xs
xsm
sm
md
lg

หมายจับ ร.ท.-4จ.ส.อ.ค้าอาวุธสงครามออนไลน์ พบปืนซุกรถ“จนท.เขมร”อีก

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online


ผู้จัดการรายวัน 360 - ศาลอนุมัติหมายจับ "ร.ท.-4จ.ส.อ." พร้อมพวก7คน คดีส่งระเบิดทางไปรษณีย์ พร้อมเตรียมส่งมอบตัวผู้ต้องหาให้กองปราบฯวันนี้ สารภาพปล้นคลังอาวุธทหาร8ครั้ง ส่งขายทั่วประเทศ ตร.เชื่อแค่กลุ่มคนสะสมไม่เกี่ยวเหตุร้าย “โฆษกรบ.” เผย “นายกฯ” ทำความเข้าใจ “เตีย บันห์” แล้ว เชื่อไม่กระทบความสัมพันธ์ปท. ติงสื่อมีจรรยาบรรณ ด้านตำรวจตราดเจอ“ปืน”เพิ่ม ซุกเรนจ์โรเวอร์แก๊งค้าอาวุธสงคราม

วานนี้ (8 มิ.ย.) รายงานข่าวจาก กองบังคับการตำรวจปราบปราม (บก.ป.) แจ้งว่า พนักงานสอบสวนกองปราบปราม ได้ยื่นคำร้องขออำนาจศาลทหารออกหมายจับผู้ต้องหาจำนวน 12 รายที่เชื่อมโยงกับคดีระเบิดที่ส่งทางไปรษณีย์ โดยในวันนี้ (9 มิ.ย.) พล.ต.อ.ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (รอง ผบ.ตร.) จะเดินทางมาที่ บก.ป. เพื่อรับมอบตัวผู้ต้องหาทั้งหมดจากเจ้าหน้าที่ทหารที่ได้ใช้อำนาจตามคำสั่งคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ที่ 3/2557 ควบคุมตัวไว้ได้ก่อนหน้านี้

สำหรับผู้ต้องหาทั้ง 12 ราย ที่ถูกคุมตัวและจะถูกนำตัวมาส่งให้พนักงานสอบสวนกองปราบปราม ประกอบไปด้วย ร.ท.สันติ นามวิเศษ, จ.ส.อ.ประดิพัทธ์ เสน่ห์ดี , จ.ส.อ.ฉัตรชัย เอี่ยมสมบูรณ์, จ.ส.อ.พลหงส์ศาสตร์ (ไม่ทราบนามสกุล), ส.อ.สุทธิโชค ไพเราะ, จ.ส.อ.ธนากรณ์ บุญกาญจน์, พลทหาร สกลนที พรหมทอง , นายเกษมสุข นามศรี, นายสิทธิชัย ทองเชื้อ, นายณัฐพล อยู่ยืด, นายณัฐพงศ์ ทองคำพันธุ์ และนายศักดิ์สิทธิ์ จันทาป

โดยเบื้องต้น ศาลทหารได้พิเคราะห์เห็นควรออกหมายจับผู้ต้องหาตามคำร้องของทางพนักงานสอบสวน โดย ศาลทหารได้ออกหมายจับ จ.ส.อ.ฉัตรชัย เอี่ยมสมบูรณ์ ในฐานความผิด ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา (ป.วิ อาญา) มาตรา 147 ผู้ใดเป็นเจ้าพนักงาน มีหน้าที่ ซื้อ ทำ จัดการหรือรักษาทรัพย์ใด เบียดบังทรัพย์นั้นเป็นของตน หรือเป็นของผู้อื่นโดยทุจริต หรือโดยทุจริตยอมให้ผู้อื่นเอาทรัพย์สินนั้นเสีย ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ห้าปีถึงยี่สิบปี หรือจำคุกตลอดชีวิต และปรับตั้งแต่สองพันบาทถึงสี่หมื่นบาท และความผิดตาม ป.วิ อาญา มาตรา 157 ฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติ หน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติ หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ โดยทุจริต และครองครองและจำหน่ายอาวุธสงคราม

ในส่วนของ จ.ส.อ.ประดิพัทธ์ เสน่ห์ดี, และจ.ส.อ.ธนากรณ์ บุญกาญจน์ ศาลทหารได้ออกหมายจับ ในฐานความผิดสนับสนุนตาม ม. 147 และ 157 รวมทั้งในฐานความผิดร่วมกันครองครองและจำหน่ายอาวุธสงคราม ในส่วนของผู้ต้องหาที่เหลือเบื้องต้นศาลได้ออกหมายจับในฐานความผิด ซื้อและครอบครองอาวุธสงคราม

ทั้งนี้มีรายงานจากเจ้าหน้าที่ทหารที่ควบคุมกลุ่มผู้ต้องหาระบุว่า ผู้ต้องหารับสารภาพว่า อาวุธสงครามทั้งหมดถูกขโมยมาจากคลังอาวุธของกองพันทหารช่างที่ 1 รักษาพระองค์ (ช.พัน.1 รอ.) แล้วนำส่งขายไปทั่วประเทศ

** สารภาพปล้นคลังแสง8ครั้ง

ด้าน พ.ต.อ.สันติ ชัยนิรามัย รอง ผบก.ป. เปิดเผยว่า คดีนี้สอบสวนและมีความคืบหน้าไปแล้วกว่า 80 เปอร์เซนต์ ระหว่างนี้ก็ได้ดำเนินคดีกับกลุ่มผู้ต้องหาไปแล้วในบางส่วน ซึ่งกลุ่มผู้ต้องหาจะมีทั้งที่เป็นผู้ขาย และเป็นผู้ซื้อ แต่ละรายก็จะพบว่า ครอบครองอาวุธสงครามต่างชนิดกันไป มีทั้งกระสุนปืนสงคราม และระเบิด จากการสอบสวนยังพบอีกด้วยว่า กลุ่มผู้ต้องหาได้ลักลอบขโมยอาวุธสงครามออกมาจากคลังอาวุธ โดยเริ่มมาตั้งแต่เมื่อช่วงต้นปี และก่อเหตุมาแล้วทั้งหมด 8 ครั้ง สำหรับจุดประสงค์ในการครอบครองอาวุธฯของกลุ่มผู้ต้องหา ทราบว่า ส่วนใหญ่มีเอาไว้เพื่อโชว์กันเองในกลุ่ม ที่มีรสนิยมคล้ายๆกัน โดยการซื้อขายและการสื่อสารกันในกลุ่ม ก็จะใช้การติดต่อกันผ่านทางเฟซบุ๊ก และทางแอพฯไลน์ ซึ่งการครอบครอบก็ไม่ได้มีเอาไว้เพื่อทำร้ายร้างฝ่ายใดทั้งสิ้น

** ตั้งกก.สอบเอาผิด “ผบ.หน่วย” ด้วย

ในส่วนของกองทัพภาคที่ 1 จะมีการตั้งคณะกรรมการสอบสวนความผิดทางวินัย เพื่อดำเนินการลงโทษตามระเบียบ พร้อมทั้งพิจารณาการปฏิบัติหน้าที่ของผู้บังคับหน่วย (ผบ.หน่วย) ว่ามีความบกพร่องหรือไม่ ที่ปล่อยให้มีการนำอาวุธภายในคลังอาวุธออกมาจำหน่ายเป็นขบวนการ

** ยันเคลียร์ใจ “เตีย บันห์” เรียบร้อย

จากกรณีเจ้าหน้าที่ตำรวจและทหารจับกุม พ.อ.อ.ภคิน เดชพงษ์ เจ้าหน้าที่ปฏิบัติการด้านการข่าว กองอำนวยการรักษาความั่นคงภายในราชอาณาจักร (กอ.รมน.), ร.ต.ท.พิสิษฐ์ เลียง อายุ 29 ปี เจ้าหน้าที่กัมพูชา ผู้ขับรถยนต์เรนจ์โรเวอร์ สีขาว หมายเลขทะเบียน 2AD -5629 พนมเปญ ประเทศกัมพูชา และนายจักรพงษ์ ไกรเรือง พร้อมอาวุธสงครามจำนวนมาก เมื่อวันที่ 3 มิ.ย.ที่ผ่านมานั้น

พล.ท.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีที่สำนักวิเทศสัมพันธ์ กระทรวงกลาโหมกัมพูชา ออกหนังสือถึงสำนักงานผู้ช่วยทูตทหารไทย ประจำกรุงพนมเปญ เรียกร้องให้สื่อมวลชนไทยบางสำนักแสดงความรับผิดชอบและขอโทษอย่างเป็นทางการ ภายหลังนำเสนอข่าวพาดพิง พล.อ.เตีย บันห์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมของกัมพูชา มีความเกี่ยวข้องกับขบวนการขนอาวุธผิดกฎหมายจากกัมพูชาไปยังเมียนมาว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้ย้ำว่าเป็นการทำความเข้าใจระหว่าง 2 ประเทศ โดยเชื่อว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจะไม่ส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ เพราะทั้งไทยและกัมพูชาเป็นมิตรประเทศที่ดีต่อกันมาโดยตลอด ส่วนเรื่องการแสดงความรับผิดชอบของสื่อนั้น เป็นสิ่งที่สื่อเองจะต้องไปพิจารณาว่าควรทำอย่างไร เพราะเชื่อว่าสื่อมวลชนทุกคนมีจรรยาบรรณหรือบรรทัดฐานในการปฏิบัติ เมื่อเกิดเหตุการณ์ในลักษณะนี้

** เร่งแกะรอยเส้นทางรถแก๊งค้าอาวุธ

สำหรับความคืบหน้าทางคดี พ.ต.อ.ดเรศ กัลยา รองผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดตราด (รอง ผบก.ภ.จว.ตราด) ในฐานะหัวหน้าพนักงานสอบสวน กล่าวว่า จากการสอบสวนผู้ต้องหาทั้ง 3 คน แต่ยังไม่ได้รับความร่วมมือจากผู้ต้องหาชาวกัมพูชา ที่ยังปฏิเสธว่าไม่เกี่ยวข้องกับ พ.อ.อ.ภคิน แต่ในการสอบสวนเชิงลึกทาง บก.ภ.จว.ตราด ได้ทำหนังสือส่งไปยังส่วนราชการของกัมพูชา เพื่อขอประวัติของ ร.ต.ท.พิสิษฐ์ ว่าดำรงตำแหน่ง และสังกัดใด รวมถึงเป็นเจ้าของรถยนต์คันดังกล่าวหรือไม่ โดยเฉพาะรถเรนจ์โรเวอร์ ที่เดินทางผ่านเข้ามามีใครเป็นเจ้าของตัวจริง โดยวันนี้ได้มอบหมายให้ชุดสืบสวนลงพื้นที่แกะรอยเส้นทางทั้งหมดของรถยนต์ทั้ง 2 คัน พร้อมสอบปากคำพยานบุคคลที่ผู้ต้องหาอ้างถึงว่ามีการเชื่อมโยงกันหรือไม่

พ.ต.อ.ดเรศ เปิดเผยด้วยว่า จากการตรวจค้นรถเรนจ์โรเวอร์มีการพบอาวุธปืนเพิ่มเติม คือ ปืนพกขนาด 9 มม. ยี่ห้อกล็อก 3 กระบอก และปืนกลมืออีก 1 กระบอก ซุกซ่อนอยู่ที่บริเวณด้านข้างช่องว่างบริเวณแบตเตอรี่รถยนต์ ที่ถูกเก็บไว้ในกล่องที่ทำขึ้น เพื่อเก็บอาวุธปืน ซึ่งปืนกล็อก 3 กระบอก มีทะเบียนถูกต้อง ส่วนปืนกลมือยังไม่ทราบว่าเป็นของใคร จึงได้เก็บปืนทั้งหมดไว้เป็นหลักฐาน เพื่อทำการตรวจสอบอย่างละเอียดต่อไป

** แจงกรณีพิเศษงดตรวจรถวีไอพี

ขณะที่ เจ้าหน้าที่ระดับสูงด่านศุลกากรคลองใหญ่ จ.ตราด ซึ่งเป็นด่านที่รถต้องสงสัยผ่านเข้าออก ให้ข้อมูลว่า ตามปกติการเข้าออกตามจุดผ่านแดนถาวร จะแบ่งความรับผิดชอบระหว่างเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมือง (ตม.) ที่จะดูแลเรื่องคนเข้าออก ส่วนศุลกากรจะดูแลเรื่องรถยนต์และสิ่งของเข้าออก ซึ่งจะต้องมีเอกสารในการขออนุญาต ในส่วนของศุลกากรนั้นรถยนต์คันใดที่เดินทางเข้าออกจะต้องแสดงเอกสารและหลักฐานการเป็นเจ้าของ จึงจะสามารถเข้าออกได้ และต้องปฏิบัติตามระเบียบให้ถูกต้อง อย่างไรก็ตามหากเป็นกรณีของบุคคลวีไอพีจากประเทศเพื่อนบ้าน ก็จะต้องทำเอกสารเช่นกัน แต่อาจจะมีอภิสิทธิ์ในเรื่องของการไม่ตรวจค้นภายในรถ เพื่อให้เกียรติซึ่งกันและกัน ซึ่งรถยนต์คันที่ก่อเหตุก็ได้เดินทางเข้ามาใน จ.ตราด และได้ทำเอกสารเข้าออกเช่นกัน โดยพบว่ามีชื่อภรรยาของ ร.ต.ท.พิสิษฐ์ เป็นเจ้าของ เราไม่ทราบว่ารถยนต์คันนี้จะมีการขนอาวุธสงครามมาด้วยหรือไม่ และไม่มีหลักฐานใดๆยืนยัน โดยปัจจุบันทางศุลกากรได้เพิ่มความเข้มงวดให้มากขึ้นกว่าเดิม ตามนโยบายของฝ่ายความมั่นคง.
กำลังโหลดความคิดเห็น