สุราษฎร์ธานี - สภาทนายความสุราษฎร์ธานี ออกโรงประณาม ทนายนอกรีต ยักยอกเงิน 5 ล้าน ของ “น้องบีม” ที่สู้คดีถูกรถพ่วงชนจนร่างพิการ ทำให้เสื่อมเสียชื่อเสียงวิชาชีพ และจรรยาบรรณอย่างรุนแรง เสนอให้ลบชื่อออกจากบัญชีทนายความ
จากกรณีสื่อมวลชลนำเสนอข่าว มีทนายความในพื้นที่จังหวัดสุราษฎร์ธานี ยักยอกเอาเงิน จำนวน 5 ล้านบาท ของลูกความ คือ ด.ญ.ภัทรดา แก้วผ่อง หรือน้องบีม ที่ต่อสู้คดีถูกรถพ่วง 18 ล้อชน จนร่างกายพิการ
ล่าสุด เมื่อเวลา 15.00 น.วันนี้ (30 มิ.ย.) ที่สำนักงานสภาทนายความจังหวัดสุราษฎร์ธานี นายสมชัย เลี้ยงจรูญรัตน์ ประธานสภาทนายความจังหวัดสุราษฎร์ธานี พร้อมด้วยตัวแทนสภาทนายความจำนวนหนึ่ง เป็นตัวแทนของสมาชิกสภาทนายความกว่า 1,000 คน ได้แจกเอกสารแถลงข่าวต่อสื่อมวลชน ว่า สภาทนายความจังหวัดสุราษฎร์ธานี สภาทนายความจังหวัดไชยา สภาทนายความจังหวัดเวียงสระ สภาทนายความจังหวัดเกาะสมุย ในฐานะองค์วิชาชีพของทนายความในจังหวัดสุราษฎร์ธานี พิจารณาแล้วเห็นว่า เรื่องนี้มีผลกระทบต่อองค์กร และทนายความในจังหวัดสุราษฎร์ธานีอย่างยิ่ง จึงมีความเห็นร่วมกันว่า สมควรแถลงข้อเท็จจริงให้สังคมได้รับรู้ความจริงดังนี้
1.คดีนี้เกิดขึ้นในเขตอำนาจศาลจังหวัดไชยา และได้ฟ้องคดีที่ศาลจังหวัดไชยา ตั้งแต่ปี 2559 คดีถึงที่สุดแล้ว 2.ทนายความผู้มีชื่อปรากฏในข่าวดังกล่าวไม่ใช่ทนายความในสังกัดสภาทนายความจังหวัดสุราษฎร์ธานี แต่อย่างใด แต่เป็นทนายความที่จดทะเบียน ณ พื้นที่อื่นนอกจังหวัดสุราษฎร์ธานี
3.ขอเรียนว่า ทนายความในจังหวัดสุราษฎร์ธานียืนเคียงข้างประชาชน ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์สุจริต ยึดมั่นในจรรยาบรรณแห่งวิชาชีพ และมารยาททนายความอย่างเคร่งครัด เป็นที่เชื่อมั่นศรัทธาของพี่น้องประชาชนเสมอมา
4.เรื่องนี้หากข้อเท็จจริงเป็นไปตามข่าวที่ปรากฏทางสื่อ และผู้เสียหายต้องการความช่วยเหลือจากสภาทนายความ ก็สามารถยื่นหนังสือขอความช่วยเหลือได้ที่สภาทนายความเพื่อจะได้ดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป
ทั้งนี้ หากผ่านกระบวนการสอบสวนจากคณะกรรมการมรรยาทของสภาทนายความในพระบรมราชูปถัมภ์ ผลสอบออกมาว่า ทนายความดังกล่าวยักยอกเงินตามที่ผู้เสียหายกล่าวหาจริง ก็จะมีบทลงโทษสูงสุด คือ การลบชื่อออกจากสาระบบสภาทนายความ หรือถูกเพิกถอนใบประกอบวิชาชีพ นอกจากนี้ ก็อาจจะถูกดำเนินคดีข้อหาลักทรัพย์ ยักยอกทรัพย์ผู้อื่นด้วย
อย่างไรก็ตาม ขอยืนยันว่าทนายความที่กระทำการดังกล่าวเป็นเพียงส่วนน้อย และผู้กระทำ ณ วันนี้ สังคมได้ตัดสินลงโทษไปแล้ว และในสภาทนายความในพระบรมราชูปถัมภ์ก็จะต้องออกมาเยียวยาผู้ได้รับความเสียหายตามสมควร พร้อมกับกล่าวคำขอโทษประชาชน ในนามของทนายความก็ต้องมีส่วนออกมาต่อสังคม
พร้อมยืนยันว่าผู้ที่กระทำความผิดเป็นเพียงส่วนน้อยของผู้ประกอบอาชีพทนายความ ซึ่งส่วนส่วนใหญ่ผู้ประกอบอาชีพทนายความยังมีความประพฤติอยู่ในกรอบอย่างเคร่งครัด
จากกรณีสื่อมวลชลนำเสนอข่าว มีทนายความในพื้นที่จังหวัดสุราษฎร์ธานี ยักยอกเอาเงิน จำนวน 5 ล้านบาท ของลูกความ คือ ด.ญ.ภัทรดา แก้วผ่อง หรือน้องบีม ที่ต่อสู้คดีถูกรถพ่วง 18 ล้อชน จนร่างกายพิการ
ล่าสุด เมื่อเวลา 15.00 น.วันนี้ (30 มิ.ย.) ที่สำนักงานสภาทนายความจังหวัดสุราษฎร์ธานี นายสมชัย เลี้ยงจรูญรัตน์ ประธานสภาทนายความจังหวัดสุราษฎร์ธานี พร้อมด้วยตัวแทนสภาทนายความจำนวนหนึ่ง เป็นตัวแทนของสมาชิกสภาทนายความกว่า 1,000 คน ได้แจกเอกสารแถลงข่าวต่อสื่อมวลชน ว่า สภาทนายความจังหวัดสุราษฎร์ธานี สภาทนายความจังหวัดไชยา สภาทนายความจังหวัดเวียงสระ สภาทนายความจังหวัดเกาะสมุย ในฐานะองค์วิชาชีพของทนายความในจังหวัดสุราษฎร์ธานี พิจารณาแล้วเห็นว่า เรื่องนี้มีผลกระทบต่อองค์กร และทนายความในจังหวัดสุราษฎร์ธานีอย่างยิ่ง จึงมีความเห็นร่วมกันว่า สมควรแถลงข้อเท็จจริงให้สังคมได้รับรู้ความจริงดังนี้
1.คดีนี้เกิดขึ้นในเขตอำนาจศาลจังหวัดไชยา และได้ฟ้องคดีที่ศาลจังหวัดไชยา ตั้งแต่ปี 2559 คดีถึงที่สุดแล้ว 2.ทนายความผู้มีชื่อปรากฏในข่าวดังกล่าวไม่ใช่ทนายความในสังกัดสภาทนายความจังหวัดสุราษฎร์ธานี แต่อย่างใด แต่เป็นทนายความที่จดทะเบียน ณ พื้นที่อื่นนอกจังหวัดสุราษฎร์ธานี
3.ขอเรียนว่า ทนายความในจังหวัดสุราษฎร์ธานียืนเคียงข้างประชาชน ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์สุจริต ยึดมั่นในจรรยาบรรณแห่งวิชาชีพ และมารยาททนายความอย่างเคร่งครัด เป็นที่เชื่อมั่นศรัทธาของพี่น้องประชาชนเสมอมา
4.เรื่องนี้หากข้อเท็จจริงเป็นไปตามข่าวที่ปรากฏทางสื่อ และผู้เสียหายต้องการความช่วยเหลือจากสภาทนายความ ก็สามารถยื่นหนังสือขอความช่วยเหลือได้ที่สภาทนายความเพื่อจะได้ดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป
ทั้งนี้ หากผ่านกระบวนการสอบสวนจากคณะกรรมการมรรยาทของสภาทนายความในพระบรมราชูปถัมภ์ ผลสอบออกมาว่า ทนายความดังกล่าวยักยอกเงินตามที่ผู้เสียหายกล่าวหาจริง ก็จะมีบทลงโทษสูงสุด คือ การลบชื่อออกจากสาระบบสภาทนายความ หรือถูกเพิกถอนใบประกอบวิชาชีพ นอกจากนี้ ก็อาจจะถูกดำเนินคดีข้อหาลักทรัพย์ ยักยอกทรัพย์ผู้อื่นด้วย
อย่างไรก็ตาม ขอยืนยันว่าทนายความที่กระทำการดังกล่าวเป็นเพียงส่วนน้อย และผู้กระทำ ณ วันนี้ สังคมได้ตัดสินลงโทษไปแล้ว และในสภาทนายความในพระบรมราชูปถัมภ์ก็จะต้องออกมาเยียวยาผู้ได้รับความเสียหายตามสมควร พร้อมกับกล่าวคำขอโทษประชาชน ในนามของทนายความก็ต้องมีส่วนออกมาต่อสังคม
พร้อมยืนยันว่าผู้ที่กระทำความผิดเป็นเพียงส่วนน้อยของผู้ประกอบอาชีพทนายความ ซึ่งส่วนส่วนใหญ่ผู้ประกอบอาชีพทนายความยังมีความประพฤติอยู่ในกรอบอย่างเคร่งครัด