ผู้จัดการสุดสัปดาห์ -องค์กรผมมีศักดิ์ศรี ใครจะมากล่าวหาลอยๆไม่ได้”ถือเป็นประโยคเด็ดที่ พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผบ.ตร. แสดงจุดยืนว่าจะต้องดำเนินคดีกับ พล.ร.อ.พะจุณณ์ ตามประทีป รองประธานคณะกรรมาธิการวิสามัญขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศไทย ด้านป้องกันและปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ ในข้อหาหมิ่นประมาท และความผิดเกี่ยวกับ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ อย่างแน่นอน
ก่อนจะวิพากษ์วิจารณ์เรื่องราวซื้อขายตำแหน่ง(ตำรวจ)ในยุคคนดีปกครองประเทศ ขอย้อนกลับไปยังเหตุการณ์หนึ่ง เมื่อ 20 กว่าปีที่ผ่านมาช่วง พ.ศ. 2538-2540 ซึ่งถือว่าเป็นช่วงที่กรมตำรวจ หรือสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ในยุคปัจจุบันมีข่าวคราวเกี่ยวกับการซื้อขายตำแหน่งมากที่สุดยุคหนึ่ง
การซื้อขายตำแหน่ง เป็นข่าวพร้อมๆ กับช่วงแต่งตั้งโยกย้ายนายตำรวจ โดยกระบอกเสียงฝ่าย“บิ๊กสีกากี”จะแก้ต่างให้ ว่าเป็นข่าวโคมลอยของบรรดาผู้ผิดหวัง ปีแรกของการบริหารงานแม้จะมีเรื่องแบบนี้ แต่การแต่งตั้ง-โยกย้าย รวมทั้งบรรยากาศทั่วไปยังคงราบรื่น กระทั่งฤดูกาลโยกย้ายเวียนรอบมาบรรจบอีกเป็นปีที่ 2
ข่าวการซื้อขายตำแหน่งเริ่มหนาหูมากขึ้น ขยายวงจากนครบาลไปยังตำรวจภูธร และอื้อฉาวมากที่สุดคือการแต่งตั้งตำรวจภาคใต้ ว่ากันว่ามีนายหน้า“ตัวแทน”บิ๊กสีกากีเดินสายเคาะตัวเลขประมูลตำแหน่งสำคัญๆ กันอย่างเปิดเผย ในพื้นที่เศรษฐกิจเกรดเอ. เช่น หาดใหญ่ จ.สงขลา เฉพาะเก้าอี้ผู้การ ผู้กำกับ หรือสารวัตรใหญ่ เริ่มกันที่ 10 ล้านบาท เป็นอย่างน้อย
ส่วนตำแหน่งอื่นๆ เริ่มจากสารวัตร รองผกก. ผกก. รอง ผบก. ผบก. รอง ผบช. และผบช. ถ้าไม่มีตั๋วจากนักการเมือง ก็ต้องว่ากันด้วยเงินสดๆผ่านมาทางคนใก้ลชิดรอบตัวทีมงาน“บิ๊กสีกากี”ในขณะนั้น กระทั่งวาระสุดท้ายเมื่ออำนาจสู่ขาลงมีสื่อบางสำนักหยิบข่าว“บ่อนหมูทอง”ออกมาเขย่า โดยระบุว่าเป็นบ่อนการพนันอิทธิพล ซึ่งเป็นของภริยานายตำรวจใหญ่คนหนึ่งที่มีความสนิทสนมคุ้นเคยกับ“บิ๊กสีกากี”ในขณะนั้น
ข่าวที่ประโคมออกเป็นระลอกๆ ยังเจาะลึกไปว่าขบวนการซื้อขายตำแหน่ง หรือขบวนการส่วยต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นบ่อนการพนันน้อยใหญ่ทั่วประเทศจะผ่านมือคุณนายหมูทอง เพื่อนำไปส่งให้กับ“บิ๊กสีกากี”ผู้นั้น
จากข่าวเล็กๆ โดยสื่อเล็กๆ แต่ถือเป็นประเด็นเด็ด ทั้งที่ความเป็นจริงแล้วไม่มี“บ่อนหมูทอง”ในสารบบ เพียงแต่คุณนายหมูทอง อยู่ในฐานะ“หลังบ้าน”ผู้มีอำนาจ และสามีอยู่ในหน่วยงานให้คุณให้โทษได้ทั่วประเทศ จึงเป็น“ขาใหญ่”รู้จักกันดีในแวดวงธุรกิจสีเทา
ข่าวบ่อนหมูทอง รวมทั้งการซื้อขายเก้าอี้เกิดลุกลามเป็นข่าวหลัก สื่อทุกสำนักให้ความสนใจ รัฐบาลรอจังหวะจนสุกงอมจึงออกคำสั่งย้ายด่วน ให้ไปช่วยราชการสำนักนายกฯ และเปิดให้มีการสอบสวนข้อเท็จจริง ทั้งเรื่องรับเงินส่วย และซื้อขายตำแหน่ง แต่ในที่สุดเรื่องราวต่างๆ ค่อยๆ เงียบลงโดยไม่มีข้อสรุป เป็นการปิดฉากชีวิตอันรุ่งโรจน์ตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา
ผ่านไป 20 ปี จากยุคหมูทอง หรือยุคที่มีข่าวการซื้อขายตำแหน่งนายตำรวจมากที่สุดยุคหนึ่ง มาสู่ปัจจุบันเป็นยุคแห่งการ“คืนความสุข ”แถม ผบ.ตร. ก็ไม่ใช่คนอื่นไกล ถ้ากลับไปตอนนั้น พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา หรือสมัครพรรคพวก นรต.36 อีกหลายคนก็คงเคยได้รับอานิสงส์ จาก “บิ๊กสีกากี”ท่านนั้นบ้าง...ไม่มากก็น้อย
“องค์กรผมมีศักดิ์ศรี ใครจะมากล่าวหาลอยๆไม่ได้”คำๆนี้ แม้ท่าน ผบ.ตร.จะพูดอย่างหนักแน่น แต่ประโยคต่อมาคือการออกตัวไม่อยากให้มีการกระทบกระทั่งนั้น แสดงให้เห็นว่าท่านก็คงทราบดีว่ากำลังเผชิญกับอะไรเพราะ พล.ร.อ.พะจุณณ์ ตามประทีป มิได้เป็นเพียงทหารแก่ ตามที่เจ้าตัวบอกกับสังคมอย่างนั้น
สถานภาพของพล.ร.อ.พะจุณณ์ นอกจากเป็นคนสนิท พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองค์มนตรีแล้วยังอยู่ในฐานะสมาชิกสภาขับเคลื่อนปฏิรูปประเทศ ทำหน้าที่รองประธานคณะกรรมาธิการด้านป้องกันและปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ
การส่งข้อความผ่านแอพพลิเคชั่นไลน์ เกี่ยวกับการซื้อขายตำแหน่งภายในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดยมีนายทหารระดับ "พล.อ." เข้าไปเกี่ยวข้องด้วยนั้น เมื่อสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ตัดสินใจออกมาป้องป้องศักดิ์ศรีด้วยการดำเนินคดีในข้อหาหมิ่นประมาท และ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์นั้น... ฝ่ายผู้ต้องหาเขามีหน้าที่อยู่ในสภาขับเคลื่อนฯ ซ้ำยังอยู่ในคณะป้องกันและปราบปรามการทุจริตฯ ท่าน ผบ.ตร.ในฐานะนักกฎหมายคนหนึ่ง คงพอมองเห็นภาพ และคำตอบในวันข้างหน้า
และถ้า พล.ร.อ.พะจุณณ์ ตามประทีป เกิดมีทีเด็ด มีพยานหลักฐานสามารถเชื่อมโยงไปสู่ขบวนการซื้อขายตำแหน่งได้ ก็น่าหวั่นเกรงแทนตำรวจน้อยใหญ่ว่า จากเดิมเป็นฝ่ายรุกจะกลับมาเป็นฝ่ายรับ หรืออาจลามไปถึง พล.อ. ก็คงสนุกดูไม่จืด
อีกทางหนึ่งหากไม่สามารถนำพยานหลักฐานมาแสดงได้ คงต้องพิจารณาต่อไปว่าการส่งไลน์ดังกล่าวถือเป็นการทำหน้าที่ด้วยความบริสุทธิ์ใจ และเป็นประโยชน์ต่อสาธารณะหรือไม่ ซึ่งในประเด็นนี้ตำรวจในฐานะโจทก์เห็นทีจะต้องคิดหนัก
พูดถึงการซื้อขายตำแหน่ง (ตำรวจ) ขอยกอีกเหตุการณ์หนึ่งเป็นการแถมท้ายข้อเขียนในวันนี้ ราวเดือนพฤษภาคม 2555 เกิดเหตุคนร้ายใช้อาวุธสงครามปล้นรถขนเงินธนาคารกสิกรไทย สาขาอินทร์บุรี จ.สิงห์บุรี ได้เงินสดไปกว่า 2 ล้านบาท ต่อมาตำรวจติดตามจับกุมได้ และซัดทอดไปยังผู้บงการวางแผนกลายเป็นข่าวใหญ่ในรอบปี เมื่อตัวการคือ พ.ต.อ.พิจิตร กรมประสิทธิ์ อดีต ผกก.ไทรงาม จ.กำแพงเพชร
ท่านทราบไหมว่าเหตุใดคนมีตำแหน่งถึงผู้กำกับ ยังริเป็นโจรเสียเอง เหตุผลก็คือ เขาต้องการหาเงินจำนวน 14 ล้านบาท เพื่อใช้ในการวิ่งเต้นซื้อตำแหน่ง ผกก.แม่สอด จ.ตาก โดยผ่านนักการเมืองระดับประเทศคนหนึ่ง
พ.ต.อ.พิจิตร กรมประสิทธิ์ เป็นนักเรียนนายร้อยตำรวจรุ่น 40 ไม่ใช่กาไก่มาจากไหน ประสบการณ์ชีวิตผ่านมาอย่างโชกโชน แต่ยังหลงผิด เพราะทนต่อกิเลสตัณหาไม่ไหว
สังคมตำรวจก็ย่อมาจากวัฒนะธรรมในสังคมไทยนี่แหละ คือยกย่องคนมีอำนาจและคนรวย คนเป็นตำรวจส่วนใหญ่ต้องการเติบโต มีความเจริญก้าวหน้า ถ้าไปทางตรงไม่ได้ก็ต้องทางลัด และวิธีที่ดีที่สุดก็คือการซื้อขายตำแหน่ง ซึ่งอาจซื้อได้ด้วยเงิน หรือด้วยการยอมเป็นทาสรับใช้สารพัดที่จะแลกเปลี่ยนกัน
วันเวลาผ่านไปกี่สิบปีข่าวซื้อขายตำแหน่งในแวดวงสีกากียังคงมีต่อไป ส่วนใครจะเชื่อหรือไม่ เรื่องนี้คงบังคับกันไม่ได้ เพราะหากเป็นการแต่งตั้งที่ผิดฝาผิดฝั่ง เป็นการโยกย้ายที่ขาดหลักธรรมาภิบาล ไม่ว่าจะซื้อ-ขาย กันด้วยเงินตรา หรือต่างตอบแทนด้วยหน้าที่ วังวนเหล่านี้จะให้สังคมเชื่อว่า สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ปลอดจากการซื้อขายตำแหน่งไปได้อย่างไร
ตำรวจจักมีศักดิ์ศรี จึงขึ้นอยู่ที่การกระทำ พร้อมภาพสว่างหรือมัวซัวที่คนภายนอกเขามองเห็นจะเป็นตัวชี้วัด มิใช้เพียงวาทะของผู้นำองค์กร