เมืองไทย 360 องศา
“ผมก็รับเรื่องร้องเรียนมาบ่อยครั้ง ครั้งนี้จะได้จับให้มั่นคั้นให้ตายกันเสียที ว่า มันใช่หรือไม่ใช่ ขอบคุณนักการเมืองที่ให้ข้อมูลการซื้อขายตำแหน่ง ก็ให้ตรวจสอบทั้งหมด ตอนนี้ก็มีการย้าย ผบช.ภ.8 เข้ามาประจำศูนย์ปฏิบัติการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ศปก.ตร.) แล้ว เพื่อสอบสวนในทุกๆ ประเด็น ซึ่งมีข้อมูลในทุกประเด็น มีข้อมูลพอสมควร แต่ต้องให้ความเป็นธรรมกับทุกคน”
“เรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญ มีผลกระทบในเรื่องของการสร้างความไว้เนื้อเชื่อใจซึ่งกันและกัน ไม่ว่าจะเป็นพลเรือน ตำรวจ ทหาร แต่ในส่วนของทหารอย่างไร ผมยืนยันว่า ไม่มีการซื้อขายตำแหน่ง เพราะไม่ได้ มันต้องโตมาตั้งแต่เด็กตามช่องทางที่กำหนดไว้ แต่ข้าราชการกับตำรวจมันมีกฎหมายคนละฉบับกัน กำลังให้ไปแก้ปัญหาว่าจะดูแลข้าราชการทุกกลุ่มหน่วยงานได้อย่างไร เพื่อป้องกันการทุจริตคิดประพฤติมิชอบ ให้ได้เป็นข้าราชการที่ดีของแผ่นดิน ก็ทำมาตลอด หลายอย่างประเมินมาดีหมด พอครั้งนี้ผมให้ประเมินใหม่ออกมาไม่ดี กลายเป็นว่า รัฐบาลนี้ทำไม่สำเร็จหรือเปล่า เนื่องจากเราเอาจริงเอาจังแล้วข้าราชการจึงต้องไปปรับปรุง ถ้าทำไม่ได้ ก็ว่ากันอีกที เป็นการเปลี่ยนแปลงปฏิรูประบบราชการ เมื่อมันเปลี่ยนแปลงมันก็ต้องปัจจัยหลายอย่างการประเมินก็ต้องออกมาคนละอย่างก็ต้องไปแก้ตรงไหนไม่ผ่านต้องลงโทษปรับปรุงอะไรหรือไม่ ข้อสำคัญ ต้องช่วยกันสร้างความคิดใหม่ๆ ให้ข้าราชการ”
นั่นเป็นคำพูดของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่กล่าวถึงเรื่องการซื้อขายตำแหน่งในช่วงการโยกย้ายแต่งข้าราชการตำรวจ หลังจากที่มีการเปิดเผยข้อมูลดังกล่าวจากฝ่ายนักการเมือง คือ วิทยา แก้วภราดัย ซึ่งเป็นอดีตสมาชิกสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ
ขณะเดียวกัน นั่นเป็นท่าทีใหม่ของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่ตอบรับกับข้อมูลดังกล่าว โดยพิจารณาจากการให้สัมภาษณ์ข้างต้น พบว่า “มีการสั่งให้สอบสวนในทุกประเด็น ซึ่งมีข้อมูลในทุกประเด็นและมีข้อมูลพอสมควร” ความหมายก็คือข้อมูลเรื่องการซื้อขายตำแหน่งที่ว่านั้น “มันมีมูล” จึงต้องมีการสั่งให้สอบสวนในทุกระดับ และยังระบุอีกว่า การย้ายผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 8 เข้ามาประจำศูนย์ปฏิบัติการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ก็เพื่อให้การสอบสวนเรื่องการซื้อขายตำแหน่งเป็นไปอย่างสะดวก
ที่บอกว่าเป็นท่าทีใหม่ของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ก็เพราะว่าที่ผ่านมาจะไม่ค่อยได้เห็นแบบนี้ ส่วนใหญ่จะแสดงความไม่พอใจหรือไม่ก็ให้แสดงหลักฐานมาให้ชัด อย่าพูดลอยๆ อะไรประมาณนี้ แต่เที่ยวนี้ผิดคาดบอกว่า “สั่งให้สอบสวนในทุกประเด็น” และ “มีข้อมูลพอสมควร” ซึ่งหากพิจารณาจากคำพูดดังกล่าวมันก็ไม่ต่างจากการ “รับลูก” ให้มีการตรวจสอบแบบทันควัน
ท่าทีของเขา หากสังเกตให้ดีจะพบว่า ยัง “สวนทาง” กับทาง “พี่ใหญ่” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง และ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ที่ก่อนหน้านี้ได้กล่าวตัดบทว่าไม่มีเรื่องแบบนี้ เป็นเพียงการกล่าวหาลอยๆ เหมือนเช่นทุกครั้ง
ขณะเดียวกัน หากพิจารณากันในรายละเอียดก็จะพบว่า นี่อาจเป็น “สัญญาณ” บางอย่างที่ส่งไปถึง พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ที่ในช่วงที่ผ่านมาถือว่าเริ่ม “ตกที่นั่งลำบาก” ขึ้นเรื่อยๆ จากระยะหลังที่ผลงานไม่ค่อยเข้าตา โดยเฉพาะจากผลงานในเรื่องการป้องกันและการคลี่คลายคดีลอบวางระเบิดที่โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า หรือก่อนหน้านั้น ที่หน้าสำนักงานกองสลากหลังเก่า หน้าโรงละครแห่งชาติ ยังไปไม่ถึงไหน ยังไม่อาจออกหมายจับคนร้ายได้สักรายเดียว แม้ว่าคดีแบบนี้เป็นคดีความมั่นคง อยู่ในความรับผิดชอบของ พล.ต.อ.ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ แต่ก็นั่นแหละมันก็อยู่ในฐานะโคม่ากันทั้งคู่แหละ รวมไปถึง “พี่ใหญ่” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ที่กำลัง “หมดสภาพ” ด้านความมั่นคงเข้าไปทุกที ยิ่งเมื่อเจอปัญหาด้านสุขภาพรุมเร้ามันก็ยิ่งต้องรอจังหวะลงจากหลังเสือ
ล่าสุด เมื่อมาเจอเรื่องข้อมูลเรื่อง “ซื้อขายเก้าอี้” ในการโยกย้ายตำรวจในกองบัญชาการตำรวจภูธรภาค 8 เข้ามาอีกมันก็เหมือนกับผสมโรงแบบได้จังหวะ
และยิ่งมีการให้ข้อมูลต่อเนื่องจาก วิทยา แก้วภราดัย ที่ทิ้งบอมบ์ลงมาที่กองบัญชาการตำรวจนครบาลที่ย้ำว่าตัวเลขการซื้อขายแพงยิ่งกว่าที่ภาค 8 เป็น “สองเท่า” รับรองว่า งานนี้คงนั่งไม่ติดเพราะนครบาลมันย่อมสะเทือนมาถึงผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติแน่นอน และเป็นเพราะแบบนี้หรือเปล่าที่เริ่มมีการตอบโต้แบบเข้มข้นกลับมาด้วยการสั่งให้ฝ่ายกฎหมายตรวจสอบว่าเข้าข่าย “หมิ่นประมาท” ซึ่งก็มองได้อีกมุมหนึ่งว่า นี่คือ การ “ปิดปาก” ห้ามแฉต่ออะไรประมาณนี้หรือเปล่า
อย่างไรก็ดี หากพิจารณากันในภาพรวมแล้ว งานนี้ถือว่าเจ็บกันไปทั้งหมด เริ่มตั้งแต่วงการตำรวจที่พอพูดกันถึงเรื่องซื้อขายเก้าอี้เชื่อเถอะชาวบ้านเขามองเห็นภาพกันทั้งนั้น เพราะมีเรื่องแบบนี้ทุกปีหรือทุกครั้งที่มีการโยกย้ายเป็นเรื่องธรรมดา แต่คราวนี้มันมีผลสะเทือนมาถึง พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ด้วย ถ้าฟังจากคำพูดของนายกรัฐมนตรีที่สั่งให้มีการตรวจสอบทุกระดับ ขณะเดียวกัน ฝ่ายที่แฉคือฝ่ายการเมืองทึ่ไม่รู้ว่า “ผิดคิว” หรือเปล่า เพราะถ้า พล.ต.ท.เทศา ศิริวาโท อดีตผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 8 เป็นคนสนิท สุเทพ เทือกสุบรรณ อดีตเลขา กปปส. วิทยา แก้วภราดัย อดีตแกนนำ กปปส. ก็เป็นคนสนิทของ สุเทพ ทำไมไม่คุยกันวงใน แต่การออกมาแฉแบบนี้มันก็ทำให้สงสัยว่าว่าเกิดอะไรขึ้น หรือจะเป็นไปตามคำพูดของ พล.ต.อ.จักรทิพย์ ที่พูดลอยลมตามมาว่า “เอาคืนหรือเอาเงินคืน” อะไรแบบนี้หรือไม่
ดังนั้น ถือว่าเจ็บกันทั้งหมด แบบที่ขว้างงูไม่พ้นคอ แต่อย่างน้อยมันก็ช่วยเพิ่มกระแสตอกย้ำว่าถึงเวลาที่ต้องปฏิรูปตำรวจกันแบบรื้อโครงสร้างตามที่ชาวบ้านต้องการกันอย่างเร็วที่สุด เพราะนี่คือทางเดียวที่จะยุติเสียงวิจารณ์ที่น่ารำคาญแบบนี้ทุกครั้งที่มีการโยกย้าย คราวนี้เป็น พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ต่อไปหากเปลี่ยนไปคนอื่นหากโครงสร้างเป็นแบบเดิมมันก็ไม่ต่างกัน !!