“สอดแนมการเมือง”
โดย “ชัชวาลย์ ชาติสุทธิชัย”
พุทธธรรมสอนว่า..ต้องรู้ต้นเหตุปัญหา-และ-ต้องแก้ที่ต้นเหตุของปัญหาให้ได้!
ภายหลังองค์พระศาสดาทรงตรัสรู้ ก็ทรงปฏิบัติหน้าที่อย่างมิรู้เหนื่อย ครบถ้วนทั้งพระพุทธ-พระธรรม-พระสงฆ์ เพราะทรงเป็นพระพุทธผู้รอบรู้ธรรมอย่างลึกซึ้ง ทรงเป็นพระธรรมเผยแผ่ปรัชญาพุทธไปทุกหนแห่ง ทรงเป็นพระสงฆ์ที่มีวัตรปฏิบัติอันเคร่งครัดงดงาม
พระสงฆ์ทั้งหลายในยุคองค์พระศาสดา ต้องศึกษาเข้าใจพระธรรมอย่างถ่องแท้ เพื่อเผยแผ่ธรรมให้ผู้คนในสังคมเข้าใจ ต้องเป็นพระสงฆ์ดีที่ปฏิบัติตามพระธรรมวินัย 227 ข้ออย่างเคร่งครัด เพื่อเป็นแบบอย่างให้ผู้คนเลื่อมใส ทำให้พุทธศาสนาเจริญรุ่งเรือง จนเป็นที่ยอมรับของผู้คนในสังคมโลก
เมื่อองค์พระศาสดาเสด็จปรินิพพาน บรรดาพระสงฆ์ถือเป็นผู้ปฏิบัติหน้าที่สืบทอด และนำพาพุทธศาสนาให้มั่นคงรุ่งโรจน์ทั้งปัจจุบันและอนาคต
ยุคแห่งพุทธกาลที่ผ่านมา “พระสงฆ์ดีส่วนใหญ่” ยึดพุทธธรรมด้วยใจจริง ต่างศึกษาธรรม-ปฏิบัติธรรม-เผยแผ่พระธรรมอันประเสริฐขององค์พระศาสดา ด้วยความวิริยะอุตสาหะเสียสละต่อเนื่องเรื่อยมา
โดยมี “พระสงฆ์ผู้หลุดพ้น” จำนวนหนึ่ง ครองชีวิตเป็นบรรพชิตจนลมหายใจสุดท้าย
ธรรมสอนว่า..ทุกวงการมีคนดีที่เป็นคนส่วนใหญ่ และมี คนชั่ว ที่เป็นคนส่วนน้อย! แน่นอน..วงการสงฆ์ก็มิได้อยู่เหนือกฎความจริงข้อนี้
ในวงการ “ผ้าเหลือง” จึงมีทั้ง “พระหย่อนวินัย” อีกทั้งมี “อมนุษย์” มิใช่น้อยเป็น “พระปลอม” ที่ใช้ทั้ง “พุทธพาณิชย์” และ “พุทธปลอม” ดำรงชีวิตเป็น “เหลือบผ้าเหลือง” หลอกลวงเงินทองทรัพย์สินของชาวพุทธอยู่เรื่อยมา
ดังนั้น ในกาลสมัย “พระเจ้าอโศกมหาราช” แห่งประเทศอินเดีย จึงต้องปฏิรูปวงการสงฆ์ครั้งใหญ่ โดยพระสงฆ์ที่ปฏิบัติตนไม่เคร่งครัด ละเมิดพระธรรมวินัยสงฆ์เนืองๆ ตลอดจนบรรดาอลัชชีและพระปลอม ถูกพระเจ้าอโศกฯจับสึกมากมาย
ทำให้ “พระสงฆ์ดี” ในอินเดียกลับมาเป็นที่เลื่อมใสอีกครา พุทธศาสนาได้รับการจรรโลง ด้วยศรัทธาอันยิ่งใหญ่อย่างต่อเนื่อง การศึกษาธรรม-ปฏิบัติธรรม-เผยแผ่ธรรมแห่งองค์พระศาสดา คืนกลับสู่หนทางถูกต้อง ศรัทธาในพระสงฆ์และพุทธศาสนา จึงเปล่งประกายเจิดจรัสไปทั่วโลก
ในชาติไทย -พุทธศาสนาไม่เคยเสื่อม! แต่วงการพระสงฆ์ไทยต่างหากที่กำลังเสื่อมสุดๆ!
โดยเฉพาะในยุค “ทุนสามานย์เหลี่ยม” กับเครือข่าย ครองชาติบ้านเมืองหลายสมัย ผ่านช่องทางเลือกตั้งสกปรกแบบตะวันตก “เหลี่ยม” ได้ใช้อำนาจรัฐสนับสนุน “พระหย่อนวินัย” และ “พระปลอม” ที่เป็นพวกพ้อง เข้ายึดครององค์กรบริหารพระสงฆ์ ทั้งระดับชาติและท้องถิ่นจำนวนหนึ่ง เพื่อใช้เป็นฐานทางการเมือง ทั้งในยามปกติ และยามที่ชาติไทยมีการเลือกตั้งผู้แทนราษฎร
พูดตรงๆ คือ “ทุนสามานย์เหลี่ยม” วางแผนเข้ายึดองค์กรสงฆ์ ทั้งระดับชาติและท้องถิ่นมาไว้ในกำมือ โดยหวังใช้พระสงฆ์เป็น “กองเชียร์” หรือ “หัวคะแนน” ทางการเมือง เพราะพระสงฆ์ทั้งหลายเป็นที่เคารพนับถือของผู้คนทั้งในเมืองและชนบท
อีกทั้ง “เหลี่ยม” กับพวกพ้องรู้ว่า พระสงฆ์ทั้งในเมืองและชนบทจำนวนหนึ่ง บ้างเป็นพระสงฆ์ที่ไม่เคร่งในพระธรรมวินัย เป็นพระสงฆ์ไร้คุณภาพมาตรฐาน ยังหลงในอำนาจ-ทรัพย์สิน-เงินทอง-ตัณหา ฯลฯจมปลักหากินอยู่กับ “พุทธพาณิชย์” และ “พุทธปลอม”
แถมวงการพระสงฆ์ยังมี “อลัชชี” หรือ “พระปลอม” มากมาย คอยหลอกลวงชาวพุทธอย่างหน้าด้านๆเพื่อกอบโกยทรัพย์สินเงินทองชนิดไม่รู้จักพอ พระที่มิใช่พระพวกนี้ยังใช้สารพัดวิธี “ซื้อ” พระผู้ใหญ่จำนวนหนึ่ง ให้สนับสนุนและเข้าร่วมกิจกรรมการใช้ “พุทธเทียม” กอบโกยผลประโยชน์มหาศาล เข้าตัวและพวกพ้องอยู่ตลอดเวลา
โดยเฉพาะ “อลัชชีไชโย” จอมเจ้าเล่ห์ ที่ตั้ง “สหกรณ์การเงินเครือข่ายอลัชชี” ขึ้นมา แล้วล่อหลอกด้วยการ “จ่ายดอกเบี้ยสูงลิ่ว” ทั้งบนโต๊ะและใต้โต๊ะ ทำให้ผู้คนและสหกรณ์ทั่วประเทศ หลงนำเงินมาฝากไว้กับ “สหกรณ์ฯเครือข่ายอลัชชี” แห่งอาณาจักรจานบินกันอย่างมหาศาล
เมื่อเงินจากชาวพุทธที่ไม่เข้าถึงแก่นธรรม ยังไหลมาเทมา! แถมเงินฝากใน “สหกรณ์ฯเครือข่ายอลัชชี” ก็มีล้นเหลือ! “อลัชชีไชโย” กับ “ฆราวาสคู่ใจ” จึงต้องทำกิจกรรม “เงินต่อเงิน” และ “ฟอกเงิน” ทุกรูปแบบ เช่น
ปล่อยเงินให้สาวกผู้งมงาย “ลัทธิจานบิน” กู้ไป “ซื้อการเดินทางสู่สวรรค์”! กระทั่งนำเงินฝากของชาวบ้านใน “สหกรณ์ฯ เครือข่ายอลัชชี” เอาไปบริจาคดื้อๆเป็นการส่วนตัวให้ “อลัชชีไชโย” กับพวกพ้อง จนถูกอดีตพระสังฆราชฯผู้เที่ยงธรรม ทรงมีพระลิขิตว่า “เจ้าอาวาสจานบินไชโย” เป็น “อลัชชี” ไปแล้ว เพราะทำผิดอย่างร้ายแรงต่อพระธรรมวินัยสงฆ์ จึงต้องอาบัติปาราชิก ขาดจากความเป็นพระแล้ว
แต่ “อลัชชีไชโย” ดื้อแพ่งไม่ยอมรับผิด จนถูกพระเถรผู้ใหญ่ผู้เที่ยงธรรม ประกาศให้ไปรับทราบข้อหากับทางการ มิฉะนั้นจะบุกไปที่วัดจับสึกในทันที แต่ “อลัชชีไชโย” ก็โชคดีที่ได้นักการเมืองอธรรม ที่ยึดอำนาจรัฐด้วยเงินและยิ่งใหญ่ในห้วงนั้น มาช่วยให้หลุดออกจากศาลอย่างหวุดหวิด ก่อนมีการตัดสินคดีนี้
นอกจากนั้น ยังมีการปล่อยเงินให้กู้ และร่วมทุนในธุรกิจต่างๆ รวมทั้งธุรกิจสารพัดของพวกพ้องโดยเฉพาะการทำธุรกิจซื้อขายที่ดิน ทั้งถูกและผิดกฎหมายผ่านนอมินี เพื่อนำมาสร้างวัดในเครือข่าย“จานบิน” จนมีความผิดถูกทางการตั้งข้อหา-รุกป่า การซื้อขายที่ดินและทำธุรกิจไม่โปร่งใส จน “อลัชชีไชโย” และ “ฆราวาสคู่ใจ” มีความผิด ทั้งข้อหารับของโจรและฟอกเงิน!
โชคดีของชาติไทยที่นายกฯ “บิ๊กตู่” กับอดีต รมว.ยุติธรรม “บิ๊กต๊อก” ที่เป็นองคมนตรีในขณะนี้ ได้ลงมาจัดการกับขบวนการ “มารศาสนา” ตามตัวบทกฎหมายบ้านเมืองอย่างตรงไปตรงมา ทำให้ “ฆราวาสคู่ใจ” ผู้บริหาร “สหกรณ์ฯอลัชชี” ถูกจับไปติดคุกและส่งขึ้นศาลไปแล้ว
ส่วน “อลัชชีไชโย” ที่โดนหมายจับหลายใบจากกระบวนการยุติธรรม ต้องอาศัย “กำแพงมนุษย์” หนีการจับกุม ซ่อนตัวอยู่ใน “อาณาจักรจานบิน” ตราบทุกวันนี้
อย่างไรก็ตาม..ยุคที่อาณาจักรอยู่ในกำมือ “เหลี่ยม” เขาได้ใช้อำนาจรัฐและกลไกรัฐ ส่งพระสงฆ์ในเครือข่ายตน เข้ายึดอำนาจในศาสนจักรระดับชาติได้สำเร็จ ทำให้องค์กรบริหารพระสงฆ์เต็มไปด้วยการเล่นพรรคเล่นพวก ส่งผลให้ความศรัทธาเชื่อมั่นในพระสงฆ์เสื่อมทราม จนพระสงฆ์ส่วนใหญ่ที่ดีต้องเสื่อมเสียชื่อเสียงไปด้วย
ด้วยนักการเมืองทุนสามานย์ กลุ่มแกนนำแดงสู้แล้วรวยบางคน อลัชชีและพระสงฆ์หลงกิเลส ต่างเสวยสุขอยู่ในศาสนจักรระดับชาติ และระดับท้องถิ่นอย่างอิ่มหมีพีมัน จนอยากสืบทอดอำนาจในศาสนจักรต่อไปเรื่อยๆ
ทว่าเหตุการณ์ ณ วันนี้ “เหลี่ยม” และ “อลัชชีไชโย” กับพวกพ้อง ที่วางแผนร้ายหวังจะยึดองค์กรบริหารพระสงฆ์ระดับชาติ ได้ถูกเปิดโปงและทำท่าจะล้มทั้งยืนไปเสียแล้ว
เพราะ “พระบิ๊กเบิ้ม ” ที่ถูกวางตัวให้เป็น “ผู้นำศาสนจักร” ถูกแฉโพยความโลภอันมิสมควรและพัวพันกับ “สิ่งของสีเทา” อันไม่พึงมี-ไม่พึงข้องเกี่ยว-ไม่พึงสะสม สำหรับผู้จะมีฐานะเป็น “พระบิ๊กเบิ้ม” แห่งศาสนจักรชาติไทย
เฮ้อ..โอกาสจะได้เป็น “พระบิ๊กเบิ้ม” แห่งศาสนจักรชาติไทย ทำท่าจะหายวับไปต่อหน้าต่อตา!
“อลัชชีไชโย” ที่เคยใช้เงินทองดูแล “พระบิ๊กเบิ้ม” จนมีอิทธิพลต่อพระใหญ่ๆจำนวนหนึ่ง ก็ต้องหายหน้าหายตาหายหัวไป เพราะกำลัง “ตกนรกทั้งเป็น” อยู่กับความผิดที่ตนกระทำ อีกทั้งเงินทองทรัพย์สินไม่น้อยก็ถูกทางการอายัด ฯลฯ
เหตุการณ์ชั่วๆ ของ “ขบวนการมารศาสนา” ยังความเศร้าหมองต่อแผ่นดินแห่ง “รัชกาลที่ 9”
จนห้วงต้นแห่ง “รัชกาลที่ 10” ชาวพุทธและวงการพระสงฆ์ที่ดี ต่างปลาบปลื้มชื่นชมยินดีไปทั่วทั้งชาติไทย เมื่อ พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ.ปยุตฺโต) ผู้เป็น “ปราชญ์แห่งพระพุทธศาสนา” ได้รับพระราชทานสถาปนาเลื่อนและตั้งสมณศักดิ์เป็น “สมเด็จพุทธโฆษาจารย์” เป็นสมเด็จองค์ใหม่ในวงการพระสงฆ์ไทย
มิติแห่งข่าวดีนี้..ได้นำความสุขอย่างท่วมท้นโดยพลัน จาก “ฟากฟ้า” มาสู่ชาวพุทธ และวงการศาสนาของชาติไทย.. สาธุ!