xs
xsm
sm
md
lg

โรงงานใช้เหล็กเป็นวัตถุดิบ ทยอยย้ายออกจากสหรัฐฯ

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: อ.สุดาทิพย์ จารุจินดา อินทร

<b>ศ.ดร.Lawrence Summers แห่ง Harvard</b>
ทรัมป์ประกาศตั้งแต่ 1 มีนาคมปีนี้ จะขึ้นภาษี 25% สำหรับการนำเข้าเหล็ก และ 10% สำหรับนำเข้าอะลูมิเนียม โดยจะมีผลในวันที่ 1 มิถุนายน เพื่อเอาใจอุตสาหกรรมผู้ผลิตเหล็กของสหรัฐฯ โดยเฉพาะชาวเหมืองเหล็กที่เคยเป็นผู้ลงคะแนนให้กับเดโมแครต ได้เปลี่ยนใจมาลงคะแนนให้กับทรัมป์จนเขาได้รับชัยชนะ

ผลพวงขณะนี้ เป็นดังที่ศ.ดร.Lawrence Summers นักเศรษฐศาสตร์สาย Neo-Keynesian คนสำคัญของสหรัฐฯ (เป็นรมต.คลังคนที่ 71 ของสหรัฐฯ ในสมัยปธน.คลินตัน และอดีตผอ.สภาเศรษฐกิจแห่งชาติ สมัยปธน.โอบามา) ได้ออกมาเตือนก่อนหน้าที่ทรัมป์จะฟันธงขึ้นภาษีทั้งสองรายการ

เขามองทะลุปรุโปร่งว่า บรรดาอุตสาหกรรมในสหรัฐฯ ที่ต้องพึ่งพาทั้งเหล็ก (อุตสาหกรรมรถยนต์, รถจักรยานยนต์, อสังหาริมทรัพย์, เครื่องจักรกล ฯลฯ) และอะลูมิเนียม (เรือบิน, เครื่องใช้ในบ้าน ฯลฯ) จะทำให้คนตกงาน (สมัยบุชผู้ลูกในปี 2002 เขาขึ้นภาษีเหล็กภายใน 6 เดือนคนตกงาน 200,000) เพราะถ้าหันมาใช้แต่เหล็กและอะลูมิเนียมที่ผลิตในสหรัฐฯ จะทำให้ต้นทุนพุ่งปรี๊ด และสินค้าที่ผลิตด้วยต้นทุนสูงเหล่านี้ (เช่น รถยนต์ที่ผลิตในสหรัฐฯ) จะนำไปขายในต่างประเทศด้วยราคาแพงมาก สู้กับรถยนต์ที่ผลิตนอกสหรัฐฯ ไม่ได้

ขณะเดียวกัน สินค้าจากสหรัฐฯ ก็จะถูกตอบโต้จากนานาประเทศ ที่ส่งเหล็กเข้าสหรัฐฯ และไม่พอใจนโยบายขึ้นภาษีของสหรัฐฯ ด้วยการขึ้นภาษีสินค้าต่างๆ ที่มาจากสหรัฐฯ โดยเลือกตอบโต้ไปยังสินค้าที่ผลิตในบริเวณฐานเสียงของพรรครีพับลิกัน ดังที่จีนได้เลือกผลิตภัณฑ์ถั่วเหลือง หรือเหล้าวิสกี้เบอร์เบิ้น (จากรัฐ Kentucky ที่ผู้นำเสียงข้างมากในวุฒิสภาคือ วุฒิสมาชิกลายคราม Mitch McConnell ครองเก้าอี้จากรัฐนี้มากกว่า 30 ปี และเขายังเป็นสามีของรมต.กระทรวงคมนาคมอีกด้วย) รวมทั้งสหภาพยุโรปได้ตอบโต้ตั้งแต่ 1 มิถุนายน เฉลี่ยขึ้นภาษี 25% กับรถยนต์หรือชิ้นส่วนรถยนต์จากสหรัฐฯ ทั่วหน้า

ล่าสุด จักรยานยนต์มีชื่อเสียงเป็นหน้าเป็นตาของสหรัฐฯ คือ ยี่ห้อ Harley-Davidson ที่เป็นตำนานของสหรัฐฯ ได้ประกาศย้ายโรงงานออกไปผลิตในต่างประเทศ CEO บอกตรงๆ เลยว่าเป็นผลพวงจากนโยบายของทรัมป์ครั้งนี้

เขาบอกว่า ต้องย้ายโรงงานที่ผลิตมอเตอร์ไซค์สำหรับลูกค้าในยุโรป ต้องย้ายออก เพราะรถมอเตอร์ไซค์ที่ผลิตในสหรัฐฯ (มีเขาเป็นเจ้าเดียวนี้แหละ) จะถูกตอบโต้ด้วยการขึ้นภาษีนำเข้าที่ยุโรป (และอีกหลายๆ ประเทศที่ประกาศตอบโต้เช่นเดียวกับยุโรป) ทั้งๆ ที่เขาไม่อยากย้ายโรงงานออกเลย แต่จำเป็นต้องทำ

สินค้าที่สหภาพยุโรปตอบโต้เป็นสินค้าจาก Red States คือรัฐสีแดง (สีของพรรครีพับลิกัน) ยังมีน้ำส้ม (จากรัฐฟลอริดา ซึ่งเป็นรัฐที่ Swing ไปมา-เดี๋ยวบางทีก็เป็นเดโมแครต แต่ตอนนี้เป็นรีพับลิกัน), เหล้าวิสกี้เบอร์เบิ้น, เนยถั่วบด (peanut Butter), เรือยนต์, บุหรี่ (มาจากใบยาสูบจากรัฐทางตอนใต้ของสหรัฐฯ และผ้าฝ้าย Denim (จากรัฐที่ปลูกฝ้าย-ทางตอนใต้ของสหรัฐฯ เช่นกัน)

เฉพาะรถมอเตอร์ไซค์นำเข้าจากสหรัฐฯ นั้น สหภาพยุโรปประกาศเจ็บแสบมาก เดิมเคยคิดภาษีนำเข้าแค่ 6% พรวดขึ้นไปสูงถึง 31% ทำเอา Harley-Davidson ไม่มีทางเลือกอื่นจริงๆ

บริษัทนี้ตั้งสำนักงานใหญ่อยู่ที่เมือง Milwaukee รัฐ Wisconsin ที่ให้คะแนนแก่ทรัมป์ในการเลือกตั้งปธน. และมีโรงงานใหญ่ที่เมือง Kansas รัฐ Missouri โดยมีตลาดที่ยุโรปเป็นตลาดใหญ่อันดับสองรองลงมาจากตลาดสหรัฐฯ เอง

บริษัทที่สองที่เพิ่งประกาศปิดโรงงานบางส่วน และโละคนออกคือ บริษัทผลิตตะปูใหญ่ที่สุดของสหรัฐฯ คือบริษัท Mid-Continent Nail ซึ่งมีโรงงานใหญ่อยู่ที่รัฐ Missouri เช่นกัน โดยภาษี 25% สำหรับเหล็กนำเข้า ทำให้เขาต้องปรับราคาขายตะปู และทำให้คำสั่งซื้อลดลง 50% ตั้งแต่ 1 มิถุนายน

วัตถุดิบเหล็กของเขานำเข้าจากเม็กซิโกเพราะอยู่ใกล้สุด แต่เม็กซิโกไม่ได้รับการยกเว้นถูกขึ้นภาษี 25% เมื่อขายเหล็กเข้าสหรัฐฯ

CEO บริษัทตะปูใหญ่สุดนี้ ออกมาคาดการณ์ว่า ภายในเดือนกันยายนนี้ อาจต้องปิดตัวโรงงานส่วนใหญ่! คือ กำลังจะต้องล้มหายตายจาก “On the Brink of Extinction” แน่ๆ

ทางรอดมีอยู่ทางเดียวคือ ย้ายไปผลิตที่เม็กซิโกทั้งหมด แล้วส่งเข้ามาขายในสหรัฐฯ โดยอาศัยข้อตกลง Nafta (ซึ่งตอนนี้ก็กำลังถูกแช่เย็น เพราะทรัมป์อยากล้มข้อตกลงนี้ แล้วเปลี่ยนเป็นข้อตกลงทวิภาคีมากกว่า 3 ประเทศ)

คำเตือนของ ศ.ดร.Lawrence Summers แห่ง Harvard บอกว่า กำลังมองเห็นเศรษฐกิจสหรัฐฯ จะเข้าสู่ภาวะถดถอยได้ แม้ขณะนี้เศรษฐกิจกำลังเติบโตด้วยดี (และไม่ใช่ผลพวงของการลดภาษีรายได้อย่างโครมครามของทรัมป์ ที่ลดภาษีให้แก่คนรวยมั่งคั่ง และธุรกิจยักษ์ แต่เป็นเพราะการกดดอกเบี้ยไว้ต่ำเรี่ยดินตลอดยุคของโอบามา และการอัดฉีดเงินในสมัยโอบามาต่างหาก) อันเนื่องจากนโยบายขึ้นภาษีวัตถุดิบ ที่จะถูกตอบโต้หนัก และจะทำให้คนอเมริกันต้องตกงานเป็นล้าน จากขายสินค้าไม่ออก เพราะสินค้าราคาแพงมาก ส่วนผู้บริโภคก็จะสู้ราคาสินค้าไม่ไหวเช่นกัน

ผอ.ใหญ่ IMF ก็ออกมาเตือนว่า เศรษฐกิจโลกที่กำลังฟื้นตัว (จากวิกฤตการเงินสหรัฐฯ เมื่อ 2008-2009) ก็จะได้รับผลกระทบทันที จากการค้าโลกที่กำลังเริ่มตอบโต้กันขณะนี้ และถ้าเป็น Full-Blown Trade War โลกอาจเข้าสู่ภาวะถดถอยได้ทีเดียว


กำลังโหลดความคิดเห็น