xs
xsm
sm
md
lg

แฉ 3 นายพล “ฟาร์มโชคชัย” คุมตั๋วตำรวจ “ปิดหลุม” ซื้อขายดึงอำนาจภาคจัดเอง!?

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online


การออกมาแฉของ “วิทยา แก้วภราดัย” เรื่องการซื้อขายตำแหน่งในวงการตำรวจสร้างแรงกระเพื่อมให้ผู้ที่เกี่ยวข้องดาหน้าออกมาปกป้อง ทั้งที่ความจริงการซื้อขายตำแหน่งมีการพูดกันมาตลอด แม้กระทั่งบันทึกการประชุมของคณะอนุกรรมการปรับโครงสร้างฯ ชี้ชัดมีการจ่ายเงินซื้อตำแหน่งกันถึง 50 ล้านบาท วงในชี้ยุครัฐบาล คสช.มีการซื้อขายตำแหน่งหนักกว่ายุคทักษิณ แถมยัง “ปิดหลุม” ที่เคยให้อำนาจบิ๊กตำรวจในภาคต่าง ๆ จัดสรรกันได้บ้าง แต่วันนี้กลับปรากฏภาพ “3 นายพลตำรวจ” คุมบัญชีเบ็ดเสร็จก่อนเสนอพี่ใหญ่แค่รับรู้!?

การออกมาแฉเรื่องการซื้อขายตำแหน่งตำรวจในระดับผู้กำกับการสูงถึง 5-7 ล้านบาท โดยเฉพาะในพื้นที่ภาค 8 ของ นายวิทยา แก้วภราดัย อดีตสมาชิกสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ (สปท.) และอดีต ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ สร้างความสั่นสะเทือนให้วงการสีกากีครั้งใหญ่

แม้ว่า พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง จะออกมาปฏิเสธว่าไม่มีการซื้อขายเก้าอี้ตำรวจ และให้นำหลักฐานมายืนยันก็ตาม แต่หาใช่สังคมจะเชื่อหรือคล้อยตามในสิ่งที่ พล.อ.ประวิตร กล่าวทั้งหมด ตรงกันข้ามกลับเห็นว่า พล.อ.ประวิตร น่าจะออกมาให้สัมภาษณ์ด้วยถ้อยคำเสมือนสั่งการให้มีการตรวจสอบเรื่องการซื้อขายตำแหน่งตามที่นายวิทยา แก้วภราดัย ออกมาพูด น่าจะเป็นทางออกที่เหมาะสมที่สุด

เพราะการออกมาท้าทายให้นำหลักฐานการซื้อขายตำแหน่งมายืนยันนั้น เป็นเรื่องที่รู้กันในวงการตำรวจว่า “ไม่มีตำรวจนายใดจะกล้านำหลักฐานมาแสดงให้เห็นว่าตัวเองใช้เงินในการซื้อขายตำแหน่ง

พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง
เพราะทุกคนรู้ดีว่า การซื้อตำแหน่งก็เหมือนการ “ซื้อหวย” โชคดีก็ถูกตรง ๆ หรือบางครั้งอาจไม่ตรงแต่ก็ยังได้สมประโยชน์ ส่วนพวกโชคไม่ดีไม่ถูกอะไรเลย แต่จ่ายเงินไปแล้ว ก็ไม่สามารถไปฟ้องร้องได้เพราะทั้งคนซื้อและคนรับซื้อจะต้องมีความผิดทั้งคู่

ที่สำคัญการออกมาเขย่าวงการสีกากีรอบที่ 2 ของนายวิทยา ในระยะห่างกันเพียงไม่กี่วัน ก็เท่ากับเป็นการตอกย้ำให้สังคมรู้ว่าในการแต่งตั้งโยกย้ายตำรวจมีเม็ดเงินสะพัดไปทุก ๆ พื้นที่ โดยเฉพาะพื้นที่นครบาลมีการซื้อขายแพงกว่าอีก 2 เท่าของพื้นที่ในภาค 8

อย่างไรก็ดี เรื่องการซื้อขายตำแหน่งในวงการตำรวจว่าไปแล้วไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่เป็นเรื่องที่รับรู้กันในสังคมมาอย่างต่อเนื่อง เพียงแต่ว่าถ้าปีไหนคนซื้อ คนขายต่างสมประโยชน์ก็จะไม่มีเรื่องฉาวโฉ่ออกมาให้สังคมได้เห็นกัน ซึ่งความจริงเรื่องนี้เคยมีการพูดและบันทึกในที่ประชุมคณะอนุกรรมาธิการปฏิรูปโครงสร้างอำนาจหน้าที่และกระบวนการทำงานตำรวจไว้เช่นกัน

วันนี้ข้าราชการไทยทุกส่วน ข้าราชการที่ไม่ได้รับความเป็นธรรมมากที่สุดคือตำรวจ ตอนนี้ครูจะเลื่อนตำแหน่งยังเสียเงินน้อยกว่าตำรวจ มีที่ไหนล่ะ 50 ล้านบาทยังจ่ายกัน มีครูที่ไหนจะเลื่อนตำแหน่งจ่าย 50 ล้านบาท ในเมื่อคนซื้อมาด้วย 50 ล้านบาทจะเอาอะไรไปขาย ก็ขายความยุติธรรม นี่ละคือปัญหา”

และในการประชุมครั้งนั้น มีระดับ พล.ต.ท.ที่ว่ากันว่าใกล้ชิดกับ “อดีตบิ๊กตำรวจ” กล่าวยอมรับว่า “เราตำหนิตำรวจว่าอย่างนั้นอย่างนี้ในวงการตำรวจเขาตำหนิกันเองแรงยิ่งกว่าที่นี่อีกนะครับ แต่บางทีผมก็ออกมาพูดมากไม่ได้ เป็นแค่เพียงว่าทุกเรื่องที่ท่านตั้งฐานมานี้จริงทั้งนั้น แล้วอาจจะบวกเปอร์เซ็นต์เข้าไปได้แรง ๆ ฉะนั้นตำรวจเองก็ต้องการที่จะให้เข้าไปช่วยปฏิรูป เพื่ออะไรต่ออะไร เขาก็อยากจะมีศักดิ์ศรี……...”
นายวิทยา แก้วภราดัย อดีตสมาชิกสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ (สปท.) และอดีต ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์
ว่ากันว่าในการแต่งตั้งตำรวจในยุครัฐบาล คสช.วงการตำรวจลือกันว่าเป็นยุคที่ ’จัดหนัก’ กว่าในยุคที่ผ่านมา เพราะในอดีตก่อนจะเปลี่ยนเป็นสำนักงานตำรวจแห่งชาติ มีนักการเมืองเข้ามายุคเกี่ยว แต่ก็ไม่ได้มีการจ่ายหนักขอแค่ได้คนของตัวเองบ้างเท่านั้น แต่พอเข้าสู่ยุครัฐบาลทักษิณ ชินวัตร เปลี่ยนเป็นสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ขึ้นมาปรากฏว่านักการเมืองเข้ามายุคเกี่ยวในการแต่งตั้งสูงมาก และเป็นพวกที่เอาทั้งเงิน ทั้งโควตา ทั้งส่ง ‘ตั๋ว’ ในการแต่งตั้งโยกย้ายพวกของตัวเองในตำแหน่งสำคัญ ๆ

แต่ยุคนั้น เขายังให้อำนาจผู้ใหญ่ใน สตช.เป็นผู้พิจารณา ในส่วนภูมิภาค ผู้บัญชาการ ผู้การ ก็มีส่วนที่จะพิจารณาในพื้นที่ของตัวเองได้ด้วย แต่ยุคนี้ทำไมอำนาจตำรวจถูกดึงมาอยู่กับทีมงานบิ๊ก ซึ่ง ผบ.ตร.ก็ยังมีอำนาจอยู่บ้างแต่ไม่เท่าเมื่อก่อน

แหล่งข่าวจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติ อธิบายว่า ในอดีตที่มีการแต่งตั้งโยกย้ายได้มีการให้อำนาจตำรวจภาคต่างๆ ดำเนินการได้ทั้งการแต่งตั้งโยกย้ายปกติหรือประจำปี พร้อมวิธีการแต่งตั้งโยกย้าย ที่เรียกกันในวงการตำรวจว่า “เปิดหลุม” เพื่อให้เกิดอัตราว่างและตำรวจที่ต้องการตำแหน่งโดยเฉพาะตำรวจรุ่นหนุ่ม อนาคตยังอีกไกลก็จะใช้วิธีการเปิดหลุมเพื่อช่วยให้ตัวเองได้ก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งที่ต้องการ

การเปิดหลุม เป็นที่นิยมและทุกฝ่ายได้สมประโยชน์ เช่นรองผู้กำกับ อยากเป็นผู้กำกับและตัวเองก็มีอายุราชการอีกยาวไกล เขาก็จะไปดูผู้กำกับที่เหลือเวลาอีก 3-4 ปี เสนอเงินก้อนแลกกับการให้เออร์ลี ซึ่งตำแหน่งผู้กำกับนี้จะอยู่ที่ 3-5 ล้านบาทเป็นค่าเออร์ลี ขึ้นอยู่กับพื้นที่ เมื่อผู้กำกับตกลง ที่เหลือเป็นเรื่องของรองผู้กำกับ จะไปดำเนินการ ซึ่งตรงนี้จะมีการจัดสรรให้ได้สมประโยชน์ทุกฝ่าย คือ ผู้บัญชาการภาค ผู้การจังหวัด ผู้กำกับ และรองผู้กำกับทุกคนแฮบปี้หมด

แต่วันนี้วิธีการ “เปิดหลุม” ถูกปิดตายไปแล้ว !
พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (กลาง).)
ว่ากันว่าผู้มีอำนาจยุคนี้ดึงอำนาจการแต่งตั้งโยกย้ายมาไว้ในมือคนเพียงไม่กี่คน และถ้าตรงไหนมีอัตราว่าง ทั้งจากการเปิดหลุมค้างไว้ หรือวิ่งขึ้นตำแหน่งตามอัตราว่างปกติ ก็จะใช้วิธีการตั้งรักษาการไปนั่งทำงานไว้ก่อน เพราะกว่าบัญชีโยกย้ายที่ สตช.ส่งไปถึงผู้มีอำนาจจะถูกใจอนุมัติส่งกลับมา เป็นผลให้ปี 2559 การแต่งตั้งโยกย้ายใช้เวลานาน และการปรับแก้บัญชีโยกย้ายตรงนี้ทำให้ตำรวจบางคนที่มีการวิ่งเต้นจ่ายกันไปแล้วต้องอกหักตาม ๆ กัน

โดยก่อนหน้านี้ แม้ผู้ที่จ่ายเงินจะไม่ได้พื้นที่ที่ตัวเองต้องการ แต่ก็จะมีการจัดให้ในอัตราเดียวกัน เช่นผู้กำกับถ้าไม่ได้อยู่พื้นที่ A ในจังหวัดใหญ่ตามที่ต้องการ ก็จะตั้งเป็นผู้กำกับในฝ่ายอำนวยการหรืออยู่ สน.อื่นไปก่อน ซึ่งก็ถือว่าได้เลื่อนตำแหน่งเป็น พันตำรวจเอก หรือ พันตำรวจเอกพิเศษ เหมือนกัน

เล่าลือกันว่า วันนี้ถ้าอยากได้ตำแหน่งต้องเข้าให้ถึงฟาร์มโชคชัย ที่เป็นศูนย์กลางอำนาจ ที่มี พล.ต.อ. นอกราชการ  1 คน พล.ต.ท. นอกราชการ  1 คน และพล.ต.ต. คนดัง 1 คน  เป็นคนคุมบัญชีแต่งตั้งโยกย้าย แต่ก็ยังคงแบ่งสัดส่วนให้ผู้ใหญ่ใน สตช.ได้บ้าง เช่นถ้ามี 20 ตำแหน่ง ผู้ใหญ่ สตช.จะได้ประมาณ 3-5   ที่เหลือกลุ่มนี้จัดหมด โดยมี 'พี่ใหญ่' แค่รับรู้

แหล่งข่าวอธิบายว่าตำแหน่งตำรวจซึ่งเป็นที่รู้กันว่าต้องจ่ายกันบางแห่ง ประกอบด้วย รองสารวัตร ขึ้นเป็นสารวัตร รองผู้กำกับขึ้นเป็นผู้กำกับ รองผู้การ ขึ้นเป็นผู้การ รองผู้บัญชาการขึ้นเป็นผู้บัญชาการ เป็นต้น ส่วนจะต้องจ่ายเท่าไรนั้นอยู่ที่พื้นที่ว่าเป็นแหล่งทำเลทองหรือไม่? ซึ่งในวงการตำรวจจะรู้ว่าถ้าเป็นโรงพักเกรด A มาเป็นผู้กำกับ 15 ล้านบาท เกรด B ประมาณ 10 ล้านบาท เกรด C ประมาณ 5 ล้านบาท ที่เหลืออาจจะแค่ 1-2 ล้านบาท

โรงพักไหนเกรดอะไร วัดกันที่เป็นพื้นที่เศรษฐกิจ มีรายได้อื่น ๆ เยอะไหม ทั้งจากหวย บ่อน สถานบันเทิง ของหนีภาษี คนต่างด้าว

สำหรับตำรวจที่จะก้าวขึ้นเป็น ผู้การจังหวัด ว่ากันว่าขั้นต่ำที่มีการจ่ายลือสะพัดอยู่ที่ 15 ล้านบาทและสามารถขยับสูงไปถึง 50 ล้านบาทในจังหวัดทำเลทอง เพราะตำแหน่งผู้การจังหวัด จะมีเพียงจังหวัดละ 1 คน คุมทั้งจังหวัด

วิธีคิดง่าย ๆ แต่ละจังหวัด จะมีสถานีตำรวจหรือโรงพักในความรับผิดชอบเท่าไร ยิ่งมีมาก และเป็นพื้นที่เศรษฐกิจด้วยแล้วยิ่งมีคนพากันวิ่งอยากไปลงที่จังหวัดนั้น ถ้าเปิดหลุมได้ ก็ต้องมีการสู้ราคากันเต็มที่ บางที่จังหวัดใหญ่ ๆ ต้องมีทั้งเส้นเป็นเด็กใคร มีตั๋ว และมีเงิน ทั้ง 3 อย่าง

แหล่งข่าวบอกว่า ใช่ว่าทุกพื้นที่จะต้องมีการจ่ายเงินซื้อขายตำแหน่ง เพราะถ้าตำรวจนายไหนเข้าถูกทางและมี 'นาย' ที่มีอำนาจจริง ๆ ก็ไม่จำเป็นต้องจ่ายเงิน เพราะนายจะส่งไปอยู่ในพื้นที่ที่เห็นว่าเหมาะสมและสร้างผลงานได้ด้วย จากนั้นตำรวจนายนั้นเพียงแค่ดูแล 'นาย' ให้ดี ก็ทำให้ สตช.ออกมาการันตีได้แล้วว่าวงการตำรวจไม่ได้มีการจ่ายเงินซื้อตำแหน่ง เพราะตำรวจนายนั้นไม่ได้จ่ายจริง ๆ!

ส่วน 'ตั๋ว' หรือจดหมายฝากตำแหน่งที่ดีที่สุดและไม่เคยได้รับการปฏิเสธไม่ว่าจะเป็นตำแหน่งอะไร ก็คือ 'ตั๋วช้าง' ที่รู้กันในวงการตำรวจเท่านั้น

ดังนั้นการออกมาแฉของนายวิทยา แก้วภราดัย ครั้งนี้นอกจากจะทำให้บิ๊ก คสช. และ สตช.สั่นสะเทือนแล้ว ยังทำให้ สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ ให้ความสนใจ และอาจตั้งคณะทำงานของ ป.ป.ช.เข้ามาสอบสวนเพื่อหาข้อเท็จจริงในเรื่องการซื้อขายตำแหน่งตำรวจซึ่งจะทำให้สังคมได้รับรู้ความจริงว่าวงการตำรวจมีการซื้อขายตำแหน่งจริงหรือไม่?

อีกทั้ง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ก็บอกชัดเจนแล้วว่า การซื้อขายตำแหน่งในการแต่งตั้งตำรวจ ได้รับเรื่องร้องเรียนมาบ่อย และครั้งนี้ที่นายวิทยา ออกมาแฉต้องจับให้มั่นคั้นให้ตายกันเสียทีว่าใช่หรือไม่?

      จากนี้ไปคงเป็นเรื่องที่ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ ฝ่ายความมั่นคง และ พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผบ.ตร จะต้องทำความจริงให้กระจ่าง และหากพบว่ามีใครแอบอ้าง 'บิ๊ก คสช.' ไปหาผลประโยชน์และทำให้วงการสีกากีมัวหมองก็ต้องจัดการให้เด็ดขาดต่อไป!

กำลังโหลดความคิดเห็น