไรคงจะต้องรอดูแผนการพัฒนากำลังการผลิตไฟฟ้าใหม่ (พีดีพี) ประกอบด้วย ขณะเดียวกัน กฟผ.ยังมุ่งเน้นการทำงานร่วมกับชุมชนเพื่อสร้างการยอมรับอย่างต่อเนื่อง ฯลฯ” นายวิบูลย์กล่าว