นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงร่างพระราชบัญญัติ(พ.ร.บ.)งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2561 ว่า ยังเป็นการจัดงบประมาณแบบขาดดุล คือรัฐบาลเก็บภาษีได้น้อยกว่าใช้จ่ายเงิน ซึ่งหมายถึงจะต้องมีการกู้เงินเพิ่ม สำหรับงบประมาณกลางปีนั้น ถ้าจะต้องมีคำอธิบายมีเหตุผล เช่น เกิดภาวะวิกฤตเศรษฐกิจจำเป็นต้องกระตุ้นเศรษฐกิจ และที่สำคัญ คือ ต้องอธิบายด้วยว่างแหล่งเงิน รายได้จะมาจากไหน เช่น มาจากการจัดเก็บภาษีได้เพิ่มขึ้น เกินเป้า หรือจะเป็นเพราะว่าจำเป็นต้องกู้ยืมเพิ่มเติม เป็นต้น
"ในรัฐบาลนี้สิ่งหนึ่งซึ่งกระทบวินัยการเงินการคลังมาก และผมไม่สบายใจเลย คือ การไปอนุญาตว่าเงินใช้จ่ายของหน่วยงานต่างๆ ตามงบประมาณ ถ้าเหลือแล้วสามารถโอนเข้ามาเป็นงบกลางได้ ซึ่งอันนี้แทบจะไม่เคยทำกัน น่าจะมีรัฐบาลนี้กับรัฐบาลจอมพลถนอมที่ทำ ปกติถ้าใช้เงินไม่หมดจะต้องคืนคลังหรือโอนตามงบประมาณว่ามีค่าใช้จ่ายที่อื่นอะไร อย่างไร จะโอนข้ามหน่วยงาน รู้สึกต้องออกเป็นพ.ร.บ.ด้วยซ้ำไป แต่รัฐบาลนี้กลับให้โอนเป็นงบกลาง กล่าวคือ โอนเข้าสำนักนายกรัฐมนตรี ให้นายกรัฐมนตรี เป็นผู้พิจารณาเป็นหลัก ซึ่งตามหลักการปกติสภาจะต้องเป็นคนพิจารณา เหมือนกับเป็นการเอาเงินไปเติมสำหรับนายกรัฐมนตรี และคณะรัฐมนตรีที่จะอนุมัติ" หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าว และว่า ส่วนใหญ่งบกลาง จะเป็นงบฉุกเฉิน สำรอง สำหรับเหตุการณ์ที่ไม่สามารถจะจัดตามงบประมาณปกติได้ เพราะว่าหลักการคือ ต้องให้ประชาชนรู้ว่า จะนำเงินไปใช้ทำอะไร
นายอภิสิทธิ์ ยังกล่าวถึง “กลุ่มสโมสร 50 ส.ส.” ที่เชื่อว่า สมาชิกแต่ละคน มีฐานเสียงคนละ 3 หมื่นคะแนน ว่า ในขณะนี้ปฏิเสธไม่ได้ว่า มีหลายพรรคการเมือง ที่กำลังจะตั้งขึ้นใหม่ โดยเชื่อว่าเมื่อลงสมัครรับเลือกตั้ง และนำคะแนนที่ได้มาคำนวณจะได้เป็น ส.ส.บัญชีรายชื่อ บางคนคิดไกลกว่านั้น คือ หากได้ ส.ส.บัญชีรายชื่อ 5-10 คน พรรคของตนนั้น จะเป็นตัวแปรในการจัดตั้งรัฐบาล อีกทั้งสามารถเรียกร้องตำแหน่งรัฐมนตรีได้ ทั้งหมดที่วิเคราะห์ ก็เพื่อจะบอกว่า มีคนคิดสูตรแบบนี้เยอะ ซึ่งอยากเตือนว่า อาจไม่เป็นเช่นนั้น เพราะประชาชนมีความคิดเปลี่ยนแปลงไป ดังนั้นสูตรเดิมๆ คงใช้ไม่ได้
"ผมก็ไม่อยากจะไปโต้แย้งอะไร แต่อยากจะบอกว่า ขนาดตัวผมเองลงสมัครรับเลือกตั้งมาในเขตเลือกตั้ง ก็ 4 ครั้ง หลังจากนั้นก็อยู่ระบบบัญชีรายชื่อ แต่ก็ยังมีความผูกพันอยู่กับคนในเขตเลือกตั้งในอดีตของผม ในกรุงเทพฯ ยังไม่คิดเลยว่าตัวผมมีคะแนนเท่าไหร่ คิดว่าคะแนนผมอยู่กับพรรคฯ นะครับ เพราะว่าผมได้มานี้ทุกครั้ง เชื่อว่าเป็นคะแนนพรรคฯไม่ต่ำกว่าร้อยละ 70 –80เป็นอย่างน้อย ถ้าจะมีเรื่องของคะแนนส่วนตัวบ้าง ก็เติมเข้ามา โดยเฉพาะในยุคหลังนี้ เห็นได้ชัดว่าประชาชนให้ความสำคัญกับเรื่องพรรค เรื่องนโยบาย มากทีเดียว" นายอภิสิทธิ์ กล่าว
"ในรัฐบาลนี้สิ่งหนึ่งซึ่งกระทบวินัยการเงินการคลังมาก และผมไม่สบายใจเลย คือ การไปอนุญาตว่าเงินใช้จ่ายของหน่วยงานต่างๆ ตามงบประมาณ ถ้าเหลือแล้วสามารถโอนเข้ามาเป็นงบกลางได้ ซึ่งอันนี้แทบจะไม่เคยทำกัน น่าจะมีรัฐบาลนี้กับรัฐบาลจอมพลถนอมที่ทำ ปกติถ้าใช้เงินไม่หมดจะต้องคืนคลังหรือโอนตามงบประมาณว่ามีค่าใช้จ่ายที่อื่นอะไร อย่างไร จะโอนข้ามหน่วยงาน รู้สึกต้องออกเป็นพ.ร.บ.ด้วยซ้ำไป แต่รัฐบาลนี้กลับให้โอนเป็นงบกลาง กล่าวคือ โอนเข้าสำนักนายกรัฐมนตรี ให้นายกรัฐมนตรี เป็นผู้พิจารณาเป็นหลัก ซึ่งตามหลักการปกติสภาจะต้องเป็นคนพิจารณา เหมือนกับเป็นการเอาเงินไปเติมสำหรับนายกรัฐมนตรี และคณะรัฐมนตรีที่จะอนุมัติ" หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าว และว่า ส่วนใหญ่งบกลาง จะเป็นงบฉุกเฉิน สำรอง สำหรับเหตุการณ์ที่ไม่สามารถจะจัดตามงบประมาณปกติได้ เพราะว่าหลักการคือ ต้องให้ประชาชนรู้ว่า จะนำเงินไปใช้ทำอะไร
นายอภิสิทธิ์ ยังกล่าวถึง “กลุ่มสโมสร 50 ส.ส.” ที่เชื่อว่า สมาชิกแต่ละคน มีฐานเสียงคนละ 3 หมื่นคะแนน ว่า ในขณะนี้ปฏิเสธไม่ได้ว่า มีหลายพรรคการเมือง ที่กำลังจะตั้งขึ้นใหม่ โดยเชื่อว่าเมื่อลงสมัครรับเลือกตั้ง และนำคะแนนที่ได้มาคำนวณจะได้เป็น ส.ส.บัญชีรายชื่อ บางคนคิดไกลกว่านั้น คือ หากได้ ส.ส.บัญชีรายชื่อ 5-10 คน พรรคของตนนั้น จะเป็นตัวแปรในการจัดตั้งรัฐบาล อีกทั้งสามารถเรียกร้องตำแหน่งรัฐมนตรีได้ ทั้งหมดที่วิเคราะห์ ก็เพื่อจะบอกว่า มีคนคิดสูตรแบบนี้เยอะ ซึ่งอยากเตือนว่า อาจไม่เป็นเช่นนั้น เพราะประชาชนมีความคิดเปลี่ยนแปลงไป ดังนั้นสูตรเดิมๆ คงใช้ไม่ได้
"ผมก็ไม่อยากจะไปโต้แย้งอะไร แต่อยากจะบอกว่า ขนาดตัวผมเองลงสมัครรับเลือกตั้งมาในเขตเลือกตั้ง ก็ 4 ครั้ง หลังจากนั้นก็อยู่ระบบบัญชีรายชื่อ แต่ก็ยังมีความผูกพันอยู่กับคนในเขตเลือกตั้งในอดีตของผม ในกรุงเทพฯ ยังไม่คิดเลยว่าตัวผมมีคะแนนเท่าไหร่ คิดว่าคะแนนผมอยู่กับพรรคฯ นะครับ เพราะว่าผมได้มานี้ทุกครั้ง เชื่อว่าเป็นคะแนนพรรคฯไม่ต่ำกว่าร้อยละ 70 –80เป็นอย่างน้อย ถ้าจะมีเรื่องของคะแนนส่วนตัวบ้าง ก็เติมเข้ามา โดยเฉพาะในยุคหลังนี้ เห็นได้ชัดว่าประชาชนให้ความสำคัญกับเรื่องพรรค เรื่องนโยบาย มากทีเดียว" นายอภิสิทธิ์ กล่าว