ประธานาธิบดีประชานิยมของโปแลนด์ อันด์แชย์ ดูดา ยอมตัดสินใจวีโต้ร่างกฎหมายติดหนวดฮิตเลอร์ ซึ่งจะทำให้กระทรวงยุติธรรมมีอำนาจเหนือศาลฎีกา หลังจากเผชิญกับการเดินขบวนประท้วงในเมืองหลวงและเมืองอื่นๆ ทั่วประเทศ
ดูดาประกาศว่าร่างกฎหมายดังกล่าวไม่เสริมสร้างจิตสำนึกของระบบยุติธรรมให้แข็งแกร่ง และน่าจะตระหนักดีว่าถ้ายังแข็งขืน เดินตามมติของสภาผู้แทนและวุฒิสภาโดยการรับร่างกฎหมาย ต้องเผชิญศึกการต่อต้านอย่างหนัก
นี่เป็นยุคประชาธิปไตยเบ่งบานในสังคมยุโรปตะวันออก ซึ่งไม่น่าจะมีกลิ่นไอของเผด็จการหลงเหลืออยู่ โดยเฉพาะกลุ่มชาติต่างๆ ที่ได้เข้าร่วมในประชาคมยุโรป มีเงินตราสกุลเดียวกัน มีนโยบายสอดคล้องกัน ทุกอย่างน่าจะไปกันด้วยดี
แต่ทิศทางของโปแลนด์ไม่ใช่อย่างนั้น แม้เป็นประเทศแรกในกลุ่มจากยุโรปตะวันออกซึ่งได้เข้าร่วมในกลุ่มอียู แนวโน้มของสังคมชาวโปแลนด์กำลังเผชิญความเข้มขึ้นเรื่อยๆ ของรูปแบบเผด็จการภายใต้พรรคการเมืองที่เพิ่งได้กุมอำนาจ
ล่าสุด ฟางเส้นสุดท้ายบนหลังอูฐก็เริ่มออกฤทธิ์ รัฐสภาโปแลนด์ได้ผ่านร่างกฎหมายปฏิรูปกระบวนการยุติธรรมวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา โดยให้ศาลฎีกาเข้าอยู่ภายใต้การบริหารของกระทรวงยุติธรรม วุฒิสภาได้ผ่านร่างกฎหมายนี้ในวันเสาร์
ถ้าบังคับใช้ จะทำให้ตุลาการศาลฎีกาทั้งหมดสิ้นสถานะ ต้องเกษียณอายุก่อนวาระ และให้กระทรวงยุติธรรมมีอำนาจแต่งตั้งตุลาการศาลฎีกาคณะใหม่ทันที นั่นหมายความว่าอำนาจการเมืองได้อยู่เหนือศาลฎีกาอย่างชัดเจน
ก่อนจะผ่านร่างกฎหมายได้มีการอภิปรายยาวนานถึง 16 ชั่วโมง ทันทีที่รู้ผล ประชาชนโปแลนด์ในกว่า 100 เมืองได้พร้อมใจกันออกมาเดินขบวนประท้วง เรียกร้องให้ประธานาธิบดีอันด์แชย์ ดูดา วีโต้ร่างกฎหมายปฏิรูปที่ว่าให้ตกไป
ย่างเข้าสัปดาห์ใหม่ ชาวโปแลนด์ยังคงออกมาชุมนุมเดินขบวนประท้วงต่อเนื่องในหลายเมือง เกิดกระแสไม่เอารัฐบาล ถ้าขืนปล่อยไว้จะเสียสิทธิถาวร
ประชาชนโปแลนด์มองว่าข้ออ้างในการปฏิรูประบบตุลาการเป็นความพยายามล่าสุดของดูดาในการกระชับอำนาจ เป็นการสวนกระแสของประชาชนที่ต้องการความโปร่งใส การสูญเสียอำนาจตุลาการทำให้ดูดามีอำนาจเด็ดขาด
เดิมก่อนวีโต้ดูดามีเวลาเหลือประมาณ 20 วันเพื่อค้านร่างกฎหมาย ถ้าไม่มีแรงกดดันจากมวลชนคงไม่ง่าย ท่านผู้นำเริ่มเสพติดการจำกัดสิทธิเสรีภาพของพลเมืองหลังจาก “พรรคกฎหมายและยุติธรรม” ชนะเลือกตั้งกุมอำนาจเด็ดขาด
จากนั้นสมาชิกสภาและวุฒิสภาภายใต้พรรคก็เริ่มกระบวนการเป็นขั้นตอนในการกระชับอำนาจ จำกัดสิทธิของประชาชน เช่น ออกกฎหมายควบคุมการชุมนุมเดินขบวนประท้วง การออกกฎหมายจำกัดการปฏิบัติหน้าที่ของสื่อมวลชน
เป็นขั้นตอนเหมือนที่กำลังเกิดขึ้นในสยามเมืองยิ้มแห้งของหมู่เฮาจริงๆ! อันดับแรกคือการออกกฎหมายควบคุมการชุมนุม ขณะที่กฎหมายควบคุมปิดปากสื่อยังได้เห็นความกล้าๆ กลัวๆ โดยรัฐบาลคุณท่านผู้นำประยุทธ์ จันทร์โอชา
แกนนำความเคลื่อนไหวของชาวโปแลนด์บอกว่า มีความเห็นตรงกันว่าอำนาจกระบวนการยุติธรรมควรต้องมีการปฏิรูป แต่ไม่ใช่เป็นไปในลักษณะที่เกิดขึ้น ประชาชนมองออกว่าผู้นำดูดาฉกฉวยโอกาสกระชับอำนาจเผด็จการ
“มันเหมือนกับการซ่อมแซมบ้าน เช่น ซ่อมหน้าต่าง ทาสีผนัง อุดรอยรั่วบนหลังคา แต่ไม่ใช่เอาระเบิดเวลาไปวางไว้ภายใต้ฐานบ้าน” สำนักข่าวซีเอ็นเอ็น อ้างคำพูดของนายอาดัม บ็อตนาร์ ซึ่งเป็นผู้ตรวจการงานด้านสิทธิมนุษยชน
โปแลนด์มีพรมแดนติดกับเยอรมนี ก่อนหน้านี้เป็นหน้าด่านของสงครามเย็นภายใต้การนำของโซเวียตรัสเซียก่อนลัทธิคอมมิวนิสต์ล่มสลาย ทำให้ประเทศยุโรปตะวันออกได้เข้ามาร่วมกับอียู ตีตัวออกห่างจากอิทธิพลของรัสเซีย
แต่แนวโน้มสภาพการเมืองมีกลิ่นไอของเผด็จการตามแบบนโยบายขวาจัดของประธานาธิบดีดูดา ได้สร้างความกังวลในกลุ่มสมาชิกอียูซึ่งอยู่ในกลุ่มยุโรปตะวันตก ซึ่งมองว่าถ้าเหตุการณ์ในโปแลนด์เลวร้ายสมาชิกต้องหารือ
อาจมีมาตรการบีบบังคับตัดสิทธิบางประการสำหรับโปแลนด์ เช่น การคว่ำบาตร ตัดสิทธิในการลงคะแนนที่ประชุมสมาชิก แต่ที่ผ่านมามาตรการนี้ยังไม่เคยถูกนำมาใช้กับสมาชิกเพราะปัญหาที่เกิดขึ้นถูกแก้ด้วยการเจรจาหารือกัน
เจ้าหน้าที่ระดับสูงของอียูได้ออกมาเตือนว่าร่างกฎหมายนี้จะทำลายความเป็นอิสระของกระบวนการตุลาการศาล และทำให้ระบบทั้งหมดถูกควบคุมโดยฝ่ายการเมือง ไม่เป็นที่น่าเชื่อถืออีกต่อไปในประชาคมโลก และในกลุ่มสมาชิกอียู
ประธานสภายุโรป โดนัลด์ ทัสค์ ซึ่งเป็นอดีตนายกรัฐมนตรีโปแลนด์และหัวหน้าพรรคฝ่ายค้าน ได้เตือนให้ระวังอันตรายจากผลของการผ่านร่างกฎหมายทำให้โปแลนด์เสียบรรยากาศประชาธิปไตย และเรียกร้องดูดาให้ใช้อำนาจวีโต้
การสำรวจโดยซีเอ็นเอ็นได้ชี้ชัดว่าประชาชนส่วนใหญ่ต้องการให้ดูดาวีโต้ และท่านผู้นำตัดสินใจประกาศ “ไอ้เสือถอย” เพราะอำนาจเข้มที่ได้มาก็เยอะแล้ว ถ้ายังขืนดันทุรังเดินหน้ามีความเสี่ยงสูง อาจถูกเดินขบวนขับไล่จนตกเก้าอี้ผู้นำ