xs
xsm
sm
md
lg

ผู้จัดการสุดสัปดาห์

x

ปี 59 จับ “ธัมมี่” ยังไม่ได้ ปี 60 ก็อาจจะยังไม่ได้ “ดีเอสไอ-พศ.-มส.และ ตร.” ถามใจตัวเอง

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ผู้จัดการสุดสัปดาห์ - ก็เป็นอันว่า พระเดชพระคุณเจ้าคุณพระเทพญาณมหามุนี หรือ พระธัมมชโย เจ้าอาวาสกิตติมศักดิ์ วัดพระธรรมกาย ก็ยังคงลอยนวลอยู่เหนือกฎหมายได้อย่างสบายอกสบายใจในปี 2559 และก็ไม่แน่นักว่า ในปี 2560 รัฐไทยจะสามารถจับกุมผู้อยู่เหนือกฎหมายผู้นี้มาลงโทษตามกระบวนการยุติธรรมของประเทศได้หรือไม่

ทุกอย่างยังคงผ่านไปแบบอึนๆ มึนๆ และโทษกันไปมาระหว่างหน่วยงานต่างๆ โดยเฉพาะกรมสอบสวนคดีพิเศษหรือดีเอสไอ และสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ(พศ.) ไม่นับรวมหน่วยงานรัฐที่เกี่ยวข้องอย่างสำนักงานตำรวจแห่งชาติและมหาเถรสมาคม(มส.) ซึ่งเป็นองค์กรปกครองสูงสุดของคณะสงฆ์ไทย

แน่นอน สังคมเข้าใจว่าการจับ “ผีบุญ” อย่างพระธัมมชโยนั้น ไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะมีเรื่องของศรัทธาและศิษยานุศิษย์ที่พร้อมจะแลกกายถวายชีวิตให้กับเจ้าลัทธิของตนเอง แต่ถ้าหากพินิจพิเคราะห์ให้ดีก็ยังไม่เห็นว่าจะมีมาตรการใดๆ จัดการกับพระธัมมชโยได้

เท่าที่เห็นก็มีแต่มาตรการทางกฎหมายที่ต้องการ “นวด” คนรอบข้างให้นิ่ม ไม่ว่าจะเป็น “โฆษกนะจ๊ะ นายองอาจ ธรรมนิทา” พระทัตตชีโว หรือการแจ้งข้อกล่าวหาให้ที่พักพิงกับพระเทพญาณมหามุนีและอื่นๆ รวม 13 คดีกับ พระวิเทศภาวนาจารย์ รักษาการเจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย

รวมถึงปฏิบัติการนวดที่แสดงให้เห็นถึง “อิทธิพล” อันไร้ขอบเขตของพระธัมมชโยและวัดพระธรรมกายที่ขยายอาณาจักรขายตรงธรรมของตนเองโดยไม่ “แคร์” กฎหมายบ้านเมือง อย่างกรณีที่ พล.ต.อ.ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ(รองผบ.ตร.) ด้านความมั่นคง และพล.ต.อ.เดชา ชวยบุญชุม รรท.ที่ปรึกษา(สบ10)คณะตำรวจกองบังคับการปราบปรามการกระทำผิดเกี่ยวกับทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ทหารเรือ กรมป่าไม้ บุกเกาะยาวน้อย อ.เกาะยาว จ.พังงา เพื่อตรวจสอบกรณีมูลนิธิธรรมกายบุกรุกที่ดิน ป่าสงวนแห่งชาติควนจุกเกาะยาวน้อย ซึ่งวัดพระธรรมกายมีการสร้างศูนย์ปฏิบัติธรรมเวิลด์พีซมุกตะวัน 3 แห่ง และกระทำผิดต่อกฎหมาย

กล่าวคือ ศูนย์ปฏิบัติธรรมเวิลด์พีซมุกตะวัน1 มีพื้นที่ทั้งหมด 137 ไร่ ไม่มีเอกสารสิทธิ จำนวน 40 ไร่ เป็นพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติ จำนวน 21 ไร่ เป็นพื้นที่ป่าไม้ 19 ไร่ คิดเป็นมูลค่าเสียหาย 2.7 ล้านบาท

ขณะที่ในการออกเอกสารสิทธิในพื้นที่ มุกตะวัน 1 นส3ก. เลขที่ 963 เกาะยาวน้อย เดิมที่ดินมีเพียง2ไร่ 80 ตารางวา มีการโอนสิทธิหลายครั้งจนกระทั่งเมื่อวันที่26 พ.ย. 2539 มีการโอนจากผู้ได้สิทธิเดิมให้มูลนิธิธรรมกาย แต่พบว่าพื้นที่นี้มีการขยายจาก2ไร่ เป็น15 ไร่ 2 งาน 72 ตารางวา และเมื่อดูรูปแปลงที่ดินแตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัด ทั้งนี้ในพื้นที่มุกตะวัน1มีที่ดิน นส3ก.บวม รวม4แปลงมุกตะวัน2ที่ดินบวม1แปลง มุกตะวันที่ดินบวม3แปลง

ส่วนมุกตะวัน 2 มีการถือครองพื้นที่ทำประโยชน์ 162 ไร่ ระบุชื่อนายเพชร์ แก่นทรัพย์ เป็นผู้ครอบครอง แต่ตรวจสอบพบว่าเป็นพื้นที่ไม่มีเอกสารสิทธ์ และอยู่ในพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติ รวม 82 ไร่ มูลค่าเสียหาย 5.6ล้านบาท ขณะที่มุกตะวัน 3 มีการยึดครองพื้นที่ทำประโยชน์ 100 ไร่ แต่เมื่อตรวจไม่มีเอกสารสิทธิและตรวจสอบพบว่าอยู่ในพื้นที่ป่าสงวนฯ 44 ไร่ มูลค่า เสียหาย3ล้านบาท

ทั้งนี้ อบต.เกาะยาวน้อย ระบุด้วยว่า สถานปฏิบัติธรรมมุกตะวันทั้ง 3 แห่งมีการสร้างอาคารโดยไม่ได้ขออนุญาต 82 หลัง

และศูนย์ปฏิบัติธรรมฯ ทั้ง 3 แห่ง มีมูลนิธิธรรมกาย เป็นผู้ถือครองโดยมี พระธัมมชโย เป็นประธาน

ขณะที่ปฏิบัติการแบบ “คาดไม่ถึง” เมื่อวันที่ 27 ธันวาคม 2559 นั้น ก็เป็นเพียง ยุทธวิธีลับลวงพราง ในการบีบคั้นวัดพระธรรมกายและพระธัมมชโยเท่านั้น เพราะทีแรกสังคมก็เข้าใจว่าการระดมเจ้าหน้าที่ตำรวจเข้าปิดล้อมวัดพระธรรมกายก็เพื่อหวังจับพระธัมมชโย แต่แล้วกลับกลายเป็นปฏิบัติการบุกเพื่อ “รื้อถอนสิ่งปลูกสร้างผิดกฎหมาย” ภายในวัด ประหนึ่งว่า เพื่อเป็นการตรวจสอบปฏิกิริยาจากทางวัดในการรับมือการบุกของเจ้าหน้าที่เท่านั้น

เป็นการหยั่งเชิงยกแรกที่ “หวังผล” ในยกที่สอง ซึ่งเหล่าศิษยานุศิษย์วัดพระธรรมกายก็ดูเหมือนจะเป็นพวก “นกรู้” อยู่ไม่ใช่น้อย เพราะจากที่แข็งขืนก็ยินยอมให้เจ้าหน้าที่เข้ามารื้อถอนสิ่งปลูกสร้างผิดกฎหมายภายในวัดได้

พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) กล่าวถึงกรณีเจ้าหน้าที่ตำรวจเข้าปฏิบัติการรื้อสิ่งปลูกสร้างที่กีดขวางทางสาธารณะโดยรอบวัดพระธรรมกายว่าผลการปฏิบัติเป็นที่น่าพอใจ เนื่องจากวัตถุประสงค์ที่แท้จริงคือต้องการรื้อถอนสิ่งของที่กีดขวางทางสาธารณะเท่านั้น ไม่ใช่การเข้าจับกุมพระธัมมชโย และจะพิจารณารื้อถอนสิ่งปลูกสร้างในจุดอื่นเพิ่มเติม หากมีการฝ่าฝืนนำสิ่งปลูกสร้างมากีดขวางทางสาธารณะอีกก็จะดำเนินคดี รวมถึงเตรียมดำเนินคดีต่อบรรดาศิษยานุศิษย์ที่ขัดขวางการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ ยืนยันว่าการปฏิบัติการของตำรวจครั้งนี้เป็นการทำเพื่อประชาชน ในการรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างที่กีดขวางทางสาธารณะเป็นการดำเนินการตามกฎหมาย หลังจากธนารักษ์จังหวัดปทุมธานีเข้าแจ้งความร้องทุกข์ไว้ที่ สภ.คลองหลวง ซึ่งในการปฏิบัติก็ได้มีการสร้างการรับรู้ ทำตามขั้นตอนอย่างถูกต้อง

ทั้งนี้ ตำรวจอยู่ระหว่างทบทวนช่วงเวลาที่เหมาะสมในการขอหมายค้นวัดพระธรรมกายและเข้าจับกุมพระธัมมชโย ซึ่งการดำเนินการส่วนนี้จะต้องประสานงานกับกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ไม่มีการตั้งกรอบระยะเวลาในการเข้าจับกุมตัวพระธัมมชโย เนื่องจาก พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง มีความห่วงใยในเหตุการณ์ ไม่ต้องการให้กระทบต่อพี่น้องประชาชน

“หากพระธัมมชโยเป็นแบบรักษาการเจ้าอาวาสวัดพระธรรมกายก็ดี เมื่อมีการตั้งข้อกล่าวหาก็แค่มารับทราบข้อกล่าวก็จบ ไม่เห็นมีปัญหาอะไร ส่วนหลังปีใหม่จะมีความชัดเจนในการดำเนินการต่อพระธัมมชโยหรือไม่นั้น ยืนยันว่าตำรวจมีความชัดเจนในการดำเนินการอยู่แล้ว ขณะที่พระธัมมชโยก็หลบชัดเจนเหมือนกัน อยากให้ดูพฤติกรรมแล้วกันว่าผู้ต้องหาอยู่ที่ไหน แล้วมีพี่น้องประชาชนที่ถูกนำมาใช้เป็นเครื่องมือ ขอฝากถึงพี่น้องประชาชนที่มานั่งสวดมนต์ว่า ผมกับดีเอสไอไม่ใช่คู่ต่อสู้กับท่าน อยากให้แยกแยะให้ออก เรามีหน้าที่ดำเนินการตามกฎหมายเอาตัวผู้กระทำผิดมาดำเนินคดีเท่านั้น” ผบ.ตร.ระบุ

ส่วนกรณีมีกระแสข่าวพระธัมมชโยหลบหนีไปอยู่ชายแดนภาคเหนือ ตามที่ “นายชาญชัย อิสระเสนารักษ์” อดีต ส.ส.นครนายก พรรคประชาธิปัตย์ได้ออกมาเปิดเผย รวมถึงลูกศิษย์วัดให้สัมภาษณ์ว่าไม่พบพระธัมมชโยตั้งแต่เดือน เม.ย. พล.ต.อ.จักรทิพย์กล่าวว่า ยังไม่ได้รับการยืนยันตรงนี้อาจเป็นการมุสา และไม่ขอเปิดเผยรายละเอียดส่วนนี้

สอดคล้องกับสิ่งที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) กล่าวให้สัมภาษณ์เอาไว้ว่า เรื่องนี้ไม่ได้ประโยชน์อะไรกับประเทศชาติ โดยตอนนี้วัดพระธรรมกายมีคดีอยู่ประมาณ 200 กว่าคดี ถ้าสถานการณ์พร้อมเพื่อไหร่หรือเป็นไปตามที่มีการออกหมายจับเมื่อใด เจ้าหน้าที่ก็เข้าไปดำเนินการเมื่อนั้น

“เจ้าหน้าที่จะเสีย ถ้ามีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้น ทุกคนก็ต้องคาดการณ์ออกอยู่แล้วว่าเขาต้องการอะไร เราจะต้องไปเดินตามทางที่เขาขุดล่อไว้อย่างนั้นหรือ มันเป็นเรื่องที่รัฐบาลจะต้องควบคุมสถานการณ์นี้ให้ได้ กฎหมายเขียนอยู่แล้วว่า ถ้าเหตุการณ์มันจะไปสู่ความวุ่นวายหรืออันตรายก็ให้เจ้าหน้าที่ไปดำเนินการในเวลาที่เหมาะสม เขาไม่ได้สั่งว่าต้องเป็นเมื่อไหร่ ทุกคนรู้อยู่แล้ว” พล.อ.ประยุทธ์กล่าว

สรุปก็คือ “ไม่รีบ” ยังคงรอเวลา สถานการณ์และจังหวะที่เหมาะสม ส่วนตัวจำเลยคือพระธัมมชโยจะยังคงอยู่ในวัดหรือไม่ ไม่ทราบได้ แต่โอกาสที่จะไม่อยู่มีมากกว่าอยู่หลายร้อยหลายพันเปอร์เซ็นต์เลยทีเดียว

แต่ที่ดูเหมือนจะได้ผลแต่ไม่ได้ผลเท่าใดนักก็คือ คำสั่งเพิกถอนใบอนุญาตประกอบการโทรทัศน์ผ่านดาวเทียม DMCTV ของ กสทช.เพราะแม้จะถูกปิด และทำให้ไม่สามารถผลิตรายการเพื่อสั่งสอนหรือที่หลายคนใช้คำว่า “ล้างสมอง” ศิษยานุศิษย์ได้ แต่ในเรื่องของความเคลื่อนไหวเพื่อต่อต้านรัฐในการปกป้องพระเดชพระคุณหลวงพ่อ พวกเขาก็สามารถระดมกำลังผ่านช่องทางโซเชียลมีเดียอื่นๆ ได้เหมือนเดิม

มิหนำซ้ำพวกเขาสร้าง “สตอรี่” ขึ้นมาเพื่อโจมตีปฏิบัติการต่างๆ ของภาครัฐเพื่อโน้มน้าวศรัทธาของเหล่าศิษยานุศิษย์อย่างต่อเนื่องและได้ผลอย่างไม่น่าเชื่อ

ยกตัวอย่างเช่น เมื่อครั้งที่ศาลอนุมัติหมายค้น และเจ้าหน้าที่เตรียมเข้าไปจับ พวกเขาก็สร้างเรื่องว่า ภาครัฐสร้างสถานการณ์ขึ้นมาเพื่อผ่าน “ร่าง พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์” ที่ภาครัฐต้องการตรวจสอบข้อมูลส่วนบุคคลผ่าน Single Gateway

หรือล่าสุดกับปฏิบัติการรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างผิดกฎหมายเมื่อวันที่ 27 ธันวาคม 2559 พวกเขาก็สร้างสตอรีว่า ภาครัฐสร้างสถานการณ์เพื่องุบงิบแก้ไข พ.ร.บ.สงฆ์ฯ ในประเด็นการสถาปนาสมเด็จพระสังฆราชที่ไม่ต้องยึดโยงเรื่องอาวุโสตามลำดับสมณศักดิ์ และให้เป็นไปตามพระราชอำนาจ โดยบิดเบือนว่า ต่อไปนี้สมเด็จพระสังฆราชพระองค์ใหม่จะบวชกี่พรรษาก็มีสิทธิได้รับการสถาปนา ซึ่งเป็นการบิดเบือนที่ไม่สมเหตุสมผลด้วยประการทั้งปวง แต่ก็ไม่น่าเชื่อว่าเหล่าศิษยานุศิษย์จะหลงเชื่อและโพสต์ข้อมูลทางหน้าเฟซบุ๊กกันอย่างเป็นตุเป็นตะ

รัฐธรรมกายนั้น ไม่ธรรมดาจริงๆ

เพราะฉะนั้น เจ้าหน้าที่และรัฐบาลจึงไม่อาจผลีผลามดำเนินการแบบ “อาชญากร” ผู้กระทำผิดทั่วๆ ไปได้ แต่จำต้องสร้างเงื่อนไข สร้างจิตสำนึกร่วมให้สังคมรับรู้ถึงขีดสุดถึงความไม่ธรรมดาของอาณาจักรขายตรงธรรมแห่งนี้ ก่อนที่จะจัดการอย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาด

และเชื่อเป็นอย่างยิ่งว่า ในท้ายที่สุดแล้วกฎหมายที่มีอยู่จะไม่สามารถจัดการกับวัดพระธรรมกายและพระธัมมชโยได้ และนำไปสู่การตัดสินใจใช้ “ม.44” โดย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.)

ย้อนกลับมาที่เรื่องปมบาดหมางและค้างคาใจระหว่าง 2 หน่วยงานคือกรมสอบสวนคดีพิเศษ(ดีเอสไอ) และสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ(พศ.) นั้น เป็นเรื่องที่ต้องบอกว่า “ปวดกบาล” เป็นที่สุด เพราะถ้าหากติดตาม “ท่าที” ของหน่วยงานที่กำกับดูแลและมีส่วนเกี่ยวข้องกับคณะสงฆ์ในประเทศนี้ ก็จะเห็นว่า มีบทบาทที่ไม่ใคร่จะตอบสนอง “มากถึงมากที่สุด” แถมยังทำว่าจะยืนอยู่เคียงข้างวัดพระธรรมกายและพระเดชพระคุณหลวงพ่อธัมมชโยอีกต่างหาก

ท่าทีดังกล่าวดำรงอยู่อย่างเสมอต้นเสมอปลายนับแต่ต้นจนถึงปัจจุบันนี้

นั่นเป็นปัญหาเชิงโครงสร้าง ซึ่งมีช่องโหว่มากมายกระทั่งกลายเป็นอุปสรรคในการบังคับใช้กฎหมาย

ดังนั้น จึงไม่เป็นที่น่าแปลกใจที่ พ.ต.อ.ไพสิฐ วงศ์เมือง อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ถึงกับกล่าวให้สัมภาษณ์อย่างตรงไปตรงมาว่า “ดีเอสไออยากให้สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) ในฐานะเป็นหน่วยงานปกครองทางสงฆ์ เจรจาเพื่อให้พระธัมมชโยเข้ามาสู่กระบวนการตามกฎหมาย ซึ่งเราก็หวังอย่างนี้มาโดยตลอด และอยากให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องช่วยกันกดดันผู้ต้องหามาเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม ส่วนกรณีที่ พศ.จะให้ความร่วมมือหรือไม่นั้น เรื่องนี้ก็ต้องคอยดูกันอีกครั้ง”

เป็น พศ.ที่เคยอยู่ใต้การกำกับของ นายสุวพันธุ์ ตันยุวรรธนะ ซึ่งบัดนี้ย้ายมานั่งเป็นใหญ่ในเก้าอี้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมและกำกับดูแลกรมสอบสวนคดีพิเศษ

ด้วยเหตุดังกล่าว นายสุวพันธุ์จึงน่าจะรู้ปัญหาดีที่สุดว่า ทำไปถึงเป็นเช่นนั้น และไม่อาจปฏิเสธความรับผิดชอบได้ ยิ่งเมื่อปัจจุบันมานั่งเก้าอี้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมด้วยแล้ว ยิ่งต้องให้คำตอบกับสังคมให้ได้
พล.ต.อ.ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ(รองผบ.ตร.) บุกเกาะยาวน้อย อ.เกาะยาว จ.พังงา เพื่อตรวจสอบกรณีมูลนิธิธรรมกายบุกรุกที่ดิน ป่าสงวนแห่งชาติ เพื่อสร้างศูนย์ปฏิบัติธรรมเวิลด์พีซมุกตะวัน 3 แห่ง
ขณะที่ นายออมสิน ชีวะพฤกษ์ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ซึ่งได้รับมอบหมายให้ดูแล พศ. ก็ต้องรับ “เผือกร้อน” ไปแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

ด้าน นายพนม ศรศิลป์ ผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) ก็ยังคงยืนยันท่าทีเหมือนเดิมและชัดเจนยิ่งคือ ขณะนี้เลยขั้นตอนของคณะสงฆ์แล้ว ไปสู่การส่งฟ้องในกระบวนการยุติธรรม หากก้าวก่ายจะเป็นประเด็นข้อกฎหมาย

“เรายินดีเป็นตัวกลางในการประสานงานกับเจ้าคณะและทางวัดพระธรรมกาย แต่ขณะนี้เป็นขั้นตอนฟ้อง ซึ่งเราไม่แน่ใจในประเด็นกฎหมาย เกรงว่าไปพูดแล้วจะผิดกฎหมาย”

นี่ไม่ต้องกล่าวถึงมหาเถรสมาคม(มส.) ซึ่งเป็นองค์กรปกครองสูงสุดของคณะสงฆ์ เพราะท่าทีของ มส.ยืนหยัดตรงดั่งปลายทวนโดยไม่เปลี่ยนแปลง และไม่มีวี่แววว่าจะดำเนินการใดๆ เช่นกัน จนสังคมพากันร้องถามถึงการปฏิรูป พ.ร.บ.คณะสงฆ์กันอึงมี่ทั้งแผ่นดิน เนื่องจากเห็นพ้องต้องกันว่าถึงเวลาที่ปรับปรุงแก้ไข พ.ร.บ.คณะสงฆ์ให้มีประสิทธิภาพ สามารถนำมาใช้ปกป้องพระธรรมวินัยได้จริง ไม่ใช่ใช้ปกป้องผู้กระทำความผิดอย่างที่เป็นอยู่ในเวลานี้

สรุป...
ปี 2559 ฮึ่มฮึ่มกันมาโดยตลอด แต่ก็ยังไม่สามารถจัดการใดๆ กับพระธัมมชโยได้
ดังนั้น ถ้าปี 2560 จะดำเนินไปในรูปในรอยเดียวกันก็คงไม่น่าแปลกใจอะไร
แต่ประชาชนก็หวังว่า จะไม่เป็นเช่นนั้น เพราะไม่เชื่อว่า จะมีใครอยู่เหนือกฎหมายได้ ไม่ว่าจะเป็นคนธรรมดาหรือพระสงฆ์องค์เจ้า.....



กำลังโหลดความคิดเห็น