ไม่มี Ivanka และสามี Jared Kushner นั่งอยู่ในแถวหน้าที่สวนกุหลาบของทำเนียบขาว ในการแถลงของประธานาธิบดีทรัมป์ เรื่องสหรัฐฯ จะถอนตัวออกจากข้อตกลง COP21 ลูกสาวและลูกเขยของทรัมป์ได้เดินทางไปพักผ่อนตากอากาศหลังจากทั้งคู่พ่ายแพ้ในศึกเรื่องโลกร้อนครั้งนี้
ทั้งคู่สามีภรรยาได้เพียรพยายามหาทางหว่านล้อมให้คุณพ่อทรัมป์ยังคงรักษาพันธสัญญาที่อดีตประธานาธิบดีโอบามาได้ลงนามไว้เมื่อปี 2015 (พ.ศ. 2558) เพราะทั้งคู่เห็นด้วยถึงอันตรายที่โลกเราใบเดียวกันนี้กำลังเผชิญกับภาวะโลกร้อน เนื่องจากมีเรือนกระจกมาครอบโลกของเราไม่ให้ความร้อน (ที่มนุษย์ร่วมกันสร้างขึ้นจากไอเสียรถยนต์หลายๆ ร้อยล้านคันทั่วโลก, รวมทั้งเครื่องบินแต่ละลำที่พ่นควันเสียออกมา, ปล่องโรงงานอุตสาหกรรม, พลังงานจากถ่านหินที่เราใช้เป็นเชื้อเพลิงในการผลิตไฟฟ้า, รวมทั้งการเผาเศษขยะใบไม้ต่างๆ ทั่วโลก) ระบายออกไป
นาย Jared Kushner นั้น เดิมเป็น Democrat ทั้งครอบครัว คือพ่อของเขาก็เป็นถุงเงินให้พรรค Democrat จนมีคดีการให้เงินสนับสนุนที่ไม่โปร่งใส แล้วตอนนี้ยังอยู่ในคุก ทิ้งธุรกิจอสังหาให้ลูกชาย Jared ดูแล
ดังนั้น Jared จึงคล้อยไปทางเชื่อว่าสหรัฐฯ ต้องลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ต้องลดการนำเอาถ่านหินออกมาเป็นเชื้อเพลิง (ดังเช่นที่ประเทศเยอรมนี, จีน, อินเดียกำลังทำอยู่) และนำเอาคนงานเหมืองถ่านหินไปใช้ในอุตสาหกรรมพลังงานใหม่ ที่ต้องผลิตและติดตั้งกังหันลม (Turbine) ใน Wind Farm หรือการผลิตและติดตั้งแผง Solar Panel เพื่อรับแสงอาทิตย์
ขณะนี้สหรัฐฯ เป็นผู้ผลิตก๊าซเรือนกระจกอันดับสองของโลก คือประมาณ 15% รองมาจากจีนที่ผลิตสูงสุดที่ 25% (แต่มีประชากรสูงถึง 1,300 กว่าล้านคน ขณะที่สหรัฐฯ มีประชากรแค่ 300 ล้านคน อัตราส่วนต่อหัวต่อคนของสหรัฐฯ ที่ผลิตก๊าซเรือนกระจกจึงสูงกว่าของจีนหลายเท่าตัว)
สองประเทศคือ จีน และสหรัฐฯ ผลิตก๊าซเรือนกระจกรวมกันสูงถึง 40% ของทั้งโลก อีกเกือบ 200 ประเทศที่เหลือผลิตรวมกัน 60%
ประธานาธิบดีทรัมป์ถูกล็อบบี้หนักจาก Ivanka และ Jared ให้รักษาข้อผูกพัน Paris Climate Accord หรือ COP21 เอาไว้ แม้ว่า Candidate Trump จะได้หาเสียงอย่างแข็งกร้าวตลอด 1 ปีครึ่ง ว่าปัญหาโลกร้อนนั้นเป็น hoax คือ เหลวไหล โกหกไม่จริง และเขาจะฉีกหรือถอนตัวจากพันธกรณีนี้ในการเป็นประธานาธิบดีทันที
Ivanka สอนลูกๆ ของเธอเรื่องการต้องพยายามพิทักษ์โลกใบเดียวของเรานี้ไม่ให้ร้อนขึ้นๆ ไม่ว่าในเรื่องการใช้ถุงพลาสติกจับจ่ายของ ฯลฯ
เธอได้พยายามผลักดันคุณพ่อไม่ให้สหรัฐฯ ถอนตัวจากข้อตกลง COP21 เพราะโลกของลูกๆ เธอจะเลวร้ายกว่าตอนนี้มาก ถ้าสหรัฐฯ ถอนตัว
เธอได้เชิญบรรดา CEO ของบริษัทชั้นนำในสหรัฐฯ มาช่วยชี้แจงกับคุณพ่อ ทั้งGE, บรรดาบริษัท IT เช่น ไมโครซอฟท์ กูเกิ้ล เฟซบุ๊ก ในช่วงเปลี่ยนถ่ายอำนาจ (8 พฤศจิกายน 59 – 20 มกราคม 60)
ประธานาธิบดีทรัมป์เอง ก็เคยกลับคำพูดจากนโยบายช่วงหาเสียง เช่น กรณีสหรัฐฯ จะถอนจาก NATO เพราะเป็นองค์กรล้าสมัย แต่เอาเข้าจริงๆ เมื่อนายกรัฐมนตรี Theresa May แห่ง UK บินมาเยือนและออดอ้อนต่อหน้าสื่อในการแถลงข่าวร่วม Trump ก็ยอมเปลี่ยนจุดยืน โดยยอมรับว่าจะยังคงอยู่กับ NATO เป็นต้น
ทรัมป์ได้ประกาศว่าเขาจะไปฟังเหตุผลของบรรดามหามิตร G7 เรื่องการจะยังอยู่หรือถอนตัวจาก Paris Accord
ปรากฏว่า การประชุม G7 ที่ Sicily ทรัมป์ไม่ยอมสนับสนุนความร่วมมือรักษาสัญญา Paris Accord กลายเป็นคะแนน 6 ต่อ 1 คือสหรัฐฯ อยู่โด่เด่ตรงข้ามกับ G6 ซึ่งมีประเทศญี่ปุ่นที่หวั่นวิตกอย่างที่สุดต่อปัญหาโลกร้อน เพราะญี่ปุ่นเป็นเกาะที่น่าจะจมน้ำอย่างไม่นานเกินรอ จากระดับน้ำในมหาสมุทรที่จะเพิ่มขึ้นมากมายจากการละลายของภูเขาน้ำแข็งที่ขั้วโลก
ทรัมป์แถลงถึงเหตุผลที่จำเป็นต้องถอนตัวจากข้อตกลงโลกร้อนที่ปารีส บอกว่าเป็นข้อตกลงที่เลวร้ายที่สุดของสหรัฐฯ ทำให้ทั่วโลกมองเห็นความงั่ง งี่เง่าของสหรัฐฯ ที่คนทั้งโลกจะหัวเราะเยาะ เพราะข้อตกลงที่สหรัฐฯ ต้องมัดมือมัดเท้าตัวเองเพื่อลดก๊าซคาร์บอนถึง 26-28% ภายในปี 2020 ก็คือการเพิ่มต้นทุนให้แก่ธุรกิจอเมริกัน เป็นการฉุดขีดแข่งขันของสหรัฐฯ ที่จะเปิดทางให้ประเทศคู่แข่งใหญ่ๆ ได้ตีปีก (หมายถึงยุโรป, จีน, อินเดีย เป็นต้น)
จริงๆ คือที่ปรึกษาด้านยุทธศาสตร์ นาย Steve Bannon เป็นคนกระซิบข้างหูทรัมป์ว่า สหรัฐฯ มีพลังงานประเภทคาร์บอนมากมายมหาศาล คือทั้งน้ำมัน, ถ่านหิน ซึ่งตอนนี้กรรมวิธีการผลิตน้ำมันดิบก็เพิ่งได้เทคโนโลยีใหม่ๆ เรียกว่า Fracking ที่จะผลิตได้มหาศาลต่างจากวิธีดั้งเดิม
พลังงานประเภทคาร์บอนนี้ ในอนาคตอันไม่ไกลนัก จะมีค่าเหลือศูนย์ เพราะโลกกำลังมีการค้นคิดพัฒนาอย่างก้าวกระโดดที่จะพึ่งพาพลังงานที่สะอาด, ปลอดภัย, ยั่งยืน และราคาจะถูกลงๆ, ไม่ว่าจะเป็นจากกังหันลม, แสงอาทิตย์ และคลื่นไฮโดรเจนจะเข้ามาแทนที่ถ่านหิน (แสนสกปรกทำลายชีวิต แม้ญี่ปุ่นจะหาวิธีปล่อยสารพิษให้ลดลงจนมีคำชวนเชิญเสียเก๋ว่า “Clean Coal” เพื่อหลอกคนทั้งโลกก็ตาม เพราะญี่ปุ่นผลิตพลังงานถ่านหินมากด้วย
ยุโรปเองไม่มีน้ำมัน (นอกจากนอร์เวย์, สกอตแลนด์) โดยเฉพาะเยอรมนีได้พลิกหันมาพัฒนาพลังงานจากกังหันลมอย่างหน้ามือเป็นหลังมือ และกำลังหันหลังให้กับพลังงานปรมาณูด้วย)
เมื่อทรัมป์ประกาศ (ตามคำแนะนำจาก Steve Bannon) ว่าสหรัฐฯ จะสนับสนุนพลังงานจากคาร์บอนพวกน้ำมันและถ่านหิน โดยจะสร้างงานให้คนงานเหมืองถ่านหิน (ที่กำลังตกงานอย่างหนักใน Rust-belt states คือ Ohio, Wisconsin, Virginia) เขาก็เอาหน้ากับฐานเสียงว่าเขาต้องนำพาต่อชาว Pittsburg มากกว่าชาว Paris (เล่นคำด้วยตัวอักษร “P”) เพื่อเน้นว่า ข้อตกลง Paris จะถล่มซ้ำเติมชาว Pittsburgh (ดินแดนแห่งเหมืองถ่านหิน + เหล็กที่เป็นโรงงานเก่าๆ มีก๊าซเรือนกระจกออกมามากมาย) ทั้งๆ ที่ผู้ลงคะแนนเมื่อวันที่ 8 พฤศจิกายน ที่ Pittsburgh (บ้านเกิดของพ่อฮิลลารี) เสียงข้างมากให้กับฮิลลารี แต่ทรัมป์ก็พูดแบบไม่ตรงกับข้อเท็จจริง เพราะเมือง Pittsburg ไม่ต้องการให้สหรัฐฯ ถอนออกจาก Paris Accord (ข้อเสนอของฮิลลารีสนับสนุนให้สหรัฐฯ เดินหน้าตามพันธะ Paris)
ร้อนถึงเหล่า CEO บริษัทยักษ์ของสหรัฐฯ ดาหน้ากันออกแถลงการณ์ประณามการตัดสินใจของทรัมป์ที่ถอนตัวนี้ เริ่มจาก CEO ของ Disney นาย Robert Iger และบริษัท Tesla ชื่อดัง นาย Elon Musk (เจ้าพ่อเทคโนโลยีรถยนต์ไม่มีคนขับ) ประกาศถอนตัวจาก National Economic Council (สภาเศรษฐกิจแห่งชาติ) ที่ทรัมป์ตั้งบรรดา CEO ให้มาเป็นที่ปรึกษาเศรษฐกิจ
นาย Elon Musk คนดังประกาศว่า “ในเมื่อทรัมป์ถอนตัวจากข้อตกลง Parisได้...ผมก็ขอถอนตัวออกจากคุณได้เช่นกัน!!”
รวมทั้งแถลงการณ์ร่วมประณามและประกาศจุดยืนไม่เห็นด้วยกับทรัมป์ เช่นMark Zuckerberg, นาย Jeffrey Immelts แห่ง GE, รวมทั้งนาย Jamie Diamon - CEOของ JP Morgan Chase ธนาคารยักษ์ที่เคยประกาศมาช่วยเป็นที่ปรึกษาในสภาเศรษฐกิจของทรัมป์ เพราะ Diamon บอกว่าก็ในเมื่อทรัมป์เป็นกัปตันเครื่องบิน เราก็ต้องช่วยเขาในฐานะลูกเรือ
นักธุรกิจยักษ์เหล่านี้ต่างเห็นว่าเป็นการตัดสินใจที่เห็นแก่ประโยชน์ทางการเมือง เพื่อรักษาฐานเสียงของทรัมป์เท่านั้น เพราะงานใหม่ๆ จากพลังงานชนิดใหม่กำลังมีการจ้างงานที่สูงกว่าอุตสาหกรรมพลังงานชนิดเก่า
ขนาดผู้นำ Justin Trudeau นายกรัฐมนตรีแคนาดา ก็ยังแถลงผิดหวังอย่างเต็มที่ต่อการประกาศของทรัมป์ ทั้งๆ ที่แคนาดากำลังตวงเงินเป็นล่ำเป็นสันจากการผลิตและขายน้ำมันดิบด้วยวิธี Fracking และรวมถึงบริษัทน้ำมันยักษ์ Exxon Mobil ของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ Rex Tillerson ก็ออกแถลงไม่อยากให้ทรัมป์ถอนตัว
สำหรับประเทศไทย โดยเฉพาะกรุงเทพฯ ก็คงต้องระทมทุกข์จากการทรุดตัวปีละ 4 เซนติเมตร และน้ำท่วมอย่างรวดเร็วแม้ฝนตกลงมาแพลบเดียว กทม.เสียพื้นที่ที่บางขุนเทียนให้น้ำทะเลคืบคลานเข้ามาอย่างน่าตกใจ รวมทั้งสมุทรปราการก็เสียพื้นที่ไปหลายสิบกิโลเมตรให้กับน้ำทะเลที่ท่วมมากขึ้นตลอดทุกวินาทีขณะนี้
คุณทรัมป์กำลังทำลายทั้งกรุงเทพฯ, เกาะภูเก็ตอย่างไม่ต้องสงสัย
เพียงเพื่อเอาชนะทางการเมือง และเพื่อรีบขุดเอาน้ำมันและถ่านหินออกมาใช้ ก่อนที่จะไม่เหลือค่าใดๆ นั่นเอง.