“อุตตม” สุดปลื้มหลังจีนลงนามญี่ปุ่น ร่วมมือที่จะพัฒนาการลงทุน-อุตฯในประเทศที่สาม เลือกไทยเป็นเป้าหมายแรก เล็งพื้นที่อีอีซี "คณิศ" ชี้เอเชียมุ่งสู่โหมดใหม่ของความร่วมมือ ตั้งคณะทำงานศึกษาความร่วมมือ 3 ประเทศ เสร็จภายใน 2 เดือน
วานนี้ (30 พ.ค.) นายอุตตม สาวนายน รมว.อุตสาหกรรม เปิดเผยในงานสัมมนา "China-Japan Cooperation on the Eastern Economic Corridor of Thailand" ว่า การสัมมนาครั้งนี้สืบเนื่องจากก่อนหน้านี้สาธารณรัฐประชาชนจีนและญี่ปุ่น ลงนามบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือทางเศรษฐกิจเอกชนระหว่างจีน-ญี่ปุ่นในประเทศที่ 3 เมื่อวันที่ 9 พ.ค.61 ที่กรุงโตเกียว ซึ่งการสัมมนาครั้งนี้ ทำให้เห็นว่าไทยโดยเฉพาะเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี) จะเป็นจุดหมายสำคัญของความร่วมมือทางเศรษฐกิจดังกล่าว
"การสัมมนาจัดขึ้นโดยสำนักงานอีอีซี ร่วมกับสถานเอกอัครราชทูตจีนและญี่ปุ่น ประจำประเทศไทย ได้จัด ซึ่งจากการหารือมาเบื้องต้นทั้งจีนและญี่ปุ่น แสดงความสนใจการลงทุนด้านอุตสาหกรรม การวิจัยและพัฒนาในไทยและเน้นเป็นพิเศษคือพื้นที่อีอีซี"
ทั้งนี้ทางสำนักงานอีอีซี และกระทรวงอุตสาหกรรม จะประสานงานต่อเนื่องเพื่อให้เกิดแผนงานที่เป็นรูปธรรม โดยอุตสาหกรรมที่จีนและญี่ปุ่นสนใจคือ การลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน อุตสาหกรรม 4.0 โดยทางจีนมองว่า ไทยมีโอกาสที่ดีโดยเฉพาะหลัง พ.ร.บ.อีอีซี บังคับใช้ ขณะที่ญี่ปุ่นมองเรื่องรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบินที่เริ่มต้นให้เห็นแล้ว
อย่างไรก็ตาม ทางสำนักงานอีอีซี จะร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) และกระทรวงอุตสาหกรรม เพื่อจัดทำแผนโรดโชว์ในการชักชวนนักลงทุนจากจีน ญี่ปุ่น เกาหลี และสหภาพยุโรป ให้เข้ามาลงทุน โดยทางเกาหลีเชิญกระทรวงอุตสาหกรรม นำคณะไปเยือน เพื่อแสวงความร่วมมือในการลงทุนระหว่างทั้ง 2 ประเทศเร็ว ๆนี้ คาดว่า ในช่วง 5 ปีนับจากนี้ การลงทุนในพื้นที่อีอีซี จะมีมูลค่าสูงถึง 43,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
ด้าน นายคณิศ แสงสุพรรณ เลขาธิการคณะกรรมการนโยบายพัฒนาเขตพิเศษภาคตะวันออก (สกพอ.) กล่าวว่า ทางจีนได้เสนอความร่วมมือ 3 ข้อ ได้แก่ 1. การทำแผนงานความร่วมมือการลงทุน 3 ประเทศร่วมกันภายใต้กฏหมายสากล 2. รัฐบาล 3 ประเทศจะช่วยเหลือนักลงทุนอย่างไร 3. พิจารณาโครงการที่จะเป็นความร่วมมือ ดังนั้นจึงสรุปที่จะตั้งคณะทำงานร่วมกันโดยคาดว่ากรอบการดำเนินงานต่างๆ จะเสร็จใน 2 เดือน
ทั้งนี้การที่จีนและญี่ปุ่นจับมือครั้งนี้ถือเป็นการเข้าสู่โหมดใหม่ของความร่วมมือและไทยถือเป็นประเทศที่ 3 ที่ให้ความสนใจที่จะเข้ามาลงทุนเป็นประเทศแรก โดยเบื้องต้นความร่วมมือเช่น การพัฒนาเมืองอัจฉริยะ ฯลฯ ส่วนการเปิดประมูลโครงการต่าง ๆ ของภาครัฐยืนยันว่าจะยังคงอยู่ในรูปแบบของการเปิดประมูลแบบ international Bidding ในรูปแบบกรอบแผนงานโครงการร่วม ลงทุนกับเอกชน (PPP)
ขณะที่ นายหนิง จี๋เจ๋อ รองประธานคณะกรรมาธิการเพื่อการปฏิรูปและพัฒนาสาธารณรัฐประชาชนจีน กล่าวว่า จีนมองว่าการพัฒนาอีอีซีจะเป็นกลยุทธ์สำคัญในการพัฒนาเศรษฐกิจไทยและไทยจะลงทุนพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่มากขึ้นและจะเป็นการเชื่อมต่อไปยัง One Belt One Road ของจีนซึ่งจะทำให้เกิดการพัฒนาประเทศไทยและภูมิภาค
เช่นเดียวกับ นายชิโระ ซะโดะชิมะ เอกอัครราชทูตญี่ปุ่นประจำประเทศไทย กล่าวว่า การที่นักลงทุนญี่ปุ่น 600 คนมาลงพื้นที่อีอีซีก่อนหน้านี้ชี้ให้เห็นว่านักลงทุนญี่ปุ่นสนใจลงทุนในไทยโดยเฉพาะอีอีซีและจะเป็นพื้นที่การลงทุนที่ยิ่งใหญ่ของ 3 ประเทศ ซึ่งการที่ไทยออกเอกสารTOR รถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบินถือว่าเป็นการเริ่มต้นที่ดีและนี่จะมีส่วนสำคัญทำให้การลงทุนมายังไทยมากขึ้น.
วานนี้ (30 พ.ค.) นายอุตตม สาวนายน รมว.อุตสาหกรรม เปิดเผยในงานสัมมนา "China-Japan Cooperation on the Eastern Economic Corridor of Thailand" ว่า การสัมมนาครั้งนี้สืบเนื่องจากก่อนหน้านี้สาธารณรัฐประชาชนจีนและญี่ปุ่น ลงนามบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือทางเศรษฐกิจเอกชนระหว่างจีน-ญี่ปุ่นในประเทศที่ 3 เมื่อวันที่ 9 พ.ค.61 ที่กรุงโตเกียว ซึ่งการสัมมนาครั้งนี้ ทำให้เห็นว่าไทยโดยเฉพาะเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี) จะเป็นจุดหมายสำคัญของความร่วมมือทางเศรษฐกิจดังกล่าว
"การสัมมนาจัดขึ้นโดยสำนักงานอีอีซี ร่วมกับสถานเอกอัครราชทูตจีนและญี่ปุ่น ประจำประเทศไทย ได้จัด ซึ่งจากการหารือมาเบื้องต้นทั้งจีนและญี่ปุ่น แสดงความสนใจการลงทุนด้านอุตสาหกรรม การวิจัยและพัฒนาในไทยและเน้นเป็นพิเศษคือพื้นที่อีอีซี"
ทั้งนี้ทางสำนักงานอีอีซี และกระทรวงอุตสาหกรรม จะประสานงานต่อเนื่องเพื่อให้เกิดแผนงานที่เป็นรูปธรรม โดยอุตสาหกรรมที่จีนและญี่ปุ่นสนใจคือ การลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน อุตสาหกรรม 4.0 โดยทางจีนมองว่า ไทยมีโอกาสที่ดีโดยเฉพาะหลัง พ.ร.บ.อีอีซี บังคับใช้ ขณะที่ญี่ปุ่นมองเรื่องรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบินที่เริ่มต้นให้เห็นแล้ว
อย่างไรก็ตาม ทางสำนักงานอีอีซี จะร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) และกระทรวงอุตสาหกรรม เพื่อจัดทำแผนโรดโชว์ในการชักชวนนักลงทุนจากจีน ญี่ปุ่น เกาหลี และสหภาพยุโรป ให้เข้ามาลงทุน โดยทางเกาหลีเชิญกระทรวงอุตสาหกรรม นำคณะไปเยือน เพื่อแสวงความร่วมมือในการลงทุนระหว่างทั้ง 2 ประเทศเร็ว ๆนี้ คาดว่า ในช่วง 5 ปีนับจากนี้ การลงทุนในพื้นที่อีอีซี จะมีมูลค่าสูงถึง 43,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
ด้าน นายคณิศ แสงสุพรรณ เลขาธิการคณะกรรมการนโยบายพัฒนาเขตพิเศษภาคตะวันออก (สกพอ.) กล่าวว่า ทางจีนได้เสนอความร่วมมือ 3 ข้อ ได้แก่ 1. การทำแผนงานความร่วมมือการลงทุน 3 ประเทศร่วมกันภายใต้กฏหมายสากล 2. รัฐบาล 3 ประเทศจะช่วยเหลือนักลงทุนอย่างไร 3. พิจารณาโครงการที่จะเป็นความร่วมมือ ดังนั้นจึงสรุปที่จะตั้งคณะทำงานร่วมกันโดยคาดว่ากรอบการดำเนินงานต่างๆ จะเสร็จใน 2 เดือน
ทั้งนี้การที่จีนและญี่ปุ่นจับมือครั้งนี้ถือเป็นการเข้าสู่โหมดใหม่ของความร่วมมือและไทยถือเป็นประเทศที่ 3 ที่ให้ความสนใจที่จะเข้ามาลงทุนเป็นประเทศแรก โดยเบื้องต้นความร่วมมือเช่น การพัฒนาเมืองอัจฉริยะ ฯลฯ ส่วนการเปิดประมูลโครงการต่าง ๆ ของภาครัฐยืนยันว่าจะยังคงอยู่ในรูปแบบของการเปิดประมูลแบบ international Bidding ในรูปแบบกรอบแผนงานโครงการร่วม ลงทุนกับเอกชน (PPP)
ขณะที่ นายหนิง จี๋เจ๋อ รองประธานคณะกรรมาธิการเพื่อการปฏิรูปและพัฒนาสาธารณรัฐประชาชนจีน กล่าวว่า จีนมองว่าการพัฒนาอีอีซีจะเป็นกลยุทธ์สำคัญในการพัฒนาเศรษฐกิจไทยและไทยจะลงทุนพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่มากขึ้นและจะเป็นการเชื่อมต่อไปยัง One Belt One Road ของจีนซึ่งจะทำให้เกิดการพัฒนาประเทศไทยและภูมิภาค
เช่นเดียวกับ นายชิโระ ซะโดะชิมะ เอกอัครราชทูตญี่ปุ่นประจำประเทศไทย กล่าวว่า การที่นักลงทุนญี่ปุ่น 600 คนมาลงพื้นที่อีอีซีก่อนหน้านี้ชี้ให้เห็นว่านักลงทุนญี่ปุ่นสนใจลงทุนในไทยโดยเฉพาะอีอีซีและจะเป็นพื้นที่การลงทุนที่ยิ่งใหญ่ของ 3 ประเทศ ซึ่งการที่ไทยออกเอกสารTOR รถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบินถือว่าเป็นการเริ่มต้นที่ดีและนี่จะมีส่วนสำคัญทำให้การลงทุนมายังไทยมากขึ้น.