"รอง ผบช.ภ.4” รุดสอบ “ดุษฎี” รองปลัด ยธ. คลี่ปมสั่งรื้อคดี “ครูจอมทรัพย์” คาดสรุปสำนวน 20 ธ.ค.นี้ เจ้าหน้าที่ส่อรอดผิดฐานร่วมขบวนการ “ปั้นแพะ” เหตุรู้มีรับจ้างติดคุกหลังศาลสั่งรื้อคดีแล้ว แถมเจตนาดีหวังช่วยอำนวยความยุติธรรม ด้าน“ดุษฏี”ยันสั่งรื้อคดีตามหลักฐาน “เชื่อโดยสุจริตใจ”ครูจอมทรัพย์ไม่ใช่ผู้ต้องหา “หลานจอมทรัพย์” โผล่มอบตัว เจอ 2 ข้อหาหนัก ปั้นพยานเท็จ-ซ่องโจร ตร.ชี้เป็น “คนเดินเรื่อง”
วานนี้ (14 ธ.ค.) เมื่อเวลา 10.00 น. พล.ต.ต.ธนาศักดิ์ ฤทธิ์เดชไพบูลย์ รองผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 4 (รองผบช.ภ.4) พร้อมคณะ ได้เดินทางมายังกระทรวงยุติธรรม เข้าพบ พ.ต.อ.ดุษฎี อารยวุฒิ รองปลัดกระทรวงยุติธรรม เพื่อสอบปากคำกรณีการรับรื้อฟื้นคดีให้กับ นางจอมทรัพย์ ศรีบุญหอม หรือแสนเมืองโคตร อดีตข้าราชการครู จ.สกลนคร โดย พล.ต.ต.ธนาศักดิ์ กล่าวก่อนเข้าพบ พ.ต.อ.ดุษฎี ว่า เป็นการมาสอบปากคำในฐานะที่ พ.ต.อ.ดุษฎี เป็นหัวหน้าหน่วยที่ดูแลศูนย์ช่วยเหลือลูกหนี้เพื่อจะสอบถามกฎระเบียบของศูนย์ฯ
ภายหลังการเข้าสอบปากคำใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง พ.ต.อ.ดุษฎี และ พล.ต.ต.ธนาศักดิ์ ร่วมกันแถลง โดย พ.ต.อ.ดุษฎี กล่าวว่า วันนี้ทางรอง ผบช.ภ.4 เดินทางมาพบเพื่อวางแนวทางการทำงานร่วมกัน โดยกระทรวงยุติธรรมและตำรวจไม่ได้มีความขัดแย้งกัน ประสานงานกันมาตลอด ยืนยันว่าการทำคดีช่วยเหลือในเรื่องการอำนวยความยุติธรรมเป็นหลัก โดยอยู่บนพื้นฐานของหลักฐานและให้ความเป็นธรรมกับประชาชนมากที่สุด และน้อมรับคำตัดสินของศาลทุกอย่าง
“ขอยืนยันว่าการรื้อฟื้นคดีของครูจอมทรัพย์ เป็นการทำไปตามพยานหลักฐาน และสิทธิที่ครูจอมทรัพย์ ได้รับมาตั้งแต่ปี 2557 ซึ่งกระทรวงยุติธรรมมีหน้าที่ในการอำนวยความยุติธรรมให้กับประชาชน โดยยอมรับว่าได้รับรายงานจากผู้ใต้บังคับบัญชาว่านายสับ วาปี และนายสุริยา นวนเจริญ หรือครูอ๋อง พยานของครูจอมทรัพย์ รับสารภาพว่ามีการว่าจ้างให้รับผิดแทน จึงได้นำพยาน และครูจอมทรัพย์เข้าเครื่องจับเท็จ แต่ไม่สามารถจับเท็จครูจอมทรัพย์ได้ เพราะมีความผิดปกติทางร่างกายทำให้ไม่มีเหงื่อ จึงถือว่าครูจอมทรัพย์ ยังมีสิทธิในการรื้อฟื้นคดีอยู่” พ.ต.อ.ดุษฎี กล่าว
รองปลัดกระทรวงยุติธรรม กล่าวยืนยันด้วยว่า ไม่มีส่วนรู้เห็นในการสร้างพยานหลักฐานเท็จของครูจอมทรัพย์ เพราะตนไม่ได้ติดต่อกับพยานโดยตรง เป็นเพียงผู้มอบนโยบาย จึงไม่ทราบรายละเอียดของคดี พร้อมยืนยันว่าเจ้าหน้าที่กระทรวงยุติธรรม และคณะทำงานรื้อฟื้นคดีของครูจอมทรัพย์ ไม่มีส่วนรู้เห็นกับเรื่องของการสร้างพยานหลักฐานเท็จ เพราะเชื่อโดยสุจริตใจว่าครูจอมทรัพย์ ไม่ได้เป็นผู้ต้องหาในคดี และมีสิทธิที่จะมาขอรื้อฟื้นคดีได้ ซึ่งเจ้าหน้าที่ทำไปบนพื้นฐานของพยานหลักฐาน ส่วนรายละเอียดต่างๆจะขอให้ข้อมูลกับทางเจ้าหน้าที่ตำรวจเท่านั้น
ด้าน พล.ต.ต.ธนาศักดิ์ กล่าวว่า คำถามหลักๆที่จะสอบถามรองปลัดกระทรวงยุติธรรมนั้น จะส่งคำถามให้ชี้แจงเป็นเอกสารได้ และก่อนหน้านี้ได้รับการประสานจาก พ.ต.อ.ดุษฎี ว่าพบพิรุธในคดีครูจอมทรัพย์ ที่ผ่านมามีการพบและพูดคุยกับ พ.ต.อ.ดุษฏี หลายครั้ง ทั้งที่ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) และที่กระทรวงยุติธรรม ในส่วนของข้อมูลกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) เกี่ยวกับการสอบปากคำนายสับ และนายสุริยา ด้วยเครื่องจับเท็จนั้น สำนักงานตำรวจแห่งชาติได้รับทราบข้อเท็จจริงจากรายงานของกระทรวงยุติธรรมแล้ว โดยเป็นการรับทราบข้อเท็จจริง ภายหลังศาลสั่งรื้อฟื้นคดีไปแล้ว หลังจากนี้จะมีการพิจารณาในรูปแบบของคณะกรรมการ และไม่เกินเดือน ธ.ค.นี้ จะสรุปสำนวนคดีได้ทั้งหมดว่าจะแจ้งความดำเนินคดีกับบุคคลใดได้บ้าง ซึ่งคดีนี้มีคณะทำงานกว่า 30 คน จึงยืนยันได้ว่าไม่มีการเกี้ยะเซี๊ยะตำรวจกับกระทรวงยุติธรรม การจะดำเนินการเอาผิดเจ้าหน้าที่กระทรวงยุติธรรม และดีเอสไอ ต้องดูพยานหลักฐานเป็นหลัก
“ในส่วนของเจ้าหน้าที่ยังไม่มีการแจ้งข้อหา เนื่องจากเรียกมาสอบปากคำในฐานะพยานเท่านั้น ส่วนกรณีเจ้าหน้าที่ที่ทราบว่าพยานรับสารภาพนั้น อาจเกี่ยวข้องจริง แต่ต้องดูที่เจตนา ซึ่งกรณีเป็นการกระทำในการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ ซึ่งมีเจตนาเพื่ออำนวยความยุติธรรมเป็นหลัก จึงไม่ถือว่าเป็นผู้ร่วมขบวนการ” พล.ต.ต.ธนาศักดิ์ กล่าว
วันเดียวกัน น.ส.วาสนา เพชรทอง อายุ 42 ปี พร้อมนายประทีป นวลเศรษฐ ทนายความ และญาติอีกจำนวนหนึ่ง เดินทางจาก อ.อู่ทอง จ.สุพรรณบุรี มายังกองบังคับการตำรวจภูธรจังหวัด(บก.ภ.จว.) นครพนม เพื่อเข้ารับทราบข้อกล่าวหาในคดีดังกล่าว หลังเคยเลื่อนนัดมาแล้วครั้งหนึ่ง โดย น.ส.วาสนา ถูกนำตัวไปยังห้องสอบสวนชั่วคราว บนชั้น 4 อาคารแสงสิงแก้ว บก.ภ.จว.นครพนม ทันที โดย น.ส.วาสนา ซึ่งถูกตั้งข้อหาร่วมกันนำสืบแสดงเอกสารอันเป็นเท็จ และซ่องโจร ได้ปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหา
ด้าน พล.ต.ต.สุวิชาญ ญาณกิตติกุล ผบก.ภ.จว.นครพนม กล่าวว่า น.ส.วาสนา เป็นผู้ได้รับมอบอำนาจจากนางจอมทรัพย์ ขณะต้องโทษอยู่ในเรือนจำกลางจังหวัดนครพนม โดยเป็นคนเดินเรื่องแทนนางจอมทรัพย์ ในการยื่นหนังสือร้องขอความเป็นธรรมกับหน่วยงานต่างๆ บางครั้งก็ปรากฏตัวร่วมกับนายสุริยา , นายสับ วาปี และนางทัศนีย์ หาญพยัคฆ์ จึงเชื่อว่า น.ส.วาสนา รู้เห็นขั้นตอนต่างๆอย่างละเอียด
“น.ส.วาสนา เปรียบเสมือนคนเดินเรื่อง เป็นตัวแทนครูจอมทรัพย์ ที่ไปร่วมมอบเงินค่าสินไหม 1.7 ล้านบาท แก่ทายาทของผู้ตาย พร้อมรับเงินสด 1 ล้านบาท จากมาร์ค พิทบูล ด้วย” พล.ต.ต.สุวิชาญ กล่าว
พล.ต.ต.สุวิชาญ กล่าวอีกว่า สำหรับคดีนี้เจ้าหน้าที่ตำรวจจับกุม และออกหมายเรียกผู้ต้องหาไปแล้ว รวม 11 คน เข้าพบพนักงานสอบสวนแล้ว 10 คน ประกอบด้วย 1.นางจอมทรัพย์ 2.นายสุริยา 3.น.ส.วาสนา 4.นายสับ วาปี 5.นางจันทร์ วาปี 6.นายนิรันดร์ แสนเมืองโคตร 7.นางทัศนีย์ หาญพยัคฆ์ 8.นางทองเรศ วงศ์ศรีชา 9.นายเสน่ห์ สุพรรณ และ 10.นางรจนา จันทรัตน์ เหลือที่ยังไม่ไปรับทราบข้อกล่าวหา คือ นายธณัช สุขตลอดปี ทนายความ ที่คอยแนะนำข้อต่อสู้ และเคยปรากฏตัวคู่กับนายสุริยา เมื่อครั้งเดินทางมาแจ้งความที่ สภ.ต่างๆใน จ.นครพนม เจ้าหน้าที่ตำรวจออกหมายเรียกครั้งที่ 2 ให้เข้ารับทราบข้อกล่าวหาในวันที่ 26 ธ.ค.นี้ ที่ บก.ภ.จว.นครพนม.
วานนี้ (14 ธ.ค.) เมื่อเวลา 10.00 น. พล.ต.ต.ธนาศักดิ์ ฤทธิ์เดชไพบูลย์ รองผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 4 (รองผบช.ภ.4) พร้อมคณะ ได้เดินทางมายังกระทรวงยุติธรรม เข้าพบ พ.ต.อ.ดุษฎี อารยวุฒิ รองปลัดกระทรวงยุติธรรม เพื่อสอบปากคำกรณีการรับรื้อฟื้นคดีให้กับ นางจอมทรัพย์ ศรีบุญหอม หรือแสนเมืองโคตร อดีตข้าราชการครู จ.สกลนคร โดย พล.ต.ต.ธนาศักดิ์ กล่าวก่อนเข้าพบ พ.ต.อ.ดุษฎี ว่า เป็นการมาสอบปากคำในฐานะที่ พ.ต.อ.ดุษฎี เป็นหัวหน้าหน่วยที่ดูแลศูนย์ช่วยเหลือลูกหนี้เพื่อจะสอบถามกฎระเบียบของศูนย์ฯ
ภายหลังการเข้าสอบปากคำใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง พ.ต.อ.ดุษฎี และ พล.ต.ต.ธนาศักดิ์ ร่วมกันแถลง โดย พ.ต.อ.ดุษฎี กล่าวว่า วันนี้ทางรอง ผบช.ภ.4 เดินทางมาพบเพื่อวางแนวทางการทำงานร่วมกัน โดยกระทรวงยุติธรรมและตำรวจไม่ได้มีความขัดแย้งกัน ประสานงานกันมาตลอด ยืนยันว่าการทำคดีช่วยเหลือในเรื่องการอำนวยความยุติธรรมเป็นหลัก โดยอยู่บนพื้นฐานของหลักฐานและให้ความเป็นธรรมกับประชาชนมากที่สุด และน้อมรับคำตัดสินของศาลทุกอย่าง
“ขอยืนยันว่าการรื้อฟื้นคดีของครูจอมทรัพย์ เป็นการทำไปตามพยานหลักฐาน และสิทธิที่ครูจอมทรัพย์ ได้รับมาตั้งแต่ปี 2557 ซึ่งกระทรวงยุติธรรมมีหน้าที่ในการอำนวยความยุติธรรมให้กับประชาชน โดยยอมรับว่าได้รับรายงานจากผู้ใต้บังคับบัญชาว่านายสับ วาปี และนายสุริยา นวนเจริญ หรือครูอ๋อง พยานของครูจอมทรัพย์ รับสารภาพว่ามีการว่าจ้างให้รับผิดแทน จึงได้นำพยาน และครูจอมทรัพย์เข้าเครื่องจับเท็จ แต่ไม่สามารถจับเท็จครูจอมทรัพย์ได้ เพราะมีความผิดปกติทางร่างกายทำให้ไม่มีเหงื่อ จึงถือว่าครูจอมทรัพย์ ยังมีสิทธิในการรื้อฟื้นคดีอยู่” พ.ต.อ.ดุษฎี กล่าว
รองปลัดกระทรวงยุติธรรม กล่าวยืนยันด้วยว่า ไม่มีส่วนรู้เห็นในการสร้างพยานหลักฐานเท็จของครูจอมทรัพย์ เพราะตนไม่ได้ติดต่อกับพยานโดยตรง เป็นเพียงผู้มอบนโยบาย จึงไม่ทราบรายละเอียดของคดี พร้อมยืนยันว่าเจ้าหน้าที่กระทรวงยุติธรรม และคณะทำงานรื้อฟื้นคดีของครูจอมทรัพย์ ไม่มีส่วนรู้เห็นกับเรื่องของการสร้างพยานหลักฐานเท็จ เพราะเชื่อโดยสุจริตใจว่าครูจอมทรัพย์ ไม่ได้เป็นผู้ต้องหาในคดี และมีสิทธิที่จะมาขอรื้อฟื้นคดีได้ ซึ่งเจ้าหน้าที่ทำไปบนพื้นฐานของพยานหลักฐาน ส่วนรายละเอียดต่างๆจะขอให้ข้อมูลกับทางเจ้าหน้าที่ตำรวจเท่านั้น
ด้าน พล.ต.ต.ธนาศักดิ์ กล่าวว่า คำถามหลักๆที่จะสอบถามรองปลัดกระทรวงยุติธรรมนั้น จะส่งคำถามให้ชี้แจงเป็นเอกสารได้ และก่อนหน้านี้ได้รับการประสานจาก พ.ต.อ.ดุษฎี ว่าพบพิรุธในคดีครูจอมทรัพย์ ที่ผ่านมามีการพบและพูดคุยกับ พ.ต.อ.ดุษฏี หลายครั้ง ทั้งที่ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) และที่กระทรวงยุติธรรม ในส่วนของข้อมูลกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) เกี่ยวกับการสอบปากคำนายสับ และนายสุริยา ด้วยเครื่องจับเท็จนั้น สำนักงานตำรวจแห่งชาติได้รับทราบข้อเท็จจริงจากรายงานของกระทรวงยุติธรรมแล้ว โดยเป็นการรับทราบข้อเท็จจริง ภายหลังศาลสั่งรื้อฟื้นคดีไปแล้ว หลังจากนี้จะมีการพิจารณาในรูปแบบของคณะกรรมการ และไม่เกินเดือน ธ.ค.นี้ จะสรุปสำนวนคดีได้ทั้งหมดว่าจะแจ้งความดำเนินคดีกับบุคคลใดได้บ้าง ซึ่งคดีนี้มีคณะทำงานกว่า 30 คน จึงยืนยันได้ว่าไม่มีการเกี้ยะเซี๊ยะตำรวจกับกระทรวงยุติธรรม การจะดำเนินการเอาผิดเจ้าหน้าที่กระทรวงยุติธรรม และดีเอสไอ ต้องดูพยานหลักฐานเป็นหลัก
“ในส่วนของเจ้าหน้าที่ยังไม่มีการแจ้งข้อหา เนื่องจากเรียกมาสอบปากคำในฐานะพยานเท่านั้น ส่วนกรณีเจ้าหน้าที่ที่ทราบว่าพยานรับสารภาพนั้น อาจเกี่ยวข้องจริง แต่ต้องดูที่เจตนา ซึ่งกรณีเป็นการกระทำในการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ ซึ่งมีเจตนาเพื่ออำนวยความยุติธรรมเป็นหลัก จึงไม่ถือว่าเป็นผู้ร่วมขบวนการ” พล.ต.ต.ธนาศักดิ์ กล่าว
วันเดียวกัน น.ส.วาสนา เพชรทอง อายุ 42 ปี พร้อมนายประทีป นวลเศรษฐ ทนายความ และญาติอีกจำนวนหนึ่ง เดินทางจาก อ.อู่ทอง จ.สุพรรณบุรี มายังกองบังคับการตำรวจภูธรจังหวัด(บก.ภ.จว.) นครพนม เพื่อเข้ารับทราบข้อกล่าวหาในคดีดังกล่าว หลังเคยเลื่อนนัดมาแล้วครั้งหนึ่ง โดย น.ส.วาสนา ถูกนำตัวไปยังห้องสอบสวนชั่วคราว บนชั้น 4 อาคารแสงสิงแก้ว บก.ภ.จว.นครพนม ทันที โดย น.ส.วาสนา ซึ่งถูกตั้งข้อหาร่วมกันนำสืบแสดงเอกสารอันเป็นเท็จ และซ่องโจร ได้ปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหา
ด้าน พล.ต.ต.สุวิชาญ ญาณกิตติกุล ผบก.ภ.จว.นครพนม กล่าวว่า น.ส.วาสนา เป็นผู้ได้รับมอบอำนาจจากนางจอมทรัพย์ ขณะต้องโทษอยู่ในเรือนจำกลางจังหวัดนครพนม โดยเป็นคนเดินเรื่องแทนนางจอมทรัพย์ ในการยื่นหนังสือร้องขอความเป็นธรรมกับหน่วยงานต่างๆ บางครั้งก็ปรากฏตัวร่วมกับนายสุริยา , นายสับ วาปี และนางทัศนีย์ หาญพยัคฆ์ จึงเชื่อว่า น.ส.วาสนา รู้เห็นขั้นตอนต่างๆอย่างละเอียด
“น.ส.วาสนา เปรียบเสมือนคนเดินเรื่อง เป็นตัวแทนครูจอมทรัพย์ ที่ไปร่วมมอบเงินค่าสินไหม 1.7 ล้านบาท แก่ทายาทของผู้ตาย พร้อมรับเงินสด 1 ล้านบาท จากมาร์ค พิทบูล ด้วย” พล.ต.ต.สุวิชาญ กล่าว
พล.ต.ต.สุวิชาญ กล่าวอีกว่า สำหรับคดีนี้เจ้าหน้าที่ตำรวจจับกุม และออกหมายเรียกผู้ต้องหาไปแล้ว รวม 11 คน เข้าพบพนักงานสอบสวนแล้ว 10 คน ประกอบด้วย 1.นางจอมทรัพย์ 2.นายสุริยา 3.น.ส.วาสนา 4.นายสับ วาปี 5.นางจันทร์ วาปี 6.นายนิรันดร์ แสนเมืองโคตร 7.นางทัศนีย์ หาญพยัคฆ์ 8.นางทองเรศ วงศ์ศรีชา 9.นายเสน่ห์ สุพรรณ และ 10.นางรจนา จันทรัตน์ เหลือที่ยังไม่ไปรับทราบข้อกล่าวหา คือ นายธณัช สุขตลอดปี ทนายความ ที่คอยแนะนำข้อต่อสู้ และเคยปรากฏตัวคู่กับนายสุริยา เมื่อครั้งเดินทางมาแจ้งความที่ สภ.ต่างๆใน จ.นครพนม เจ้าหน้าที่ตำรวจออกหมายเรียกครั้งที่ 2 ให้เข้ารับทราบข้อกล่าวหาในวันที่ 26 ธ.ค.นี้ ที่ บก.ภ.จว.นครพนม.