ผู้จัดการสุดสัปดาห์ -ยุคนี้ คดีทุจริตประพฤติมิชอบยอดคดีพุ่งขึ้นมาก ซึ่งเป็นผลงานของเจ้าหน้าที่รัฐในยุค คสช.ปราบโกง กำลังทำงานแข็งขัน เพื่อแสดงให้เห็นว่า พวกหลบเลี่ยงกฎหมายยังมีอยู่ และกำลังได้รับผลกรรมรับโทษจับยัดคุกยึกทรัพย์กันต่อไป
ที่มีคดีทุจริตโผล่ออกมามาก ด้านหนึ่งเป็นเพราะคสช. กำลังโชว์ให้เห็นว่า งานหลักต่อข้ออ้างยึดอำนาจ "นักการเมืองขี้ฉ้อ" ต้องไม่มีที่ยืนในสังคมนั้นยังไม่ลืม โดยเฉพาะปฏิบัติการตามล้างตามเช็ดพวกนักการเมืองสันดานโจร ใช้งบประมาณเล่นแร่แปรธาตุเข้ากระเป๋าพวกพ้องในทางมิชอบ ขณะนี้คดีผุดให้เห็นตามหน้าสื่อมากมายเป็นรายวัน
ไล่ตั้งแต่หน้าเก่ารายล่าสุด ป.ป.ช. มีมติชี้มูลความผิด "เอ๋" ชนม์สวัสดิ์ อัศวเหม อดีตนายกเทศมนตรีนครสมุทรปราการ กับพวก กรณีทำสัญญาจ้างเก็บขยะมูลฝอย และกวาดถนนในเขตพื้นที่เทศบาลนครสมุทรปราการ โดยกำหนดระยะเวลาตามสัญญาจ้าง 5 ปีติดต่อกัน ถือเป็นการก่อหนี้ผูกพันงบประมาณเกินกว่า 1 ปีงบประมาณ โดยมิชอบ ด้วยระเบียบกระทรวงมหาดไทย ว่าด้วยวิธีงบประมาณขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พ.ศ. 2541 และที่แก้ไขเพิ่มเติม เป็นเหตุให้เกิดความเสียหายแก่ทางราชการ เรื่องเกิดตั้งแต่วันที่ 2 พ.ค.46 ค่าความเสียหายวงเงิน 128 ล้านบาท ถือเป็นวิบากกรรมต่อเนื่อง หลังพ้นโทษชดใช้กรรมในเรือนจำ จากคดีเก่าไม่นานจากคดีโกงเลือกตั้ง
งานนี้ ไม่ใช่ฟ้าดินกลั่นแกล้ง แต่นักบุญต้องพ้นคำสาป คนบาปต้องชดใช้ !!! เป็นไปตามธรรมเนียมกฎแห่งกรรม
เพราะกรณีนี้จากการไต่สวน ชนม์สวัสดิ์ ทำสัญญาว่าจ้างบริษัท เพื่อการเก็บขนขยะมูลฝอยและกวาดถนนในพื้นที่เทศบาลนครสมุทรปราการ โดยข้อสัญญากำหนดให้ผู้รับจ้างต้องเข้าดำเนินการตามสัญญาจ้างเป็นประจำทุกวัน ตั้งแต่วันที่ 2 พ.ค.46 รวม 5 ปีติดต่อกัน กำหนดวิธีการจ่ายเงินค่าจ้างเป็นรายเดือน เดือนละ 2,145,000 บาท รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 128,700,000 บาท
ทั้งๆที่ กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น มีหนังสือทักท้วงการทำสัญญาดังกล่าว ว่าจะก่อหนี้ผูกพันงบประมาณรายจ่ายเกินกว่าปีงบประมาณโดยมิชอบ ไม่สอดคล้องกับระเบียบกระทรวงมหาดไทย ว่าด้วยวิธีงบประมาณขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ปี 2541 ให้นายชนม์สวัสดิ์ ทราบแล้ว
ย้ำว่า แจ้งให้ทราบแล้ว!!! แต่อดีตเจ้าพ่อเมืองปากน้ำในเวลานั้น ไม่หือไม่อือ ดื้อดึงดำเนินการต่อไป และกลับมิได้ดำเนินการแก้ไขให้ถูกต้องตามระเบียบ จนเกิดความเสียหาย ป.ป.ช.จึงมีมติชี้มูลความผิด นายชนม์สวัสดิ์ กับพวก มีความผิดทางวินัยและความผิดทางอาญา เพื่อดำเนินคดีต่อไป สุดท้ายคงหนีไม่พ้นคุกตารางภาคสอง !!!
ทุจริตฉ้อฉลงบประมาณชาติ เช่นเดียวกับเรื่องที่ไม่มีใครคิดว่าจะเกิดบนแผ่นดินไทยสยามเมืองยิ้ม พวกหน้าหนาสันดานหยาบช้าหากินบนความศรัทธาของพี่น้องชาวพุทธในชนิดที่ไม่กลัวนรกจะกินกบาล
เรื่องฉาวโฉ่แดงขึ้น เมื่อกองบังคับการปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบในวงราชการ (ปปป.) ออกปฏิบัติการตรวจค้นวัดในหลาย 10 จุด ประกอบไปด้วยบ้านพักข้าราชการระดับสูง สังกัดสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.)ในหลายจังหวัด แล้วพบเอกสารที่เชื่อมโยงกับการทุจริตเงินอุดหนุนงบประมาณบูรณะ และปฏิสังขรณ์วัดของพศ. หลังตรวจพบว่ามีวัดที่ร่วมทุจริต 12 แห่ง
จากการเปิดเผยของเจ้าหน้าที่กองปรามปราบ บอกว่าการเข้าตรวจค้นบ้านเป้าหมาย สืบเนื่องมาจากสำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ได้รับเบาะแสการทุจริต จึงได้ทำการตรวจสอบจนพบความผิดปกติในเส้นทางการเบิกจ่ายเงินงบประมาณของสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ จึงได้ส่งต่อข้อมูลให้กับกองปรามปราบฯ ตั้งแต่เดือนส.ค.58
และจากการตรวจสอบข้อมูลเงินงบประมาณสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ปี 2555-2559 ที่มีการเบิกจ่าย 33 วัด พบว่า วัดที่เข้าข่ายทุจริต 12 วัด อยู่ในพื้นที่ภาคเหนือ 6 วัด ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 3 วัด ภาคกลาง 2 วัด และ ภาคใต้ 1 วัด รวมแล้ว สูญเงินไปกว่า 60.5 ล้านบาท
ที่หนักหนาไปกว่านั้นคือ ต่อมาคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ออกมาแฉ ว่า ปมทุจริตเงินทอนในทำนองดังกล่าว ไม่ใช่มีแต่ที่ออกมาแฉในเบื้องต้นเท่านั้น แต่ในมือป.ป.ช.มีอีกอย่างน้อยเกือบเจ็ดสิบคดี ในพื้นที่ปลายด้ามขวาน
พบมารศาสนา ทุจริตเงินอุดหนุนวัดอีกประมาณ 70 วัด ในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ คือ สงขลา นราธิวาส ปัตตานี ยะลา และ สตูล มูลค่าความเสียหายกว่า 90 ล้านบาท โดยการกระทำผิดทำนองเดียวกัน คือมีลักษณะเจ้าหน้าที่รัฐร่วมกระทำความผิด ใช้โมเดลเดียวกัน คือ โอนเงินเกินแล้วเรียกเงินคืน หรือเงินทอน
เชื่อขนมกินได้ ต่อไปต้องมีขาใหญ่ติดคุกตาราง เพราะวันนี้รับลูกแล้ว ทั้งรัฐบาลและฝ่ายตรวจสอบ โดยเฉพาะนายวิษณุ เครืองาม รองนายกฯ บอกว่าคนโกงต้องรับกรรม หรือ นายออมสิน ชีวะพฤกษ์ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯ บอกส่วนใหญ่เป็นฆราวาส
ต้องเกาะติดอย่ากระพริบตา งานนี้มีล้มยักษ์แน่ เพราะแว่วๆ ว่า มีการขยายผลมาถึงวัดในกรุงฯแล้ว แต่แบบนี้ต้องสนับสนุนเต็มที่ เพื่อฉีกหน้ากากคนบาปในคราบนักบุญออกมาให้สังคมตาสว่าง โดยเฉพาะไอ้พวกนักการเมืองท้องถิ่นที่เดินเกมผ่านกรรมการของวัดตามตำบลหมู่บ้าน หรือหัวคะแนนอย่างแนบเนียน
สองคดีสองเรื่องที่ว่า มีลักษณะการกระทำความผิดคล้ายคลึงกัน คือ ใช้งบประมาณแผ่นดิน มาเล่นแร่แปรธาตุ ใช้ผิดวิธี ผิดประเภท นำมาซึ่งการทุจริตหักหัวคิวงบแผ่นดิน ด้วยน้ำมือนักการเมืองหัวโจก
และยังคล้ายคลึงคดีในอดีต คือกรณี ป.ป.ช. เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง คดีหวยบนดิน หรือ "การทุจริตโครงการออกสลากเลขท้าย 2 ตัว 3 ตัว" ตอนเดอะแม้ว "ทักษิณ ชินวัตร"เป็นนายกฯ สมัยที่ "พล.ต.ต.สุรสิทธิ์ สังขพงศ์" เป็น ผอ.กองสลากฯ ในข้อหาทำนองจับจ่ายใช้เงินที่ได้จากสลาก โดยไม่ผ่านกระทรวงการคลัง คือใช้วัดไปอ้างของบ มาสร้างนั่นนี่ แต่จริงๆ แล้วทำหรือไม่ทำก็ไม่มีใครตรวจสอบ เงินงบหวยก็แบ่งเข้ากระเป๋า ระหว่างพระกับนักการเมือง วัดครึ่ง นักการเมืองครึ่ง
รัฐบาลทักษิณในขณะนั้นใช้เงินมือเติบ เติมเงินจากการซิกแซ็กงบประมาณแผ่นดินใส่โครงการประชานิยมอย่างสนุกสนาน หวังโกยคะแนนทำแต้มให้ติดลมบน เหมือนซื้อเสียงเชิงนโยบาย ให้ตัวเองครองอำนาจต่อเนื่องยาวนาน ด้วยรูปแบบการยักยอกเงินกลายๆไม่ส่งเงินเข้าหลวง
แม้สุดท้ายศาลฯ จะจำหน่ายคดี และลงโทษจำเลยเพียงสามคนแบบสถานเบา ปรับเงินไม่ระคายผิว พร้อมให้รอลงอาญา แต่สังคมก็รู้ทัน ผลกรรมก็ตามทัน สร้างบทเรียนแก่นักโกงเมืองขี้ฉ้อ ทำชั่วไม่มีทางลอยนวล ทำไม่ดี มักไม่มีแผ่นดินอยู่
การทุจริตงบประมาณแผ่นดิน อาจมีรูปแบบแตกต่างกันไป แต่เนื้อแท้ก็คือเจตนาไม่บริสุทธิ์ สุดท้ายจุดจบก็อเนจอนาถทุกรายไป