xs
xsm
sm
md
lg

ผู้จัดการสุดสัปดาห์

x

BURAPHA EAST VILLE ระเบียงค้าอาวุธเสรี คำถามที่ “ความมั่นคง” ต้องตอบ

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online


ผู้จัดการสุดสัปดาห์ - พูดได้คำเดียวว่า งามไส้!! กับการจับกุมขบวนการลักลอบค้าอาวุธสงคราม ได้ถึง 2 คดีในเวลาไล่เลี่ยกัน แม้ 2 คดีจะมีความต่างกันในรูปแบบของการดำเนินธุรกิจ รายหนึ่งเป็นเหมือนผู้ค้ารายย่อยจำหน่ายปลีก อีกรายเป็นขบวนการใหญ่ระดับยี่ปั๊วค้าส่ง

แต่สิ่งที่เหมือนกันเป๊ะคือ ผู้ต้องหาที่ถูกจับกุมในทั้ง 2 คดีเป็น “ทหาร” ทั้งคู่

คดีแรกเป็นวีรกรรมของทหารสังกัดกองพันทหารช่างที่ 1 รักษาพระองค์ (ช.พัน.1 รอ.) ซึ่งต้นสังกัดมีที่ตั้งอยู่ใน กทม.นี่เอง สืบเนื่องจาก เจ้าหน้าที่ตำรวจสถานีตพรวจนครบาล (สน.) บางเขน ได้รับแจ้งจาก ศูนย์บริการส่งสินค้า “เคอรี่ เอ็กซ์เพรส” สาขาบางเขน ว่าพบกล่องพัสดุบรรจุวัตถุคล้ายระเบิดมือ จึงได้เข้าไปทำการตรวจสอบพร้อมหน่วยเก็บกู้และตรวจพิสูจน์วัตถุระเบิด (อีโอดี) จนสามารถสรุปได้ว่าเป็น ระเบิดชนิดลูกเกลี้ยง ชนิด M67 สภาพสมบูรณ์พร้อมใช้งาน 4 ลูก อยู่ภายในกล่องพัสดุ

พนักงาน “เคอรี่ เอ็กซ์เพรส” ให้การว่า กล่องพัสดุดังกล่าวนำมาส่งไว้ตั้งแต่วันที่ 6 พฤษภาคม 2560 แต่ไม่มีผู้รับที่ปลายทาง และไม่สามารถติดต่อผู้รับหรือผู้ส่งได้ กล่องพัสดุจึงถูกตีกลับ ผ่านไปราว 1 เดือน พนักงานจึงได้ทำการตรวจสอบ ก่อนพบว่าเป็นระเบิด และรีบแจ้งตำรวจทันที

จากการตรวจสอบชื่อผู้ส่งที่ระบุไว้พบว่าเป็นนายทหารชื่อเดียวกับที่เขียนไว้บนกล่องพัสดุ โดยมียศสิบโท (ส.ท.) สังกัดช.พัน.1 รอ. ซึ่งตั้งอยู่ในละแวกเดียวกับศูนย์บริการส่งสินค้า เมื่อตรวจสอบเพิ่มเติมก็พบว่ายังมีกล่องพัสดุบรรจุอาวุธสงครามในลักษณะเดียวกันอีก 2 กล่อง ที่นำมาฝากส่งไว้เมื่อวันที่ 2 มิถุนายน ที่ผ่านมา กล่องหนึ่งใส่ระเบิดชนิด M26 (ระเบิดน้อยหน่า) 2 ลูก อีกกล่องมีกระสุนปืนเอชเคจำนวน 100 นัด

ก่อนแจ้งเจ้าหน้าที่ให้ควบคุมตัวสิบโทรายดังกล่าวมาสอบสวนที่กรมทหารราบที่ 11 รักษาพระองค์ (ร.11 รอ.) จนยอมรับสารภาพว่า ได้กระทำการลักลอบขโมยอาวุธยุทธภัณฑ์ หรือคลังแสงของหน่วยต้นสังกัด เพื่อนำมาจำหน่ายผ่านทางโซเชี่ยลเน็ตเวิร์ค โดยได้ทำการขายยุทธภัณฑ์ไปไม่ต่ำกว่า 22 ครั้ง จากนั้นเจ้าหน้าที่ได้ขยายผล ก่อนเข้าควบคุมตัวทหาร-พลเรือนราว 20 คน ที่คาดว่ามีส่วนเกี่ยวข้องทั้งในส่วนของผู้ขาย และผู้ซื้อ
รถที่ประสบอุบัติเหตุเองจนทำให้ตรวจเจออาวุธซุกซ่อนอยู่เป็นจำนวนมาก "รถตรากงจักร" ที่ฝ่ายทหารยืนยันว่าเป็นป้ายทะเบียนปลอม
ผลการสอบสวนกลุ่มผู้ต้องหาเป็นที่น่าตกใจว่า ขบวนการดังกล่าวได้ขโมยระเบิด เครื่องกระสุน และยุทธภัณฑ์ต่างๆ จากคลังอาวุธของ ช.พัน 1 รอ. มีตัวการสำคัญอย่าง ส.อ.ธนากรณ์ บุญกาญจน์ เจ้าหน้าที่คลังอาวุธของ ช.พัน1 รอ. นั่นเอง ก่อนนำไปขายให้กับลูกค้าทั่วประเทศ ผ่านแอพพลิเคชั่น LINE และ FACEBOOK ซื้อขายแลกเปลี่ยนอาวุธปืนทั้งแบบที่มีทะเบียนและไม่มีทะเบียน ส่งสินค้าผ่านบริการของเอกชนที่การตรวจสอบไม่เข้มงวดมากนัก ซึ่งที่ผ่านมาทุกครั้งสินค้าก็ถึงมือผู้รับโดยตลอด

ไม่ทราบอะไรมาดลใจให้ “พ่อค้า-ลูกค้า” ไม่ได้ประสานงานกัน จนสินค้าระเบิด M67 ตกอยู่กลางทาง เลยกลายเป็นเรื่องขึ้นมา จนถูกแซวว่า เป็น "Start up-สตาร์ทอัพ" ผู้ประกอบการธุรกิจแนวใหม่ของ “ทหารไทย” ที่ตอบโจทย์การทำการค้าในยามที่เศรษฐกิจฝืดเคืองอย่างมาก แถมตีโจทย์แตกโพละ เลือกสินค้าต้นทุนต่ำ มีสต๊อกสินค้าไม่ต้องเช่าโกดังเอง แล้วก็ยังรู้จักใช้ระบบ ลอจิสติกส์ ผ่านบริการขนส่งเอกชนให้เป็นประโยชน์

เรื่องนี้สะท้อนให้เห็นถึงความหละหลวม การควบคุมตรวจตรายุทธภัณฑ์กองทัพ โดยเฉพาะในยามที่มีการก่อเหตุวินาศกรรมสร้างสถานการณ์ถี่ยิบ จึงทำให้ทั้ง "บิ๊กเจี๊ยบ" พล.อ.เฉลิมชัย สิทธิสาท ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) และ "บิ๊กแดง" พล.ท.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ แม่ทัพภาคที่ 1 ถึงกับควันออกหู สั่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนความผิดทางวินัย เพื่อดำเนินการลงโทษตามระเบียบ

แล้วก็ยังมีข้อมูลจากการตรวจสอบพบพัสดุทั้ง 22 กล่อง พบว่าลูกค้าขบวนการค้าอาวุธออนไลน์ มีทั้งพลเรือนทั่วไปที่ชอบสะสมอาวุธ โดย “ลูกค้ารายหนึ่ง” ซึ่งมีภูมิลำเนาอยู่ที่ อ.ชนบท จ.ขอนแก่น และมีชื่อเป็นผู้รับพัสดุ จึงถูกควบคุมตัวมาสอบสวน ได้ระบุว่า มีความฝันอยากมีทำห้องใต้ดินให้เป็นคลังแสงส่วนตัว จึงได้สั่งซื้อระเบิดมาสะสมตามความชอบส่วนตัว ซึ่งราคาไม่แพง 14,000 บาท ได้ระเบิดถึง 4 ลูก แถมการสั่งซื้อทางออนไลน์ก็ง่ายและสะดวก

ขณะที่ลูกค้าอีกกลุ่มคือ กลุ่มทหาร-ตำรวจ ที่สั่งซื้อไปเพื่อไปทดแทนอัตราอาวุธที่หายไปจากหน่วยที่ตนเองสังกัดในช่วงวงรอบการตรวจประจำปี สำทับให้เห็นความหละหลวมภายในกองทัพไปอีระดับ

น่าแปลกที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ยังกล้ายืนยันผ่านการตอบคำถามสื่อมวลชนเป็นลายลักษณ์อักษร หลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ว่า “ยังไม่พบว่ามีการรั่วไหล (ของอาวุธสงคราม) ออกจากคลังแสง”
อาวุธของขบวนการค้าอาวุธเบื้องบูรพาทิศที่ถูกจับกุมได้ และบัตรประจำตัวของ พ.อ.อ.ภคิน เดชพงษ์
ทั้งที่ “ทหารนอกแถว” ที่เกี่ยวข้องกับขบวนการค้าอาวุธออนไลน์ก็สารภาพทนโท่ว่า ได้ขโมยระเบิด เครื่องกระสุน และยุทธภัณฑ์ต่างๆ จากคลังอาวุธของหน่วยทหารที่สังกัด

เคสของ “Start up ขายอาวุธออนไลน์” ของทหารนอกแถวสังกัด ช.พัน 1 รอ.กระจอกไปเลย หากเทียบกับเหตุการณ์ไม่กี่วันต่อมา ที่ “พระสยามเทวาธิราช” แสดงอิทธิฤทธิ์ จนเปิดโปงขบวนการลักลอบของ “คนในเครื่องแบบ” อีกครั้ง

คราวนี้มาจาก “อุบัติเหตุ” รถยนต์ กระบุอีซูซุ 4 ประตู สีดำ หมายเลขทะเบียนตรากงจักร 1510 เสียหลักพลิกคว่ำตกข้างถนนสภาพรถพังยับเยินบริเวณ ถ.สุขุมวิท ต.แหลมกลัด อ.เมือง จ.ตราด เมื่อเจ้าหน้าที่ถึงที่เกิดเหตุก็ต้องผงะ เมื่อพบว่าภายในรถยนต์มีอาวุธสงครามรวม 14 รายการ อาทิ ปืนอาก้า AK 47 จำนวน 29 กระบอก ปืนกลขนาด 7.62 มม. 4 กระบอก ซองกระสุนปืน AK 47 ชนิด 30 นัด จำนวน 36 ซอง กระสุนปืน AK 47 ขนาด 7.62 จำนวน 4,147 นัด ลูกเบี้ยว AK 47 จำนวน 6 ชิ้น กระสุน M 79 จำนวน 53 ลูก

เบื้องต้นสามารถจับกุม พ.อ.อ.ภคิน เดชพงษ์ สังกัดกองบิน 2 ลพบุรี ซึ่งมีบัตรเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการด้านการข่าว กองอำนวยการรักษาความั่นคงภายในราชอาณาจักร (กอ.รมน.) กทม.อยู่ด้วย พร้อมนายจักรพงษ์ ไกรเรือง อายุ 37 ปี ชาว จ.ตราด ที่มีหน้าที่ยกของ และ ร.ต.ท.พิสิษฐ์ เลียง อายุ 29 ปี เจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมือง (ตม.) ของประเทศกัมพูชา ซึ่งขับรถยนต์เรนจ์โรเวอร์ สีขาว หมายเลขทะเบียน 2AD-5629 พนมเปญ ที่ตอนแรกมีกระแสข่าวว่า เป็นรถของ “นายทหารใหญ่ของกัมพูชา”

จนมี “ดรามาซ้อนดรามา” ขึ้นมา เมื่อสื่อมวลชนไทยบางสำนักได้รายงานว่า ร.ต.ท.เรียง ไม่ธรรมดา นอกจากเป็นเจ้ากหน้าที่รัฐของกัมพูชาแล้ว ยังเป็นลูกเขยของที่ปรึกษาคนหนึ่งของ สมเด็จฮุน เซน พร้อมระบุว่ารถยนต์เรนจ์โรเวอร์คันดังกล่าวเป็นของ พล.อ.เตีย บัญ รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหมของกัมพูชา จนสำนักวิเทศสัมพันธ์กระทรวงกลาโหมกัมพูชา ได้ออกหนังสือถึงสำนักงานผู้ช่วยทูตทหารไทยประจำกรุงพนมเปญ ปฏิเสธรายงานข่าวดังกล่าวและเรียกร้องให้สื่อไทยขอโทษอย่างเป็นทางการ

ขณะที่ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคงและ รมว.กลาโหม ก็ได้โทรศัพท์พูดคุยทำความเข้าใจกับ พล.อ. เตีย บัญ เป็นที่เรียบร้อย

เป็นที่น่าสังเกตว่า พอเป็นข่าวขึ้นมา “หน่วยงานด้านความมั่นคง” พยายามทำให้ให้ดูเหมือนไม่ใช่เรื่องใหญ่ ผสมโรงไปกับกระแสที่ไม่สามารถสอดแทรกข่าวใหญ่ในตอนนั้นขึ้นมาได้ จนเกือบตกเฟรม-ตกกรอบข่าวไปด้วยซ้ำ ดีที่ งานนี้เรียกว่าตำรวจกัดไม่ปล่อย แม้ผู้ต้องหาคดีร้ายแรงนี้มียศเป็นทหารก็ตาม

เพราะสิ่งแรกที่ “หน่วยงานด้านความมั่นคง” ทำ คือการให้ พ.อ.พีรวัชฌ์ แสงทอง โฆษก กอ.รมน. ออกมาชี้แจงว่า พ.อ.อ.ภคิน เดชพงษ์ ไม่ได้สังกัด กอ.รมน. แต่สังกัดกองบิน 2 ลพบุรี และรถขึ้นที่เกิดเหตุเป็นรถตกแต่งทะเบียนปลอมติดป้ายกงจักร (กองทัพบก) โดยใช้บัตร กอ.รมน.มา แอบอ้าง แต่ก็ยังไม่มีการลงลึกในรายละเอียดเกี่ยวกับอาวุธสงครามที่พบ ทั้งๆที่เป็นหน้าที่โดยตรงของ กอ.รมน.

ขณะเดียวกัน พ.อ.อ.ภคิน เดชพงษ์ ก็สารภาพว่า นำอาวุธมาจากประเทศกัมพูชา เพื่อขนไปขายให้กองกำลังติดอาวุธชนกลุ่มน้อยทางภาคเหนือของไทย โดยเฉพาะกลุ่มกะเหรี่ยงเคเอ็นยู (กะเหรี่ยงคริสต์)

ที่น่าสนใจคือ พ.อ.อ.ภคิน เดชพงษ์ ยืนกรานหนักแน่นกับตำรวจว่า “กระการทำเพียงคนเดียว”

ในขณะที่ กอ.รมน.พยายามตัดความเชื่อมโยงมาถึงหน่วยงาน พ.อ.อ.ภคิน เดชพงษ์ ก็ปฏิบัติการ “กามิกาเซ่” ขอพลีชีพคนเดียวอีกต่างหาก โดยไม่ซัดทอดผู้ต้องหา 2 รายที่ถูกจับพร้อมกันด้วยซ้ำ

แต่ เจ้าหน้าที่ตำรวจก็ยังไม่ปักใจเชื่อว่า พ.อ.อ.ภคิน เดชพงษ์ ทำคนเดียว หรือมีผู้ร่วมขบวนการแค่ 3 คน เนื่องจากมีข้อมูลจาก สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง (สตม.) ว่า จากการตรวจสอบการเดินทางเข้าและออกผ่าน ตม.ของ 3 ผู้ต้องหาที่ถูกจับได้นั้น ไม่พบ พ.อ.อ.ภคินการเข้าออกเลย ขณะที่ นายจักรพงษ์ พบเดินทาง 11 ครั้ง ส่วน ร.ต.ท.พิสิษฐ์ ชาวกัมพูชาเดินทางเข้าออกบ่อยถึง 231ครั้ง โดยทุกครั้งเป็นการเข้าและออกถูกต้องตามขั้นตอน

รวมแล้วมีการเข้าออกของแก๊งนี้ถึง 242 ครั้งด้วยกัน
นอกจากนี้ยังมีหลักฐานเป็นภาพจากกล้องวงจรปิดของโรงแรมแห่งหนึ่ง ใน อ.คลองใหญ่ จ.ตราด ที่จับภาพรถเรนจ์โรเวอร์ ที่ ร.ต.ท.พิสิษฐ์ ขับเข้า-ออกเอาไว้ได้ด้วย นอกจากนี้ก็ยังตรวจพบอาวุธ ปืนพกขนาด 9 มม. ยี่ห้อกล็อก 3 กระบอก และปืนกลมืออีก 1 กระบอก บริเวณด้านข้างช่องว่างบริเวณแบตเตอรี่รถยนต์ ที่ถูกเก็บไว้ในกล่องที่ทำขึ้น เพื่อเก็บอาวุธปืนโดยเฉพาะ ภายในรถเรนจ์โรเวอร์ที่ขับขี่โดย ร.ต.ท.พิสิษฐ์ ด้วย

“ผู้สันทัดกรณี” ยังตั้งข้อสังเกตด้วยว่า จากข้อมูลของตำรวจระบุว่า การขนอาวุธสงครามในครั้งนี้มีเส้นทางผ่าน “จุดตรวจทหาร” ถึง 2 ด่านสำคัญ คือ จุดตรวจทหารของชุด ฉก.นย.182 บ้านหาดเล็ก อ.คลองใหญ่ จ.ตราด และจุดตรวจของชุด ชค.ทพ.นย.ที่ 3 เขาล้าน ต.แหลมกลัด อ.เมือง จ.ตราด

เหตุไฉนรถยนต์ที่บรรทุกอาวุธสงครามเต็มคันจึง “ผ่านตลอด” เพิ่มน้ำหนักความน่าเชื่อในทฤษฎีที่ว่า งานนนี้ต้องทำกันอย่างเป็นขบวนการ โดยมี “นายทหารใหญ่” รู้เห็นเป็นใจด้วย ซึ่งก็เป็นหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ต้องสาวให้ “ต้นตอ” แต่อาจจะไป “ชนตอ” หรือเปล่าก็ไม่แน่ใจ

ข้อมูลจากเจ้าหน้าที่ระดับสูงด่านศุลกากรคลองใหญ่ จ.ตราด ซึ่งเป็นด่านที่ รถเรนจ์โรเวอร์ ทะเบียน 2AD-5629 พนมเปญ ผ่านเข้าออกเป็นประจำ ระบุชัดเจนว่า รถยนต์คันใดที่เดินทางเข้าออกจะต้องแสดงเอกสารและหลักฐานการเป็นเจ้าของ จึงจะสามารถเข้าออกได้ และต้องปฏิบัติตามระเบียบอย่างเคร่งครัด แต่หากเป็นกรณีของ “บุคคลวีไอพี” จากประเทศเพื่อนบ้าน จะมีอภิสิทธิ์การไม่ตรวจค้นภายในรถ เพื่อให้เกียรติซึ่งกันและกัน

ยิ่งสาวลึกลงไปก็ยิ่งพบว่างานนี้ “ไม่ธรรมดา” แน่ๆ

เมื่อสลัดไม่พ้นความรับผิดชอบของหน่วยงานความมั่นคง ก็มีความพยายามปล่อยข่าวอีกระลอกว่า เชื่อมโยงกับเหตุการณ์ความไม่สงบทางการเมืองหลายครั้ง จู่ๆก็พยายามปัดสวะ-โยนขี้ไปให้ “ฝ่ายการเมือง” ขึ้นมา

โดยมีข้อมูลอีกด้านว่า พ.อ.อ.ภคิน พบว่ามีความเชื่อมโยงถึง “นาย” ซึ่งกว้างขวางใน จ.ลพบุรี และเป็นนายทหารยศ “พลตรี” เตรียมทหารรุ่น 15 (ตท.15) ปัจจุบันเกษียณอายุราชการแล้ว ก่อนหน้านี้เคยได้รับมอบหมายให้เป็นรอง ผอ.รมน.ในจังหวัดทางภาคกลาง ซึ่งคาดว่าเป็นที่มาของบัตร กอ.รมน.ของ พ.อ.อ.ภคิน

ที่น่าตกใจคือ นายทหารยศ “พลตรี” รายนี้เคยได้รับการเสนอชื่อเป็น สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ในสมัยรัฐบาลคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) นี้ด้วย

แม้ว่าข้อมูลจะเบี่ยงไปว่า นายทหารยศ “พลตรี” เป็นผู้ที่อยู่เบื้องหลัง พ.อ.อ.ภคิน แต่รัฐบาล คสช. โดยฝ่ายความมั่นคงเองก็ปฏิเสธความรับผิดชอบไปไม่ได้ โดยเฉพาะการปล่อยให้อาวุธสงครามหาง่ายราวกับปลาในตลาดสดเช่นนี้ ที่สำคัญบ้านเมืองยังตกอยู่ในภาวะหน้าสิ่วหน้าขวานจากเหตุการณ์วินาศกรรมสร้างสถานการณ์หลายครั้งที่ยังไม่ได้รับการคลี่คลาย โดยเฉพาะระเบิดห้องวงษ์สุวรรณ ที่โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า เมื่อไม่นานมานี้

อีกทั้งการที่ “ขบวนการค้าอาวุธสงครามข้ามชาติ” ใช้เส้นทางการขนส่งผ่าน จ.ตราด เพื่อไปยังจุดหม่ายปลายทาง และมีการยืนยันว่า มีการเข้า-ออก ไม่ต่ำกว่า 200 ครั้งนั้น ก็เท่ากับว่าทหารในพื้นที่ไร้ประสิทธิภาพในการป้องกันปราบปรามอาวุธสงคราม ซ้ำร้ายมีข้อมูลว่ารถที่บรรทุกอาวุธสงครามเต็มคัน สามารถผ่าน “ด่านทหาร” ได้อย่างสะดวกโยธิน ไม่มีการตรวจค้นแต่อย่างใดด้วย

โดยเฉพาะการที่จุดที่พบการลักลอบขนอาวุธสงครามอยู่ในพื้นที่ความรับผิดชอบของ กองพลทหารราบที่ 2 รักษาพระองค์ (พล.ร. 2 รอ.) หรือ “บูรพาพยัคฆ์” ที่มีฐานที่มั่นดูแลภาคตะวันออก จรด จ.ตราด ชายแดนประเทศกัมพูชา

ที่สำคัญคีย์แมนสำคัญของรัฐบาลก็ต่างมาจาก “บูรพาพยัคฆ์” ทั้ง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา, พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ และ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ทั้งหมดเติบโตมาจาก พล.ร. 2 รอ.

ยิ่งไปกว่านั้น ผู้รับผิดชอบงาน “ด้านความมั่นคง” ของรัฐบาล คสช. ก็ยังเป็น พล.อ.ประวิตร ที่ได้ชื่อว่าเป็น “บิ๊กบราเทอร์สบูรพาพยัคฆ์” ซะด้วย จึงไม่น่าเหลือบ่ากว่าแรงที่จะรู้ตื้นลึกหนาบางของขบวนการค้าอาวุธข้ามชาตินี้ ที่ใช้พื้นที่แห่งนี้หากินกันเป็นล่ำเป็นสัน ขนถ่ายอาวุธเป็นร้อยๆครั้ง ไม่ไว้หน้า “3 พี่น้องเสือตะวันออก” บ้างเลย

งานนี้ “ฝ่ายความมั่นคง” ของ “ท่านป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ คงดิ้นไม่หลุดต้องออกมาตอบคำถามสังคมให้ได้ว่า เหตุใดจึงมีอาวุธสงครามเกลื่อนเมือง เหตุใดจึงหลุดรอดการตรวจสอบของด่านทหาร เหตุใดจึงมีเจ้าหน้าที่ทหารเข้าไปเกี่ยวข้องการขนอาวุธข้ามชาติ

และเหตุใดถึงมีผู้หาญกล้ามาเปิด “เขตค้าอาวุธเสรี” ในถิ่นบูรพาพยัคฆ์เช่นนี้.


กำลังโหลดความคิดเห็น