ผู้จัดการสุดสัปดาห์ - เป็นเหมือนเรื่องปกติไปแล้ว เวลาประกาศคำสั่งแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการตำรวจทีไร ก็จะมีอาฟเตอร์ช็อกออกมาเขย่า สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) โจมตีว่ามีการ “วิ่งเต้น-ซื้อขายตำแหน่ง” อยู่ทุกฤดูกาล
ล่าสุดกับ คำสั่งแต่งตั้งโยกย้ายตำรวจระดับสารวัตร (สว.) รองผู้บังคับการ (รอง ผบก.) ถึงผู้บังคับการ (ผบก.) วาระประจำปี 2559 หรือ “โผนายพัน” ที่คราวนี้ค่อนข้างลงตัว ไม่มีแรงกระเพื่อมจากภายใน สตช.เหมือนฤดูกาลก่อนหน้านี้ จนดูเหมือนว่าทั้ง “มือทำงาน-เด็กฝาก” จะลงล็อก เข้าลู่เข้าเลนพอสมควร
แต่แล้วก็มีผู้ออกมาเปิดโปงว่ามีการซื้อขายตำแหน่งตำรวจใน “โผนายพัน” ที่ดูจะลงตัวนั่นแหละ
คราวนี้เป็น วิทยา แก้วภราดัย อดีตสมาชิกสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ (สปท.) ที่ออกมาแฉว่า มีการวิ่งเต้นซื้อตำแหน่ง และเรียกรับเงิน พร้อมระบุราคาค่างวดไว้อย่างชัดเจนว่า ระดับสารวัตร 1.5-2 ล้านบาท ส่วนระดับผู้กำกับการนั้นสูงถึง 5-7 ล้านบาท
ส่วนตัว วิทยา แก้วภราดัย อาจจะมีตำแหน่งเป็นอดีต ส.ส.นครศรีธรรมราชาหลายสมัย อดีตรัฐมนตรี รวมทั้งอดีต สปท. หนึ่งในองคาพยพของ คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) แต่มีหมวกที่ใหญ่กว่านั้นคือเป็น “แกนนำ กปปส.”
เป็นแกนนำ กปปส.ที่เป็นเบอร์ต้นๆ จนพูดกันว่านี่คือ “มือขวา” ของ สุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาธิการ กปปส.เลยทีเดียว
พลันที่ “วิทยา” ออกมาแฉข้อมูลนั้น อีกทาง “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กำกับดูแล สตช. ก็โยกหลบกระแสทันทีว่า “ไม่มีหรอก ก็พูดไป ก็เอาตัวมายืนยันกันเลย ไม่มีหรอกครับ” พร้อมๆกับทำท่าที “อินโนเซนท์” ว่า “ผมยังไม่รู้วิธีการซื้อตำแหน่ง มันซื้อยังไง ซื้อยังไงผมยังนึกไม่ออกเลย” ก่อนจะโยนลุกไปที่ “บิ๊กแป๊ะ” พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) ซึ่งมีอำนาจในการเสนอรายชื่อว่า มั่นใจในผู้ใต้บังคับบัญชาที่ทำทุกอย่างเป็นไปตามขั้นตอน
ไม่ทันข้ามวัน “บิ๊กแป๊ะ” ก็จัดให้ โดยลงนามในคำสั่ง ที่ 287/2560 ลงวันที่ 12 มิ.ย.2560 ให้ “บิ๊กจ๋อน” พล.ต.ท.เทศา ศิริวาโท ผู้บัญชาการตำรวจภูธร ภาค 8 (ผบช.ภ.8) ไปปฏิบัติราชการที่ ศูนย์ปฏิบัติการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ศปก.ตร.) โดยขาดจากการปฏิบัติหน้าที่ในตำแหน่งเดิม และมอบหมายให้จเรตำรวจแห่งชาติ ตรวจสอบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับปัญหาการแต่งตั้งโยกย้ายใน บช.ภ.8
แรกๆ มีการวิเคราะห์กันว่าการโยกย้าย “ผู้การภาค 8” หนนี้เป็นผลมาจากการเปิดโปงของนายวิทยา ก่อนที่จะถึงบางอ้อว่า แท้จริงแล้วมีการร้องเรียน พล.ต.ท.เทศาเกี่ยวกับปัญหาการแต่งตั้งโยกย้ายไม่เป็นธรรมในภาค 8 มาก่อนหน้านั้น โดยมีการโยงถึง “ภรรยาลับ” ของนายตำรวจระดับสูงรายหนึ่ง ว่าเป็นผู้เรียกรับค่าใช้จ่ายในการแต่งตั้งแต่ละครั้ง
คำสั่งย้าย พล.ต.ท.เทศา จึงกลายเป็น “ลูกตามน้ำ” ของ “บิ๊กแป๊ะ” ที่ล้อไปกับการเปิดโปงของนายวิทยาอย่างพอดิบพอดี
จนถูกมองว่าดอกนี้ “บิ๊กแป๊ะ” เอาคืนทางฝั่ง กปปส. เพราะข้อมูลที่นายวิทยาออกมาระบุถึงนั้น ไม่ได้เจาะจงว่า “ขบวนการเซ็งลี้ตำแหน่งตำรวจ” นั้นเกิดขึ้นที่ภาคใด แต่หวยดันมาออกที่ “ผู้การภาค 8” อีกทั้งมีเสียงลือเสียงเล่าอ้างว่า พล.ต.ท.เทศา เป็นคนสนิทของนายสุเทพ ดังนั้นนายวิทยาจึงไม่น่าจะ “เผาบ้านตัวเอง” แบบนี้ เพราะพื้นที่ จ.นครศรีธรรมราช ก็อยู่ในพื้นที่ดูแลของ บช.ภ.8 เช่นกัน
จึงไม่แปลกที่นายวิทยาจะออกมาต่อความอีกระลอกว่า การย้าย ผบช.ภ.8 เป็นการแก้ปัญหาไม่ถูกจุด เพราะการซื้อขายตำแหน่งไม่ใช่พื้นที่ภูธรภาค 8 แห่งเดียว พร้อมโยนระเบิดลูกใหม่ว่า กองบัญชาการตำรวจนครบาล (บช.น.) ก็มีการซื้อขายตำแหน่ง โดยราคาสูงกว่า 2 เท่าด้วยซ้ำ
“มีตัวใหญ่อยู่ในกรุงเทพฯ ที่คนวงการตำรวจรู้จักชื่อกันหมด เอาเป็นว่าประเทศนี้ พล.ต.ต. ใหญ่กว่า พล.ต.อ.” นายวิทยา กล่าวไว้เช่นนั้น
ทันใดนั้นก็ทำให้เกิดกระแสตอบโต้จากเหล่าบรรดา “บิ๊กตำรวจ” ที่ออกมาเรียงหน้าตอบโต้แกนนำ กปปส.อย่างถึงพริกถึงขิง รวมทั้ง “พล.ต.ต.คนดัง” ที่เป็นตัวละครลับ” อย่าง พล.ต.ต.สุรเชษฐ์ หักพาล ผู้บังคับการสายตรวจและปฏิบัติการพิเศษ (ผบก.สปพ.) หรือ “ตำรวจ191” ก็ยังเปิดหน้าออกมาปฏิเสธเรื่องที่ถูกพาดพิงว่า ไม่ได้ไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องผลประโยชน์ รวมทั้งตอบไปในทิศทางเดียวกับ พล.อ.ประวิตรว่า การแต่งตั้งนี้เป็นอำนาจของ พล.ต.อ.จักรทิพย์ แต่เพียงผู้เดียว
น่าแปลกใจไม่น้อยที่แกนนำ กปปส.ทิ้งหมัดตรงไปที่ พล.ต.ต.สุรเชษฐ์ และเป็นคนใกล้ชิดของ พล.อ.ประวิตร ที่เป็นพี่ใหญ่แห่งรัฐบาล คสช. ซึ่งที่ผ่านมา กปปส.โดยนายสุเทพ ก็ชูจักกะแร้เชียร์แบบสุดทิ่มลิ่มประตูมาโดยตลอด
การออกหมัดโดยไม่ประเมินถึง “ลูกชิ่ง” ที่จะไปกระทบถึง “บิ๊ก คสช.” แบบนี้ คล้ายเป็นอาการของนักมวยที่เลือดเข้าตา จนมีการวิเคราะห์ว่า “ตั๋วกำนัน” น่าจะมีปัญหาจากการโยกย้ายนายพันตำรวจ ประจำปี 2559 ในทำนองว่า วิ่งเต้น-จ่ายเงินจับจองตำแหน่งไปแล้ว แต่ผลที่ออกมาไม่ได้ดังที่ตกลงกันไว้
กลายเป็นเหยื่อของ “แก๊งตกเบ็ด” จนต้องออกมาตีรวน
เพราะการที่ พล.ต.ท.เทศา คนสนิทของนายสุเทพ ถูกย้ายออกจากตำแหน่งอย่างไม่คาดหมายนั้น ยังไม่เสียหายเท่าไร เนื่องจาก พล.ต.ท.เทศามีอายุราชการถึงแค่สิ้นเดือน ก.ย.นี้ การวางขุมข่ายในอนาคตต่างหากที่สำคัญกว่า แต่เมื่อตัวบุคคลที่จัดวางไว้ไม่ได้ตามเป้าหมาย ก็ย่อมต้องผิดหวังเป็นธรรมดา
สำทับกับการที่ พล.ต.อ.จักรทิพย์ ออกมาแถลงข่าวชี้แจงกรณีที่ถูกมองว่า การที่นายวิทยาออกมาเปิดโปงไม่เลิก เป็นการเอาคืนที่ย้าย พล.ต.ท.เทศาออกจากตำแหน่งของฝ่ายนายสุเทพ ไปนิ่มๆว่า “เอาคืนเรื่องอะไร เอาเงินคืนหรือ” พร้อมตั้งท่าจะฟ้องเอาผิดนายวิทยา ฐานหมิ่นประมาททำ “วงการสีกากี” เสียหาย
คำถามย้อนว่า เอาเงินคืนหรือ?? ของ ผบ.ตร.ทำให้ค่อนข้างชัดเจนว่ามีคนตกเป็นเหยื่อของ “แก๊งตกเบ็ด”
น่าสนใจว่า ผบ.ตร.กลับไม่ได้แสดงท่าทีสนใจใคร่รู้การซื้อขายตำแหน่งใน บช.น.ตามที่นายวิทยาเขี่ยลูกมาให้ ต่างจากการสั่งเด้ง ผบช.ภ.8 ไม่เท่านั้นยังออกตัวปกป้องทั้ง พล.ต.ต.สุรเชษฐ์ รวมทั้ง พล.ต.ท.ศานิตย์ มหถาวร ผบช.น. ด้วยว่าไม่มีการวิ่งเต้นซื้อขายตำแหน่งในพื้นที่ บช.น.อย่างแน่นอน
สะท้อนว่า พล.ต.อ.จักรทิพย์ จับทางได้ว่า “เครือข่าย กปปส.” มีความพยายามในการตีรวนการแต่งตั้งหนล่าสุดให้สังคมหันมาจับจ้อง ทั้งที่ใน “กรมปทุมวัน” เองค่อนข้างเป็นไปอย่างเรียบร้อย
หนึ่ง เพราะอาจจะตกเป็นเหยื่อของ “แก๊งตกเบ็ด”
สอง อาจจับทิศทางลมจาก “บิ๊ก คสช.” ว่ามีความพยายามที่จะเปลี่ยนตัว ผบ.ตร. จึงเดินหน้าระดมหมัดหมัด ร่วมสหบาทา พล.ต.อ.จักรทิพย์ อย่างไม่ลืมหูลืมตา
พยายามจับ “บิ๊กแป๊ะ” ให้เป็น “แพะ” บูชายัญความฟอนเฟะในวงการสีกากีให้ได้
เพราะรู้ดีว่าหากจุดประเด็นการเรียกรับผลประโยชน์ในการแต่งตั้งโยกย้ายนายตำรวจขึ้นมา เป้าที่จะถูกจ้องมองก็ต้องเป็น ผบ.ตร. ผู้มีอำนาจตามกฎหมายในการลงนามคำสั่งแต่งตั้งโยกย้ายผู้ใต้บังคับบัญชาคล้ายเป็นขบวนการป้ายสีว่า “วงจรอุบาทว์” การซื้อขายตำแหน่งตำรวจนั้นมีเบื้องหลังหยุดอยู่แค่ระดับ ผบ.ตร.ที่เป็น เบอร์ 1 ของกรมปทุมวันในทาง “นิตินัย”
หากแต่ในทาง “พฤตินัย” แล้ว ไม่ว่านายวิทยา หรือกระทั่งนายสุเทพที่เป็นเงาตระหง่านอยู่เบื้องหลังนายวิทยา ก็น่าจะรู้ว่า แท้จริงแล้วอำนาจการตัดสินใจจับวางตำรวจในตำแหน่งต่างๆ ทั้งใน บช.น. หรือ บช.ภ.ทุกภาคทั่วประเทศนั้นอยู่ที่ใครกันแน่
ที่สำคัญ นายสุเทพเองก็เคยผ่านตำแหน่งรองนายกฯ กำกับดูแล สตช.มาก่อน ก็น่าจะรู้ดีถึงกลไกการแต่งตั้งโยกย้ายในระดับต่างๆของ สตช.เป็นอย่างดี อีกทั้งในฐานะผู้ทรงอิทธิพลในพื้นที่ภาคใต้ อย่างน้อยๆก็น่าจะรู้ระแคะระคายความผิดปกติในการแต่งตั้งโยกย้ายในพื้นที่ บช.ภ.8 หรือ บช.ภ.9 เป็นอย่างดี ทั้งการวิ่งเต้นซื้อขายตำแหน่ง หรือการโยกย้ายที่ไม่เป็นธรรม
ทั้งกรณีของ "จ่าเพียร” พล.ต.อ.สมเพียร เอกสมญา อดีตผู้กำกับการสถานีตำรวจภูธรบันนังสตา จ.ยะลา ที่ได้รับสมญานามเป็นเกียรติว่า “นักสู้แห่งเทือกเขาบูโด” ทั้งที่ “จ่าเพียร” ได้พยายามทำเรื่องขอย้ายออกจากพื้นที่ไปเป็น ผกก.สภ.กันตัง จ.ตรัง ที่ว่างอยู่ เนื่องจากรู้ตัวว่ากำลังตกเป็นเป้าของผู้ก่อความไม่สงบในพื้นที่จังหวัดชายแดนใต้ แต่ผู้มีอำนาจก็ไม่ตอบสนอง จนต้องเสียชีวิตในระหว่างปฏิบัติหน้าที่ ซึ่งเรื่องก็เกิดสมัยที่มีพรรคประชาธิปัตย์เป็นแกนนำรัฐบาล และมีนายสุเทพเป็นรองนายกฯกำกับ สตช.นั่นเอง รวมไปถึงกรณีของ พล.ต.ต.ปวีณ พงศ์สิรินทร์ รอง ผบช.ภ. 8 อดีตหัวหน้าพนักงานสอบสวนคดีค้ามนุษย์โรฮีนจา ที่จำเป็นต้องขอลี้ภัยไปต่างประเทศ เนื่องจากทำงานจนเป็นภัยต่อชีวิต
เสียงลือเสียงเล่าอ้างยังบอกด้วยซ้ำว่า การแต่งตั้งผู้การภาค ผู้การจังหวัด หรือกระทั่งผู้กำกับ สภ.ต่างๆ ต้องมีการสกรีนโดย “ขาใหญ่แดนสะตอ” เสียก่อน ไม่ว่าจะในยุคที่เป็นรัฐบาล หรือในช่วงที่เป็นฝ่ายค้าน กระทั่ง พล.ต.ท.เทศา ที่เติบโตมาจากผู้การ จ.สุราษฎร์ธานี ก็ตีตั๋วขาใหญ่จนได้ออกจาก สตช.มาเป็นผู้การ ภาค 8 เมื่อ 2 ปีก่อนเช่นกัน
ในระนาบเดียวกันก็ต้องถามว่า ใครเป็นผู้มีอำนาจในการกำกับดูแล สตช. ซึ่งแท้จริงแล้วจะเป็นอำนาจของนายกรัฐมนตรี หากแต่ในแทบทุกยุคก็มักมอบหมายให้รองนายกฯฝ่ายความมั่นคงเอาไปดูแล ซึ่งในสมัยรัฐบาล คสช.ก็เป็น พล.อ.ประวิตร ดังที่ทราบกันดี
และในวงการก็ทราบว่า พล.อ.ประวิตรนั้นออกหน้าดูแล สตช.ก็จริง แต่ตามประสาที่เติบโตมาจากกองทัพ อาจจะไม่เข้าใจธรรมชาติของ “สถาบันตำรวจ” อย่างลึกซึ้ง จึงต้องอาศัยมือไม้ในการบริหารจัดการ คนหนึ่งก็ “โจ๊ก หวานเจี๊ยบ” ที่คอยสอดส่องดูแลภายใน สตช. สองคือ “อดีต ผบ.ตร.” ที่แม้ไม่มีตำแหน่งอย่างเป็นทางการ แต่ก็มักถูกยกให้เป็น “ผบ.ตร.ตัวจริง” ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา
การที่ “ผบ.แป๊ะ” ตกมาเป็นเป้าหมายถูกเลื่อยขาเก้าอี้ก็มาจากอายุราชการที่ยังเหลืออยู่ถึง 3 ปี หลังขึ้นมานั่งแท่น ผบ.ตร.ได้ราว 2 ปีแล้ว ส่งผลให้ลำดับขั้นในการเลื่อนตำแหน่งของผู้ใต้บังคับบัญชาอยู่ในภาวะ “ตัน” การขยับตำแหน่งต่างๆไม่สามารถยืดหยุ่นได้ เป็นอีกจุดสำคัญที่ “ขบวนการเซ็งลี้” ไม่ค่อยปลื้ม
จึงมักมีข่าวว่าจะเปลี่ยนตัว ผบ.ตร.มาตลอด 2 ปี ที่พล.ต.อ.จักรทิพย์อยู่ในตำแหน่ง
และต้องไม่ลืมว่าการที่ พล.ต.อ.จักรทิพย์ ได้เป็น ผบ.ตร.เมื่อ 2 ปีก่อน ก็มาจาก สเปกที่ถูกใจ “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯและหัวหน้า คสช.ที่ต้องการความมั่นคงในการบริหารจัดการภาคส่วนต่างๆ รวมทั้ง สตช. จึงเลือก พล.ต.อ.จักรทิพย์ แทนที่จะเป็น “บิ๊กเอก” พล.ต.อ.เอก อังสนานนนท์ รอง ผบ.ตร. อาวุโสลำดับ 1 ในขณะนั้น แต่การขึ้นชั้นเบอร์ 1 กรมปทุมวันของผู้ที่มีอายุราชการยาวๆ ก็ไม่เป็นที่ชอบใจของผู้ดูแล สตช.มากนัก
แน่นอนว่าในทางกฎหมายแล้ว พล.ต.อ.จักรทิพย์ อาจจะเป็นผู้บัญชาการเบอร์ 1 มีสำนักงาน สตช.ตั้งเด่นเป็นสง่าอยู่ที่ ถ.พระรามที่ 1 ย่านปทุมวัน แต่แท้จริงแล้วฐานอำนาจกลับไปอยู่ที่ “บ้านโชคชัย” หรือ “ฟาร์มโชคชัย” มากกว่า อีกทั้งการวิ่งเต้นตำแหน่งหากเข้าถูกช่องทางก็ต้องแวะเวียนไปตีตั๋วกันที่ “ฟาร์มโชคชัย” ที่ว่านี่แหละ แต่ก่อนจะเข้าไปได้ต้องแวะ “ซดโจ๊ก” ให้คล่องคอเสียก่อนด้วย
คล้ายกับสมัยหนึ่งที่ “บิ๊กตำรวจ” เคยเปิดรีสอร์ทรับรองบรรดานายตำรวจที่มาเข้าคิวซื้อตั๋ว-ส่งตั๋ว ในช่วงที่มีการจัดทำโผการโยกย้ายตำรวจ ซึ่งเป็นเรื่องที่คนทั่วไปรับทราบกันพอสมควร นักการเมืองประสบการณ์สูงอย่างนายวิทยา หรือนายสุเทพ จะไม่รู้เชียวหรือ
การที่นายวิทยาเอ่ยถึง “มีตัวใหญ่อยู่ในกรุงเทพฯ มี พล.ต.ต.ที่ใหญ่กว่า พล.ต.อ.” นั้นก็สะท้อนว่ารู้อะไรเป็นอะไรดี และมาถูกทางแล้ว ฉะนั้นจึงหยุดมาเล็งเป้าอยู่ที่ ผบ.ตร.เพียงเท่านั้น
เพราะหากจะเล่นทางนี้ก็น่าจะไปให้สุดซอย เจาะให้ถึง “ฟาร์มโชคชัย” หรือ “นายตำรวจนอกราชการ” ที่เป็น ผบ.ตร.ตัวจริงมากกว่า
ที่สำคัญ นายวิทยา และนายสุเทพ น่าจะรู้ถึงการมีอยู่ของ “ฟาร์มโชคชัย” ดี และคงจะไม่ “อินโนเซนท์” เหมือน พล.อ.ประวิตร ที่บอกว่าตัวเองไม่รู้วิธีการซื้อตำแหน่งตำรวจ และขอให้นำใบเสร็จมายืนยัน หรอกนะ
และหากนายวิทยา และนายสุเทพ ผู้ที่เคยใช้วาระปฏิรูปตำรวจ เป็นหนึ่งในธงนำกลุ่ม กปปส.โค่น “รัฐบาลยิ่งลักษณ์” เปิดทางให้ คสช.เข้ามายึดอำนาจ ยังจำจุดยืนของตัวเองเมื่อครั้งเป็นแกนนำม็อบ และได้รับยกย่องว่า “คนดี” ได้ ก็น่าจะสานต่อเจตนารมณ์จากเวที กปปส.ในการขับเคลื่อนให้เกิดการปฏิรูปตำรวจอย่างเป็นรูปธรรม
ไม่ควรนำมาเป็นประเด็นเคลื่อนไหวตามฤดูกาลโยกย้าย หรือในยามที่ตัวเองผิดหวังจากผลการโยกย้ายเท่านั้น เพราะการปฏิรูปตำรวจจะเกิดได้ หาใช่เริ่มจากการเปลี่ยนตัว ผบ.ตร.
แต่การตัดวงจรอำนาจของ “ฟาร์มโชคชัย” ที่ครอบงำ “กรมปทุมวัน” อยู่ต่างหาก.
ล่าสุดกับ คำสั่งแต่งตั้งโยกย้ายตำรวจระดับสารวัตร (สว.) รองผู้บังคับการ (รอง ผบก.) ถึงผู้บังคับการ (ผบก.) วาระประจำปี 2559 หรือ “โผนายพัน” ที่คราวนี้ค่อนข้างลงตัว ไม่มีแรงกระเพื่อมจากภายใน สตช.เหมือนฤดูกาลก่อนหน้านี้ จนดูเหมือนว่าทั้ง “มือทำงาน-เด็กฝาก” จะลงล็อก เข้าลู่เข้าเลนพอสมควร
แต่แล้วก็มีผู้ออกมาเปิดโปงว่ามีการซื้อขายตำแหน่งตำรวจใน “โผนายพัน” ที่ดูจะลงตัวนั่นแหละ
คราวนี้เป็น วิทยา แก้วภราดัย อดีตสมาชิกสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ (สปท.) ที่ออกมาแฉว่า มีการวิ่งเต้นซื้อตำแหน่ง และเรียกรับเงิน พร้อมระบุราคาค่างวดไว้อย่างชัดเจนว่า ระดับสารวัตร 1.5-2 ล้านบาท ส่วนระดับผู้กำกับการนั้นสูงถึง 5-7 ล้านบาท
ส่วนตัว วิทยา แก้วภราดัย อาจจะมีตำแหน่งเป็นอดีต ส.ส.นครศรีธรรมราชาหลายสมัย อดีตรัฐมนตรี รวมทั้งอดีต สปท. หนึ่งในองคาพยพของ คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) แต่มีหมวกที่ใหญ่กว่านั้นคือเป็น “แกนนำ กปปส.”
เป็นแกนนำ กปปส.ที่เป็นเบอร์ต้นๆ จนพูดกันว่านี่คือ “มือขวา” ของ สุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาธิการ กปปส.เลยทีเดียว
พลันที่ “วิทยา” ออกมาแฉข้อมูลนั้น อีกทาง “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กำกับดูแล สตช. ก็โยกหลบกระแสทันทีว่า “ไม่มีหรอก ก็พูดไป ก็เอาตัวมายืนยันกันเลย ไม่มีหรอกครับ” พร้อมๆกับทำท่าที “อินโนเซนท์” ว่า “ผมยังไม่รู้วิธีการซื้อตำแหน่ง มันซื้อยังไง ซื้อยังไงผมยังนึกไม่ออกเลย” ก่อนจะโยนลุกไปที่ “บิ๊กแป๊ะ” พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) ซึ่งมีอำนาจในการเสนอรายชื่อว่า มั่นใจในผู้ใต้บังคับบัญชาที่ทำทุกอย่างเป็นไปตามขั้นตอน
ไม่ทันข้ามวัน “บิ๊กแป๊ะ” ก็จัดให้ โดยลงนามในคำสั่ง ที่ 287/2560 ลงวันที่ 12 มิ.ย.2560 ให้ “บิ๊กจ๋อน” พล.ต.ท.เทศา ศิริวาโท ผู้บัญชาการตำรวจภูธร ภาค 8 (ผบช.ภ.8) ไปปฏิบัติราชการที่ ศูนย์ปฏิบัติการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ศปก.ตร.) โดยขาดจากการปฏิบัติหน้าที่ในตำแหน่งเดิม และมอบหมายให้จเรตำรวจแห่งชาติ ตรวจสอบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับปัญหาการแต่งตั้งโยกย้ายใน บช.ภ.8
แรกๆ มีการวิเคราะห์กันว่าการโยกย้าย “ผู้การภาค 8” หนนี้เป็นผลมาจากการเปิดโปงของนายวิทยา ก่อนที่จะถึงบางอ้อว่า แท้จริงแล้วมีการร้องเรียน พล.ต.ท.เทศาเกี่ยวกับปัญหาการแต่งตั้งโยกย้ายไม่เป็นธรรมในภาค 8 มาก่อนหน้านั้น โดยมีการโยงถึง “ภรรยาลับ” ของนายตำรวจระดับสูงรายหนึ่ง ว่าเป็นผู้เรียกรับค่าใช้จ่ายในการแต่งตั้งแต่ละครั้ง
คำสั่งย้าย พล.ต.ท.เทศา จึงกลายเป็น “ลูกตามน้ำ” ของ “บิ๊กแป๊ะ” ที่ล้อไปกับการเปิดโปงของนายวิทยาอย่างพอดิบพอดี
จนถูกมองว่าดอกนี้ “บิ๊กแป๊ะ” เอาคืนทางฝั่ง กปปส. เพราะข้อมูลที่นายวิทยาออกมาระบุถึงนั้น ไม่ได้เจาะจงว่า “ขบวนการเซ็งลี้ตำแหน่งตำรวจ” นั้นเกิดขึ้นที่ภาคใด แต่หวยดันมาออกที่ “ผู้การภาค 8” อีกทั้งมีเสียงลือเสียงเล่าอ้างว่า พล.ต.ท.เทศา เป็นคนสนิทของนายสุเทพ ดังนั้นนายวิทยาจึงไม่น่าจะ “เผาบ้านตัวเอง” แบบนี้ เพราะพื้นที่ จ.นครศรีธรรมราช ก็อยู่ในพื้นที่ดูแลของ บช.ภ.8 เช่นกัน
จึงไม่แปลกที่นายวิทยาจะออกมาต่อความอีกระลอกว่า การย้าย ผบช.ภ.8 เป็นการแก้ปัญหาไม่ถูกจุด เพราะการซื้อขายตำแหน่งไม่ใช่พื้นที่ภูธรภาค 8 แห่งเดียว พร้อมโยนระเบิดลูกใหม่ว่า กองบัญชาการตำรวจนครบาล (บช.น.) ก็มีการซื้อขายตำแหน่ง โดยราคาสูงกว่า 2 เท่าด้วยซ้ำ
“มีตัวใหญ่อยู่ในกรุงเทพฯ ที่คนวงการตำรวจรู้จักชื่อกันหมด เอาเป็นว่าประเทศนี้ พล.ต.ต. ใหญ่กว่า พล.ต.อ.” นายวิทยา กล่าวไว้เช่นนั้น
ทันใดนั้นก็ทำให้เกิดกระแสตอบโต้จากเหล่าบรรดา “บิ๊กตำรวจ” ที่ออกมาเรียงหน้าตอบโต้แกนนำ กปปส.อย่างถึงพริกถึงขิง รวมทั้ง “พล.ต.ต.คนดัง” ที่เป็นตัวละครลับ” อย่าง พล.ต.ต.สุรเชษฐ์ หักพาล ผู้บังคับการสายตรวจและปฏิบัติการพิเศษ (ผบก.สปพ.) หรือ “ตำรวจ191” ก็ยังเปิดหน้าออกมาปฏิเสธเรื่องที่ถูกพาดพิงว่า ไม่ได้ไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องผลประโยชน์ รวมทั้งตอบไปในทิศทางเดียวกับ พล.อ.ประวิตรว่า การแต่งตั้งนี้เป็นอำนาจของ พล.ต.อ.จักรทิพย์ แต่เพียงผู้เดียว
น่าแปลกใจไม่น้อยที่แกนนำ กปปส.ทิ้งหมัดตรงไปที่ พล.ต.ต.สุรเชษฐ์ และเป็นคนใกล้ชิดของ พล.อ.ประวิตร ที่เป็นพี่ใหญ่แห่งรัฐบาล คสช. ซึ่งที่ผ่านมา กปปส.โดยนายสุเทพ ก็ชูจักกะแร้เชียร์แบบสุดทิ่มลิ่มประตูมาโดยตลอด
การออกหมัดโดยไม่ประเมินถึง “ลูกชิ่ง” ที่จะไปกระทบถึง “บิ๊ก คสช.” แบบนี้ คล้ายเป็นอาการของนักมวยที่เลือดเข้าตา จนมีการวิเคราะห์ว่า “ตั๋วกำนัน” น่าจะมีปัญหาจากการโยกย้ายนายพันตำรวจ ประจำปี 2559 ในทำนองว่า วิ่งเต้น-จ่ายเงินจับจองตำแหน่งไปแล้ว แต่ผลที่ออกมาไม่ได้ดังที่ตกลงกันไว้
กลายเป็นเหยื่อของ “แก๊งตกเบ็ด” จนต้องออกมาตีรวน
เพราะการที่ พล.ต.ท.เทศา คนสนิทของนายสุเทพ ถูกย้ายออกจากตำแหน่งอย่างไม่คาดหมายนั้น ยังไม่เสียหายเท่าไร เนื่องจาก พล.ต.ท.เทศามีอายุราชการถึงแค่สิ้นเดือน ก.ย.นี้ การวางขุมข่ายในอนาคตต่างหากที่สำคัญกว่า แต่เมื่อตัวบุคคลที่จัดวางไว้ไม่ได้ตามเป้าหมาย ก็ย่อมต้องผิดหวังเป็นธรรมดา
สำทับกับการที่ พล.ต.อ.จักรทิพย์ ออกมาแถลงข่าวชี้แจงกรณีที่ถูกมองว่า การที่นายวิทยาออกมาเปิดโปงไม่เลิก เป็นการเอาคืนที่ย้าย พล.ต.ท.เทศาออกจากตำแหน่งของฝ่ายนายสุเทพ ไปนิ่มๆว่า “เอาคืนเรื่องอะไร เอาเงินคืนหรือ” พร้อมตั้งท่าจะฟ้องเอาผิดนายวิทยา ฐานหมิ่นประมาททำ “วงการสีกากี” เสียหาย
คำถามย้อนว่า เอาเงินคืนหรือ?? ของ ผบ.ตร.ทำให้ค่อนข้างชัดเจนว่ามีคนตกเป็นเหยื่อของ “แก๊งตกเบ็ด”
น่าสนใจว่า ผบ.ตร.กลับไม่ได้แสดงท่าทีสนใจใคร่รู้การซื้อขายตำแหน่งใน บช.น.ตามที่นายวิทยาเขี่ยลูกมาให้ ต่างจากการสั่งเด้ง ผบช.ภ.8 ไม่เท่านั้นยังออกตัวปกป้องทั้ง พล.ต.ต.สุรเชษฐ์ รวมทั้ง พล.ต.ท.ศานิตย์ มหถาวร ผบช.น. ด้วยว่าไม่มีการวิ่งเต้นซื้อขายตำแหน่งในพื้นที่ บช.น.อย่างแน่นอน
สะท้อนว่า พล.ต.อ.จักรทิพย์ จับทางได้ว่า “เครือข่าย กปปส.” มีความพยายามในการตีรวนการแต่งตั้งหนล่าสุดให้สังคมหันมาจับจ้อง ทั้งที่ใน “กรมปทุมวัน” เองค่อนข้างเป็นไปอย่างเรียบร้อย
หนึ่ง เพราะอาจจะตกเป็นเหยื่อของ “แก๊งตกเบ็ด”
สอง อาจจับทิศทางลมจาก “บิ๊ก คสช.” ว่ามีความพยายามที่จะเปลี่ยนตัว ผบ.ตร. จึงเดินหน้าระดมหมัดหมัด ร่วมสหบาทา พล.ต.อ.จักรทิพย์ อย่างไม่ลืมหูลืมตา
พยายามจับ “บิ๊กแป๊ะ” ให้เป็น “แพะ” บูชายัญความฟอนเฟะในวงการสีกากีให้ได้
เพราะรู้ดีว่าหากจุดประเด็นการเรียกรับผลประโยชน์ในการแต่งตั้งโยกย้ายนายตำรวจขึ้นมา เป้าที่จะถูกจ้องมองก็ต้องเป็น ผบ.ตร. ผู้มีอำนาจตามกฎหมายในการลงนามคำสั่งแต่งตั้งโยกย้ายผู้ใต้บังคับบัญชาคล้ายเป็นขบวนการป้ายสีว่า “วงจรอุบาทว์” การซื้อขายตำแหน่งตำรวจนั้นมีเบื้องหลังหยุดอยู่แค่ระดับ ผบ.ตร.ที่เป็น เบอร์ 1 ของกรมปทุมวันในทาง “นิตินัย”
หากแต่ในทาง “พฤตินัย” แล้ว ไม่ว่านายวิทยา หรือกระทั่งนายสุเทพที่เป็นเงาตระหง่านอยู่เบื้องหลังนายวิทยา ก็น่าจะรู้ว่า แท้จริงแล้วอำนาจการตัดสินใจจับวางตำรวจในตำแหน่งต่างๆ ทั้งใน บช.น. หรือ บช.ภ.ทุกภาคทั่วประเทศนั้นอยู่ที่ใครกันแน่
ที่สำคัญ นายสุเทพเองก็เคยผ่านตำแหน่งรองนายกฯ กำกับดูแล สตช.มาก่อน ก็น่าจะรู้ดีถึงกลไกการแต่งตั้งโยกย้ายในระดับต่างๆของ สตช.เป็นอย่างดี อีกทั้งในฐานะผู้ทรงอิทธิพลในพื้นที่ภาคใต้ อย่างน้อยๆก็น่าจะรู้ระแคะระคายความผิดปกติในการแต่งตั้งโยกย้ายในพื้นที่ บช.ภ.8 หรือ บช.ภ.9 เป็นอย่างดี ทั้งการวิ่งเต้นซื้อขายตำแหน่ง หรือการโยกย้ายที่ไม่เป็นธรรม
ทั้งกรณีของ "จ่าเพียร” พล.ต.อ.สมเพียร เอกสมญา อดีตผู้กำกับการสถานีตำรวจภูธรบันนังสตา จ.ยะลา ที่ได้รับสมญานามเป็นเกียรติว่า “นักสู้แห่งเทือกเขาบูโด” ทั้งที่ “จ่าเพียร” ได้พยายามทำเรื่องขอย้ายออกจากพื้นที่ไปเป็น ผกก.สภ.กันตัง จ.ตรัง ที่ว่างอยู่ เนื่องจากรู้ตัวว่ากำลังตกเป็นเป้าของผู้ก่อความไม่สงบในพื้นที่จังหวัดชายแดนใต้ แต่ผู้มีอำนาจก็ไม่ตอบสนอง จนต้องเสียชีวิตในระหว่างปฏิบัติหน้าที่ ซึ่งเรื่องก็เกิดสมัยที่มีพรรคประชาธิปัตย์เป็นแกนนำรัฐบาล และมีนายสุเทพเป็นรองนายกฯกำกับ สตช.นั่นเอง รวมไปถึงกรณีของ พล.ต.ต.ปวีณ พงศ์สิรินทร์ รอง ผบช.ภ. 8 อดีตหัวหน้าพนักงานสอบสวนคดีค้ามนุษย์โรฮีนจา ที่จำเป็นต้องขอลี้ภัยไปต่างประเทศ เนื่องจากทำงานจนเป็นภัยต่อชีวิต
เสียงลือเสียงเล่าอ้างยังบอกด้วยซ้ำว่า การแต่งตั้งผู้การภาค ผู้การจังหวัด หรือกระทั่งผู้กำกับ สภ.ต่างๆ ต้องมีการสกรีนโดย “ขาใหญ่แดนสะตอ” เสียก่อน ไม่ว่าจะในยุคที่เป็นรัฐบาล หรือในช่วงที่เป็นฝ่ายค้าน กระทั่ง พล.ต.ท.เทศา ที่เติบโตมาจากผู้การ จ.สุราษฎร์ธานี ก็ตีตั๋วขาใหญ่จนได้ออกจาก สตช.มาเป็นผู้การ ภาค 8 เมื่อ 2 ปีก่อนเช่นกัน
ในระนาบเดียวกันก็ต้องถามว่า ใครเป็นผู้มีอำนาจในการกำกับดูแล สตช. ซึ่งแท้จริงแล้วจะเป็นอำนาจของนายกรัฐมนตรี หากแต่ในแทบทุกยุคก็มักมอบหมายให้รองนายกฯฝ่ายความมั่นคงเอาไปดูแล ซึ่งในสมัยรัฐบาล คสช.ก็เป็น พล.อ.ประวิตร ดังที่ทราบกันดี
และในวงการก็ทราบว่า พล.อ.ประวิตรนั้นออกหน้าดูแล สตช.ก็จริง แต่ตามประสาที่เติบโตมาจากกองทัพ อาจจะไม่เข้าใจธรรมชาติของ “สถาบันตำรวจ” อย่างลึกซึ้ง จึงต้องอาศัยมือไม้ในการบริหารจัดการ คนหนึ่งก็ “โจ๊ก หวานเจี๊ยบ” ที่คอยสอดส่องดูแลภายใน สตช. สองคือ “อดีต ผบ.ตร.” ที่แม้ไม่มีตำแหน่งอย่างเป็นทางการ แต่ก็มักถูกยกให้เป็น “ผบ.ตร.ตัวจริง” ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา
การที่ “ผบ.แป๊ะ” ตกมาเป็นเป้าหมายถูกเลื่อยขาเก้าอี้ก็มาจากอายุราชการที่ยังเหลืออยู่ถึง 3 ปี หลังขึ้นมานั่งแท่น ผบ.ตร.ได้ราว 2 ปีแล้ว ส่งผลให้ลำดับขั้นในการเลื่อนตำแหน่งของผู้ใต้บังคับบัญชาอยู่ในภาวะ “ตัน” การขยับตำแหน่งต่างๆไม่สามารถยืดหยุ่นได้ เป็นอีกจุดสำคัญที่ “ขบวนการเซ็งลี้” ไม่ค่อยปลื้ม
จึงมักมีข่าวว่าจะเปลี่ยนตัว ผบ.ตร.มาตลอด 2 ปี ที่พล.ต.อ.จักรทิพย์อยู่ในตำแหน่ง
และต้องไม่ลืมว่าการที่ พล.ต.อ.จักรทิพย์ ได้เป็น ผบ.ตร.เมื่อ 2 ปีก่อน ก็มาจาก สเปกที่ถูกใจ “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯและหัวหน้า คสช.ที่ต้องการความมั่นคงในการบริหารจัดการภาคส่วนต่างๆ รวมทั้ง สตช. จึงเลือก พล.ต.อ.จักรทิพย์ แทนที่จะเป็น “บิ๊กเอก” พล.ต.อ.เอก อังสนานนนท์ รอง ผบ.ตร. อาวุโสลำดับ 1 ในขณะนั้น แต่การขึ้นชั้นเบอร์ 1 กรมปทุมวันของผู้ที่มีอายุราชการยาวๆ ก็ไม่เป็นที่ชอบใจของผู้ดูแล สตช.มากนัก
แน่นอนว่าในทางกฎหมายแล้ว พล.ต.อ.จักรทิพย์ อาจจะเป็นผู้บัญชาการเบอร์ 1 มีสำนักงาน สตช.ตั้งเด่นเป็นสง่าอยู่ที่ ถ.พระรามที่ 1 ย่านปทุมวัน แต่แท้จริงแล้วฐานอำนาจกลับไปอยู่ที่ “บ้านโชคชัย” หรือ “ฟาร์มโชคชัย” มากกว่า อีกทั้งการวิ่งเต้นตำแหน่งหากเข้าถูกช่องทางก็ต้องแวะเวียนไปตีตั๋วกันที่ “ฟาร์มโชคชัย” ที่ว่านี่แหละ แต่ก่อนจะเข้าไปได้ต้องแวะ “ซดโจ๊ก” ให้คล่องคอเสียก่อนด้วย
คล้ายกับสมัยหนึ่งที่ “บิ๊กตำรวจ” เคยเปิดรีสอร์ทรับรองบรรดานายตำรวจที่มาเข้าคิวซื้อตั๋ว-ส่งตั๋ว ในช่วงที่มีการจัดทำโผการโยกย้ายตำรวจ ซึ่งเป็นเรื่องที่คนทั่วไปรับทราบกันพอสมควร นักการเมืองประสบการณ์สูงอย่างนายวิทยา หรือนายสุเทพ จะไม่รู้เชียวหรือ
การที่นายวิทยาเอ่ยถึง “มีตัวใหญ่อยู่ในกรุงเทพฯ มี พล.ต.ต.ที่ใหญ่กว่า พล.ต.อ.” นั้นก็สะท้อนว่ารู้อะไรเป็นอะไรดี และมาถูกทางแล้ว ฉะนั้นจึงหยุดมาเล็งเป้าอยู่ที่ ผบ.ตร.เพียงเท่านั้น
เพราะหากจะเล่นทางนี้ก็น่าจะไปให้สุดซอย เจาะให้ถึง “ฟาร์มโชคชัย” หรือ “นายตำรวจนอกราชการ” ที่เป็น ผบ.ตร.ตัวจริงมากกว่า
ที่สำคัญ นายวิทยา และนายสุเทพ น่าจะรู้ถึงการมีอยู่ของ “ฟาร์มโชคชัย” ดี และคงจะไม่ “อินโนเซนท์” เหมือน พล.อ.ประวิตร ที่บอกว่าตัวเองไม่รู้วิธีการซื้อตำแหน่งตำรวจ และขอให้นำใบเสร็จมายืนยัน หรอกนะ
และหากนายวิทยา และนายสุเทพ ผู้ที่เคยใช้วาระปฏิรูปตำรวจ เป็นหนึ่งในธงนำกลุ่ม กปปส.โค่น “รัฐบาลยิ่งลักษณ์” เปิดทางให้ คสช.เข้ามายึดอำนาจ ยังจำจุดยืนของตัวเองเมื่อครั้งเป็นแกนนำม็อบ และได้รับยกย่องว่า “คนดี” ได้ ก็น่าจะสานต่อเจตนารมณ์จากเวที กปปส.ในการขับเคลื่อนให้เกิดการปฏิรูปตำรวจอย่างเป็นรูปธรรม
ไม่ควรนำมาเป็นประเด็นเคลื่อนไหวตามฤดูกาลโยกย้าย หรือในยามที่ตัวเองผิดหวังจากผลการโยกย้ายเท่านั้น เพราะการปฏิรูปตำรวจจะเกิดได้ หาใช่เริ่มจากการเปลี่ยนตัว ผบ.ตร.
แต่การตัดวงจรอำนาจของ “ฟาร์มโชคชัย” ที่ครอบงำ “กรมปทุมวัน” อยู่ต่างหาก.