วานนี้ (15 มิ.ย.) ที่ประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ได้พิจารณา ร่าง พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง ที่คณะกมธ.วิสามัญฯพิจารณาแล้วเสร็จ โดยมี พล.อ.สมเจตน์ บุญถนอม ในฐานะประธาน กมธ.วิสามัญฯ กล่าวชี้แจงว่า ร่าง พ.ร.บ.ดัง กล่าวมี 142 มาตรา แก้ไขไป 60 มาตรา ตัดออก 1 มาตรา และเพิ่มใหม่ 4 มาตรา มีเจตนารมณ์ขจัดนายทุนครอบงำพรรคการเมือง ส่งเสริมให้พรรคการเมืองเข้มแข็ง ประชาชนรู้สึกเป็นเจ้าของพรรค มีส่วนร่วมคัดสรรผู้สมัครทั้งส.ส. แบบแบ่งเขต และบัญชีรายชื่อ พร้อมยืนยันว่า พรรคการเมืองต้องถูกปฏิรูป ถ้าไม่เช่นนั้นการปฏิวัติครั้งนี้ เสียของแน่
ทั้งนี้ ในการอภิปรายของ สนช. และตัวแทนของกรธ. อยู่ที่ มาตรา 9 ว่าด้วยการกำหนดจำนวนเงินสำหรับเป็นทุนประเดิมของพรรคการเมือง ที่ กมธ.วิสามัญ ได้แก้ไขให้พรรคการเมืองต้องมีทุนประเดิมไม่น้อยกว่าจำนวนที่ กกต.กำหนดเป็นค่าใช้จ่ายของผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็น ส.ส. แบบแบ่งเขตเลือกตั้ง เมื่อครั้งที่ผ่านมา โดยทุนประเดิมมาจากผู้ร่วมกันจัดตั้งพรรคการเมืองทุกคน ต้องร่วมกันจ่ายเงินเพื่อเป็นทุนประเดิม คนละไม่น้อยกว่า 1,000 บาท แต่ไม่เกินคนละ 50,000 บาท ต่างจากเดิม ที่กรธ.กำหนดให้ต้องมีเงินทุนประเดิมไม่น้อยกว่า 1 ล้านบาท โดยมาจากผู้ร่วมจัดตั้งพรรคการเมืองทุกคน คนละไม่เกิน 1,000 บาท แต่ไม่เกินคนละ 3 แสนบาท
นายธนาวัฒน์ สังข์ทอง กรธ.ในฐานะ กมธ.วิสามัญฯ กล่าวว่า ขอเสนอให้แก้ไข มาตรา 9 กลับไปตามที่ กรธ.เสนอมาในครั้งแรก คือ การให้มีทุนประเดิมไม่น้อยกว่า 1 ล้านบาท ซึ่งโดยมาจากผู้ร่วมจัดตั้งพรรคการเมืองทุกคน คนละไม่เกิน1,000 บาท แต่ไม่เกินคนละ 3 แสนบาท เพราะหากบังคับใช้ตามที่เสียงข้างมากแก้ไข จะก่อให้เกิดปัญหาในทางปฏิบัติ เนื่องจากตัวแทนของกกต. ได้มาชี้แจงว่า ตัวเลขค่าใช้จ่ายของผู้สมัคร ส.ส.จะอยู่ที่ 1.5 ล้านบาท ซึ่งเท่ากับว่า ทุนประเดิมของพรรคการเมือง จะอยู่ 1.5 ล้านบาท ซึ่งจะมีปัญหาตามมาว่า ค่าใช้จ่ายในการเลือกตั้งของแต่ละครั้ง ย่อมจะไม่เท่ากัน โดยจะผันแปรไปตามที่ กกต.ประกาศ ในแต่ละครั้ง ดังนั้น หากพรรคการเมืองไม่มีทุนประเดิมได้ตามที่มีการเปลี่ยนแปลงไปตามตัวเลขค่าใช้จ่ายผู้สมัคร ส.ส. ย่อมจะก่อให้เกิดการตีความว่า พรรคการเมืองนั้นย่อมไม่อาจสามารถส่งผู้สมัครรับเลือกตั้งได้หรือไม่เช่นกัน
ดังนั้นจึงคิดว่าควรกลับไปใช้ มาตรา 9 ตามที่ กรธ.เสนอไว้ตั้งแต่แรก เพื่อให้เกิดความแน่นอนในการดำเนินกิจการของพรรคการเมือง
ด้านพล.อ.สมเจตน์ ชี้แจงว่า ตัวเลข 1.5 ล้านบาท อ้างอิงมาจากตัวเลขค่าใช้จ่ายของผู้สมัครส.ส. ตามที่กกต.กำหนด ซึ่งจะผันแปรไปตามภาวะเศรษฐกิจ ไม่ตายตัว อย่างไรก็ตาม ยืนยันแม้ในตอนแรกพรรคการเมืองอาจไม่ต้องมีทุนประเดิม เพื่อเปิดโอกาสให้ประชาชนที่มีทุนทรัพย์น้อย สามารถตั้งพรรคการเมืองได้ แต่เมื่อดำเนินการกิจการพรรคการเมืองไปแล้ว พรรคการเมือง จะต้องมีเงินทุนประเดิม มิเช่นนั้นพรรคการเมือง จะไม่สามารถขอรับเงินจากกองทุนพัฒนาพรรคการเมืองได้
หลังจากอภิปรายกันเกือบ 2 ชั่วโมง ที่ประชุมมีมติเสียงข้างมาก 109 ต่อ 95 เสียง ไม่เห็นด้วยกับการแก้ไขของคณะกมธ.วิสามัญ โดยเห็นควรแก้ไข มาตรา 9 ว่า เพื่อประโยชน์ในการดำเนินการของพรรคการเมือง พรรคการเมืองต้องมีทุนประเดิมไม่น้อยกว่า 1 ล้านบาท โดยผู้ร่วมกันจัดตั้งพรรคการเมืองทุกคน ต้องร่วมจ่ายเงินเพื่อเป็นทุนประเดิม คนละไม่น้อยกว่า 1,000 บาท แต่ไม่เกินคนละ 5 หมื่นบาท
นอกจากนี้ ที่ประชุุมสนช. ยังเห็นชอบกับ มาตรา 35 มาตรา 47 มาตรา 48 มาตรา 49/1 และ มาตรา 49/2 ว่าด้วยการตั้งตัวแทนพรรคการเมืองประจำจังหวัด และการสรรหาผู้สมัครรับเลือกตั้งส.ส.ระบบแบ่งเขตเลือกตั้ง และระบบบัญชีรายชื่อของพรรคการเมือง หรือ ไพรมารี่โหวต โดยกำหนดให้การส่งผู้สมัครรับเลือกตั้งส.ส. แบ่งเขตเลือกตั้งในเขตเลือกตั้งใด ให้พรรคการเมืองส่งผู้สมัครรับเลือกตั้งจากผูู้ซึ่งได้รับเลือกจากสาขาพรรคการเมือง หรือตัวแทนพรรคการเมือง ประจำจังหวัด
ส่วนการส่งผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็นส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ ให้พรรคการเมืองจัดทำบัญชีรายชื่อ เพื่อส่งให้สาขาพรรคการเมือง หรือตัวแทนพรรคการเมืองประจำจังหวัด โดยให้คำนึงถึงผู้สมัครรับเลือกตั้งจากภูมิภาคต่างๆ และความเท่าเทียมกันระหว่างระหว่างชาย และหญิงด้วย
สำหรับขั้นตอนการสรรหาผู้สมัครรับเลือกตั้งส.ส. กำหนดให้มีคณะกรรมการสรรหาผู้สมัครรับเลือกตั้ง เพื่อทำหน้าที่กำหนดกระบวนการให้มีการประชุมสมาชิกพรรคการเมือง เพื่อลงคะแนนเลือกผู้สมัครรับเลือกตั้ง โดยเมื่อมีการลงคะแนนแล้วจะส่งรายชื่อผู้สมัครซึ่งได้รับคะแนนของแต่ละเขตเลือกตั้งให้คณะกรรมการบริหารพรรคการเมืองให้ความเห็นชอบต่อไป
อย่างไรก็ตาม ที่ประชุมยังได้มีมติเอกฉันท์ 180 คะแนน เห็นชอบ ในวาระ 3 โดยขั้นตอนไปจะส่ง ร่าง พ.ร.บ.ให้กับ กรธ. และกกต. พิจารณาว่าประเด็นที่ สนช.แก้ไขสอดคล้องกับเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญ หรือไม่ โดยทั้งสองหน่วยงาน จะต้องพิจารณาให้เสร็จภายใน 10 วัน และส่งกลับมายังประธานสนช. อีกครั้ง
ทั้งนี้ ในการอภิปรายของ สนช. และตัวแทนของกรธ. อยู่ที่ มาตรา 9 ว่าด้วยการกำหนดจำนวนเงินสำหรับเป็นทุนประเดิมของพรรคการเมือง ที่ กมธ.วิสามัญ ได้แก้ไขให้พรรคการเมืองต้องมีทุนประเดิมไม่น้อยกว่าจำนวนที่ กกต.กำหนดเป็นค่าใช้จ่ายของผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็น ส.ส. แบบแบ่งเขตเลือกตั้ง เมื่อครั้งที่ผ่านมา โดยทุนประเดิมมาจากผู้ร่วมกันจัดตั้งพรรคการเมืองทุกคน ต้องร่วมกันจ่ายเงินเพื่อเป็นทุนประเดิม คนละไม่น้อยกว่า 1,000 บาท แต่ไม่เกินคนละ 50,000 บาท ต่างจากเดิม ที่กรธ.กำหนดให้ต้องมีเงินทุนประเดิมไม่น้อยกว่า 1 ล้านบาท โดยมาจากผู้ร่วมจัดตั้งพรรคการเมืองทุกคน คนละไม่เกิน 1,000 บาท แต่ไม่เกินคนละ 3 แสนบาท
นายธนาวัฒน์ สังข์ทอง กรธ.ในฐานะ กมธ.วิสามัญฯ กล่าวว่า ขอเสนอให้แก้ไข มาตรา 9 กลับไปตามที่ กรธ.เสนอมาในครั้งแรก คือ การให้มีทุนประเดิมไม่น้อยกว่า 1 ล้านบาท ซึ่งโดยมาจากผู้ร่วมจัดตั้งพรรคการเมืองทุกคน คนละไม่เกิน1,000 บาท แต่ไม่เกินคนละ 3 แสนบาท เพราะหากบังคับใช้ตามที่เสียงข้างมากแก้ไข จะก่อให้เกิดปัญหาในทางปฏิบัติ เนื่องจากตัวแทนของกกต. ได้มาชี้แจงว่า ตัวเลขค่าใช้จ่ายของผู้สมัคร ส.ส.จะอยู่ที่ 1.5 ล้านบาท ซึ่งเท่ากับว่า ทุนประเดิมของพรรคการเมือง จะอยู่ 1.5 ล้านบาท ซึ่งจะมีปัญหาตามมาว่า ค่าใช้จ่ายในการเลือกตั้งของแต่ละครั้ง ย่อมจะไม่เท่ากัน โดยจะผันแปรไปตามที่ กกต.ประกาศ ในแต่ละครั้ง ดังนั้น หากพรรคการเมืองไม่มีทุนประเดิมได้ตามที่มีการเปลี่ยนแปลงไปตามตัวเลขค่าใช้จ่ายผู้สมัคร ส.ส. ย่อมจะก่อให้เกิดการตีความว่า พรรคการเมืองนั้นย่อมไม่อาจสามารถส่งผู้สมัครรับเลือกตั้งได้หรือไม่เช่นกัน
ดังนั้นจึงคิดว่าควรกลับไปใช้ มาตรา 9 ตามที่ กรธ.เสนอไว้ตั้งแต่แรก เพื่อให้เกิดความแน่นอนในการดำเนินกิจการของพรรคการเมือง
ด้านพล.อ.สมเจตน์ ชี้แจงว่า ตัวเลข 1.5 ล้านบาท อ้างอิงมาจากตัวเลขค่าใช้จ่ายของผู้สมัครส.ส. ตามที่กกต.กำหนด ซึ่งจะผันแปรไปตามภาวะเศรษฐกิจ ไม่ตายตัว อย่างไรก็ตาม ยืนยันแม้ในตอนแรกพรรคการเมืองอาจไม่ต้องมีทุนประเดิม เพื่อเปิดโอกาสให้ประชาชนที่มีทุนทรัพย์น้อย สามารถตั้งพรรคการเมืองได้ แต่เมื่อดำเนินการกิจการพรรคการเมืองไปแล้ว พรรคการเมือง จะต้องมีเงินทุนประเดิม มิเช่นนั้นพรรคการเมือง จะไม่สามารถขอรับเงินจากกองทุนพัฒนาพรรคการเมืองได้
หลังจากอภิปรายกันเกือบ 2 ชั่วโมง ที่ประชุมมีมติเสียงข้างมาก 109 ต่อ 95 เสียง ไม่เห็นด้วยกับการแก้ไขของคณะกมธ.วิสามัญ โดยเห็นควรแก้ไข มาตรา 9 ว่า เพื่อประโยชน์ในการดำเนินการของพรรคการเมือง พรรคการเมืองต้องมีทุนประเดิมไม่น้อยกว่า 1 ล้านบาท โดยผู้ร่วมกันจัดตั้งพรรคการเมืองทุกคน ต้องร่วมจ่ายเงินเพื่อเป็นทุนประเดิม คนละไม่น้อยกว่า 1,000 บาท แต่ไม่เกินคนละ 5 หมื่นบาท
นอกจากนี้ ที่ประชุุมสนช. ยังเห็นชอบกับ มาตรา 35 มาตรา 47 มาตรา 48 มาตรา 49/1 และ มาตรา 49/2 ว่าด้วยการตั้งตัวแทนพรรคการเมืองประจำจังหวัด และการสรรหาผู้สมัครรับเลือกตั้งส.ส.ระบบแบ่งเขตเลือกตั้ง และระบบบัญชีรายชื่อของพรรคการเมือง หรือ ไพรมารี่โหวต โดยกำหนดให้การส่งผู้สมัครรับเลือกตั้งส.ส. แบ่งเขตเลือกตั้งในเขตเลือกตั้งใด ให้พรรคการเมืองส่งผู้สมัครรับเลือกตั้งจากผูู้ซึ่งได้รับเลือกจากสาขาพรรคการเมือง หรือตัวแทนพรรคการเมือง ประจำจังหวัด
ส่วนการส่งผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็นส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ ให้พรรคการเมืองจัดทำบัญชีรายชื่อ เพื่อส่งให้สาขาพรรคการเมือง หรือตัวแทนพรรคการเมืองประจำจังหวัด โดยให้คำนึงถึงผู้สมัครรับเลือกตั้งจากภูมิภาคต่างๆ และความเท่าเทียมกันระหว่างระหว่างชาย และหญิงด้วย
สำหรับขั้นตอนการสรรหาผู้สมัครรับเลือกตั้งส.ส. กำหนดให้มีคณะกรรมการสรรหาผู้สมัครรับเลือกตั้ง เพื่อทำหน้าที่กำหนดกระบวนการให้มีการประชุมสมาชิกพรรคการเมือง เพื่อลงคะแนนเลือกผู้สมัครรับเลือกตั้ง โดยเมื่อมีการลงคะแนนแล้วจะส่งรายชื่อผู้สมัครซึ่งได้รับคะแนนของแต่ละเขตเลือกตั้งให้คณะกรรมการบริหารพรรคการเมืองให้ความเห็นชอบต่อไป
อย่างไรก็ตาม ที่ประชุมยังได้มีมติเอกฉันท์ 180 คะแนน เห็นชอบ ในวาระ 3 โดยขั้นตอนไปจะส่ง ร่าง พ.ร.บ.ให้กับ กรธ. และกกต. พิจารณาว่าประเด็นที่ สนช.แก้ไขสอดคล้องกับเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญ หรือไม่ โดยทั้งสองหน่วยงาน จะต้องพิจารณาให้เสร็จภายใน 10 วัน และส่งกลับมายังประธานสนช. อีกครั้ง