การเปลี่ยนแปลงและความเคลื่อนไหวของสถานีทีวีดิจิตอลในสัปดาห์ที่ผ่านมา เป็นสิ่งชี้ชัดถึงสถานการณ์ของทีวีดิจิตอล ว่าอยู่ในภาวะลำบาก โดยเฉพาะประเด็นของเงินทุน ต้นทุน และการแสวงหาความอยู่รอดบนความแตกต่าง สองปรากฎการณ์อย่าง สถานีสปริงนิวส์ เป็นพันธมิตรกับสถานี CNN และกรณีที่ฮือฮาของค่ายอัมรินทร์ฯ ที่เพิ่มทุนขายเฉพาะเจาะจงให้กับตระกูลสิริวัฒนภักดี
แหล่งข่าวจากวงการสื่อทีวี ให้ความเห็นว่า สิ่งที่เกิดขึ้นเป็นปรากฏการณ์ที่ไม่อยู่นอกเหนือความคาดหมาย และใน2-3 ปีจากนี้ จะเกิดเหตุการณ์เหล่านี้คือ การคืบคลานของกลุ่มทุนใหญ่ ที่จะเข้ามาซื้อหุ้นในกลุ่มบริษัทที่ถือไลเซ่นส์ทำทีวีดิจิตอลอยู่เดิมมากขึ้นอีก เนื่องจากปัญหาและอุปสรรคหลักของทีวีดิจิตอลตอนนี้ คือ 1.ต้นทุนการจัดการที่สูงมาก และ 2. การขาดแหล่งเงินทุนดำเนินกิจการ เพราะปีหน้า ผู้ประกอบการทีวีดิจิตอล จะต้องชำระค่าธรรมเนียมงวดที่ 4 อีกแล้ว ซึ่งแต่ละรายวงเงินจ่ายก็จะไม่เท่ากัน แล้วแต่เงื่อนไขของประเภทช่อง โดยค่ายอัมรินทร์ฯ ประมูลทีวีดิจิตอลมาในวงเงิน 3,320 ล้านบาท
ทั้งนี้ ปัจจัยลบหลักๆ ที่ทำให้ทีวีดิจิตอลต้องเร่งหาทุนเข้ามาเสริมทัพ คือ 1. เทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลงรวดเร็ว ต้องลงทุนตลอด 2. คอนเทนต์ที่จะต้องแตกต่างและต้นทุนต่ำที่สุด 3. สายป่านไม่ยาวพอ และยังมีปัจจัยเสริม เช่น เรื่องของกม. และผู้กำกับกม.ที่ผ่านมา ไม่เข้าใจกับเรื่องทีวีดิจิตอล และไม่สามารถทำตามแผนงานได้
ก่อนหน้านี้ ด้วยปัญหาของค่าธรรมเนียมที่สูงลิ่ว ทำให้หลายช่องต้องสะดุดเพราะเงินไม่ถึง กระทั่งค่ายไทยทีวี ของ"เจ๊ติ๋ม" ก็ต้องถอดใจเลิกทำไปแล้ว 2 ช่อง ล่าสุดก็คือ กรณีอัมรินทร์ฯ ที่ให้ตระกูลสิริวัฒนภักดี เข้ามาคุมหุ้น แม้ว่าที่ผ่านมา ทางคณะกรรมการกิจการกระจายเสียงกิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) จะพยายามหาทางช่วยเหลือและผ่อนหนักเป็นเบา จากเดิมต้องจ่ายรายปี เฉลี่ย 2% ของรายได้ เช่น เมื่อช่วงเดือนก.ย.ที่ผ่านมา มีแนวคิดออกมาตรการต่างๆ เช่น การกำหนดเป็นขั้นบันไดของรายได้ แบ่งเป็น 5 ระดับ ได้แก่ 1. รายได้ 0-5 ล้านบาทแรก อัตราค่าธรรมเนียม 0.50% ของรายได้ 2.รายได้ส่วนที่เกินกว่า 5 ล้านบาท แต่ไม่เกิน 50 ล้านบาท ค่าธรรมเนียม 0.75% ของรายได้ 3. รายได้ส่วนที่เกิน 50 ล้านบาท แต่ไม่เกิน 500 ล้านบาท ค่าธรรมเนียม 1% ของรายได้ 4. รายได้ส่วนที่เกินกว่า 500 ล้านบาท แต่ไม่เกิน 1,000 ล้านบาท ค่าธรรมเนียม 1.75% ของรายได้ และ 5. รายได้ส่วนที่เกิน 1,000 ล้านบาท ขึ้นไป ค่าธรรมเนียม 2% ของรายได้ หรือแม้แต่การเสนอเลื่อนระยะเวลาการชำระค่าประมูลทีวีดิจิตอล งวดที่ 4 ออกไปอีก 1-2 ปี จากเดิมต้องชำระเดือนพ.ค.60
ที่ผ่านมา ผู้ประกอบการชำระค่าธรรมเนียมแล้ว 3 งวด รวม 27,580 ล้านบาท หรือสัดส่วน 60% ของทั้งหมด ที่มีวงเงินประมูลยู่ที่ 50,862 ล้านบาท
** อัมรินทร์ฯสะดุดเงินทุน
กรณีของบริษัท อมรินทร์พริ้นติ้ง แอนด์ พับลิชชิ่ง จำกัด (มหาชน) หรือ AMARIN เลือกวิธีการหาทุนใหม่เข้ามาปิดจุดบอด ด้วยการเพิ่มทุน จำนวน 200 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้ หุ้นละ 1 บาท เสนอขายแบบเฉพาะเจาะจงให้ บริษัท วัฒนภักดี จำกัด โดยนายฐาปนะ สิริวัฒนภักดี และนายประปณต สิริวัฒนภักดี ในราคาหุ้นละ 4.25 บาท รวมเป็นเงิน 850 ล้านบาท หลังการซื้อหุ้นดังกล่าว ผู้ซื้อจะถือหุ้น 47.62% ของทุนจดทะเบียนทั้งหมด
สาเหตุของการเสนอขายหุ้นดังกล่าว นางเมตตา อุทกะพันธุ์ ประธานกรรมการบริษัท อมรินทร์พริ้นติ้งฯ ย้ำว่า เพราะบริษัทฯขาดทุนจากการดำเนินงานช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา ส่งผลกระทบต่อสภาพคล่อง ตลอดจนอัตราส่วนหนี้สินต่อทุน (Debt to Equity)ณ วันที่ 30 ก.ย.59 ของบริษัท มีอัตราที่สูงเท่ากับ 4.32 เท่า จึงมีความจำเป็นต้องใช้เงินทุนที่จะได้รับจากการเพิ่มทุนในครั้งนี้ เพื่อการลงทุนเพิ่มเติมในธุรกิจทีวีดิจิตอล ซึ่งมีต้นทุนสูง ชำระค่าใบอนุญาตให้ใช้คลื่นความถี่ การชำระค่าบริการโครงข่ายทีวีดิจิตอลรายเดือน การชำระคืนเงินกู้ยืมจากสถาบันการเงิน และใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนที่ใช้ในดำเนินธุรกิจ โดยมีแผนใช้เงินเพิ่มทุนนี้ ช่วงต้นปี 61
" การที่บริษัทฯ จะมีพันธมิตรทางธุรกิจที่มีความพร้อมในด้านเงินทุน และมีความเชี่ยวชาญในการดำเนินธุรกิจ รวมถึงมีสถานะทางการเงิน และสายสัมพันธ์ที่ดีกับกลุ่มธุรกิจที่หลากหลาย จะทำให้บริษัทได้รับเงินตามจำนวนที่ต้องการ"
ทั้งนี้ นางระริน อุทกะพันธุ์ ปัญจรุ่งโรจน์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ AMARIN ยอมรับว่า การแข่งขันของอุตสาหกรรมสิ่งพิมพ์ มีการเปลี่ยนแปลง และธุรกิจดิจิตอลทีวี มีการแข่งขันสูง ทำให้บริษัทต้องลงทุนเพื่อพัฒนาผลิตภัณฑ์ และบริการต่างๆ อย่างต่อเนื่อง
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ปี 57-59 อมรินทร์ฯ ขาดทุนมาก รวม 2 ปี 3 ไตรมาส ขาดทุนไปถึง 950 ล้านบาท ราคาหุ้นตกลงเหลือ 1 ใน 3 จากปี56 หนี้สินสะสม 4,000 ล้านบาท กระแสเงินสดลดต่ำเหลือเพียง 291 ล้านบาท แต่มีหนี้เงินกู้ระยะสั้น และเงินเบิกเกินบัญชี (OD)ถึง 550 ล้านบาท
ขณะที่อมรินทร์ทีวี ก็ยังไม่ประสบความสำเร็จมากนัก หากดูจากเรตติ้งยังคงอยู่ในระดับกลุ่มล่าง และรายได้โฆษณายังต่ำ โดยข้อมูลจาก เอจีบีนีลสันประจำเดือนก.ย.59 ระบุว่า ในแง่ทั้งประเทศ อัมรินทร์ อยู่อันดับที่ 10 มีเรตติ้ง 0.24 ส่วนหากเป็นพื้นที่กรุงเทพฯ อัมรินทร์ทีวี อยู่อันดับที่ 11 มีเรตติ้ง 1.87
ทั้งนี้ สนพ.อมรินทร์ ก่อตั้งโดย นายชูเกียรติ อุทกะพันธุ์ นักคิดนักเขียน ยุค 14 ตุลาฯ16 เริ่มจากการผลิตนิตยสารบ้านและสวน ต่อมาประสบความสำเร็จกับนิตยสารแฟชั่น "แพรว" และแฟชันวัยรุ่น "แพรวสุดสัปดาห์" อมรินทร์ เติบโตมาด้วยพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่พระราชทานพระบรมราชานุญาตให้เป็นสำนักพิมพ์ที่จัดพิมพ์พระราชนิพนธ์ หลายเรื่อง เช่น ติโต นายอินทร์ผู้ปิดทองหลังพระ พระมหาชนก และ เรื่องทองแดง และได้เข้าตลาดหลักทรัพย์เมื่อ 3 ม.ค.35
ทั้งนี้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในพระบรมโกศ และสมเด็จพระเทพฯ ทรงถือหุ้นส่วนหนึ่งใน สนพ.อมรินทร์ ( 1.58% และ 0.63% ) ตามลำดับ ซึ่งร้านหนังสือ "นายอินทร์" ของอมรินทร์ฯ ได้รับพระราชทานชื่อจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในพระบรมโกศ ที่มาจากพระราชนิพนธ์ เรื่อง "นายอินทร์ผู้ปิดทองหลังพระ" (The Man called intrepid)
คนวงในมองว่า แม้ทางตระกูลสิริวัฒนภักดี จะยังคงเปิดโอกาสให้ผู้บริหารชุดเดิมบริหารต่อไป แต่คาดว่าจะต้องมีแผนงานการปรับลดค่าใช้จ่ายและลดต้นทุนและปรับโครงสร้างใหญ่ในบริษัท จากนี้ไปแน่นอน และจะส่งบุคคลเข้ามาเป็นกรรมการบริษัทฯ จำนวนไม่เกิน 3 คน เพราะเมื่อซื้อหุ้นแล้ว ย่อมต้องมองถึงผลประโยชน์ที่จะได้รับแน่นอน มีการปรับยุทธศาสตร์ใหม่เพื่อให้เอื้อต่อธุรกิจเครือข่ายที่มีอยู่ทั้งหมด ซึ่งจะกลายเป็นกลุ่มทุนที่มีสื่อในมือมากมาย อย่างน้อยก็เทียบเท่ากับตระกูลเจียรวนนท์ เจ้าของ ทรู-ซีพี รวมถึงเครือข่ายลอจิสติกส์หนังสือ และหน้าร้านหนังสือนายอินทร์กว่า 160 สาขาทั่วประเทศ
ยังไม่นับรวมกับเครือข่ายร้านหนังสือเอเซียบุ๊กส์ ที่เจ้าสัวเจริญ ไปเทคโอเวอร์มาก่อนหน้านี้หลายปีแล้ว
"ตระกูลสิริวัฒนภักดี เข้ามาซื้อหุ้นได้ ไม่ผิดกฎข้อบังคับ เพราะไม่ได้เป็นผู้ถือไลเซ่นส์เดิม หรือมีส่วนได้ส่วนเสียกับบริษัทอื่นที่ทำทีวีดิจิตอลอยู่แล้ว และถือเป็นเรื่องที่ดี วิน-วิน ด้วยกันทั้งสองฝ่าย เพราะอัมรินทร์ ก็จะอยู่รอดทำทีวีดิจิตอลต่อไป พร้อมสื่ออื่นและงานอีเวนต์ใหญ่ที่ชื่อบ้านและสวน ขณะที่ตระกูลสิริวัฒนภักดี ก็จะมีสื่อในมือมากขึ้น และเป็นการขยายสู่ธุรกิจครั้งใหม่ที่แตกต่างจากฐานเดิม" แหล่งข่าว กล่าว
** “สปริงนิวส์”อิงCNN ลดต้นทุน
ส่วนกรณีของสถานีสปริงนิวส์ แม้จะยังไม่ถึงขั้นการหาทุนใหม่เข้ามา แต่ก็เลือกใช้กลยุทธ์พันธมิตรทางธุรกิจกับสำนักข่าวระดับโลกอย่าง ซีเอ็นเอ็น (CNN)เพื่อลดต้นทุนและขยายฐานธุรกิจ
นายธนาชัย ธีรพัฒนวงศ์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท สปริงนิวส์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด ผู้บริหารสถานีโทรทัศน์ดิจิตอล“SPRING NEWS ช่อง 19”กล่าวว่า การร่วมเป็นพันธมิตรกับ CNNจะทำให้ “สปริงนิวส์”สามารถออกอากาศรายการและเนื้อหาจากสถานีโทรทัศน์ CNN บรรยายข้อความใต้ภาพเป็นภาษาไทย ตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค.60 เพิ่มศักยภาพของ“สปริงนิวส์”ในอุตสาหกรรมทีวีดิจิตอล และก้าวสู่ความเป็นสถานีข่าวอันดับหนึ่ง ของประเทศไทย
ความร่วมมือครั้งนี้ มีการเจรจามาอย่างต่อเนื่อง แต่เพิ่งจะสรุปรายละเอียดต่างๆ เมื่อ 5 เดือนที่ผ่านมา ทำให้“สปริงนิวส์”เป็นสถานีโทรทัศน์แห่งแรกในเอเชีย ที่เป็นพันธมิตรในด้านต่างๆ กับ CNN อย่างเป็นทางการ เป็นเวลา 5 ปี โดย CNNยังจะเป็นที่ปรึกษา จัดฝึกอบรมให้เจ้าหน้าที่ และสามารถเข้าถึงแหล่งข้อมูลของ “สปริงนิวส์”เพื่อเสริมสร้างความแข็งแกร่งด้านการรายงานข่าวของ CNNในประเทศไทยและภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
ถือเป็นการลดต้นทุนดำเนินการได้อย่างดี เพราะทีวีดิจิตอล มีค่าใช้จ่ายมากโดยเฉพาะเรื่องขอต้นทุนค่าธรรมเนียม
"เป็นการลงทุนด้านการพัฒนาคอนเทนต์รายการข่าว เทคโนโลยีการนำเสนอ ตลอดจนบุคลากรของสปริงนิวส์ เพื่อเป็นการยกระดับของสถานีฯ เช่น ข่าวเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาที่ผ่านมา ซึ่งบางพื้นที่มีการจำกัดสิทธิ์ผู้สื่อข่าวต่างประเทศ แต่ผู้สื่อข่าวสปริงนิวส์ สามารถเข้าไปรายงานข่าวได้โดยใช้สิทธิ์ของสถานีโทรทัศน์ CNN"
แม้ว่าปัจจุบัน ผู้ชมในไทยจะรับชมรายการของสถานี CNNได้ทางสถานี “ทรูวิชั่นส์”ซึ่งถือเป็นคู่สัญญาของ CNNในประเทศไทย แต่ก็มีข้อจำกัดด้านเวลาการนำเสนอรายการบางรายการ ณ เวลาจริง ซึ่งเป็นช่วงไพรม์ไทม์ของประเทศสหรัฐอเมริกา แต่ตรงกับช่วงเวลากลางคืนของประเทศไทย ไม่มีบรรยายภาษาไทย และ ต้องชำระค่าบริการรับชมตามแพคเกจของ“ทรูวิชั่นส์”
แต่สำหรับการร่วมมือกับ“สปริงนิวส์” นอกจากนำเสนอรายการตามเวลาจริงแล้ว ยังสามารถนำกลับมาเผยแพร่ซ้ำได้ตลอดเวลา จึงทำให้ผู้ชม “สปริงนิวส์”สามารถรับชมรายการเด่นของ CNNผ่านพิธีกรชื่อดัง เช่น “แอนเดอร์สัน คูเปอร์”หรือพิธีกรผู้มีเอกลักษณ์โดดเด่นคือ “ริชาร์ด เควสท์”และอื่นๆ รวมถึงรายการข่าว Breaking News ซึ่งมีมากถึง 30-40 ครั้ง ต่อวัน
"นับจากวันที่ 1 ม.ค. 60 การทำงานของสปริงนิวส์ และ CNNจะเชื่อมโยงกันทุกด้าน เพื่อให้ผู้ชมกว่า 10 ล้านครัวเรือนในไทยได้รับประโยชน์อย่างเต็มที่" นายธนาชัย กล่าว
แหล่งข่าวจากวงการสื่อสรุปว่า ทั้งสองเหตุการณ์นี้ แม้จะต่างเรื่องราวแต่ก็ชี้ชัดว่า ทีวีดิจิตอล แข่งขันกันหนักหน่วง ใครไม่พร้อมเรื่องเงินทุนและด้อยเรื่องคอนเทนต์ จะอยู่ยากขึ้นเรื่อยๆ ต้องจับตาดูกันต่อไปว่าใครจะเป็นเหยื่อรายต่อไปที่ไปไม่รอด แล้วต้องเปิดทางให้กลุ่มทุนใหญ่เข้ามาครอบกิจการแทน
แหล่งข่าวจากวงการสื่อทีวี ให้ความเห็นว่า สิ่งที่เกิดขึ้นเป็นปรากฏการณ์ที่ไม่อยู่นอกเหนือความคาดหมาย และใน2-3 ปีจากนี้ จะเกิดเหตุการณ์เหล่านี้คือ การคืบคลานของกลุ่มทุนใหญ่ ที่จะเข้ามาซื้อหุ้นในกลุ่มบริษัทที่ถือไลเซ่นส์ทำทีวีดิจิตอลอยู่เดิมมากขึ้นอีก เนื่องจากปัญหาและอุปสรรคหลักของทีวีดิจิตอลตอนนี้ คือ 1.ต้นทุนการจัดการที่สูงมาก และ 2. การขาดแหล่งเงินทุนดำเนินกิจการ เพราะปีหน้า ผู้ประกอบการทีวีดิจิตอล จะต้องชำระค่าธรรมเนียมงวดที่ 4 อีกแล้ว ซึ่งแต่ละรายวงเงินจ่ายก็จะไม่เท่ากัน แล้วแต่เงื่อนไขของประเภทช่อง โดยค่ายอัมรินทร์ฯ ประมูลทีวีดิจิตอลมาในวงเงิน 3,320 ล้านบาท
ทั้งนี้ ปัจจัยลบหลักๆ ที่ทำให้ทีวีดิจิตอลต้องเร่งหาทุนเข้ามาเสริมทัพ คือ 1. เทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลงรวดเร็ว ต้องลงทุนตลอด 2. คอนเทนต์ที่จะต้องแตกต่างและต้นทุนต่ำที่สุด 3. สายป่านไม่ยาวพอ และยังมีปัจจัยเสริม เช่น เรื่องของกม. และผู้กำกับกม.ที่ผ่านมา ไม่เข้าใจกับเรื่องทีวีดิจิตอล และไม่สามารถทำตามแผนงานได้
ก่อนหน้านี้ ด้วยปัญหาของค่าธรรมเนียมที่สูงลิ่ว ทำให้หลายช่องต้องสะดุดเพราะเงินไม่ถึง กระทั่งค่ายไทยทีวี ของ"เจ๊ติ๋ม" ก็ต้องถอดใจเลิกทำไปแล้ว 2 ช่อง ล่าสุดก็คือ กรณีอัมรินทร์ฯ ที่ให้ตระกูลสิริวัฒนภักดี เข้ามาคุมหุ้น แม้ว่าที่ผ่านมา ทางคณะกรรมการกิจการกระจายเสียงกิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) จะพยายามหาทางช่วยเหลือและผ่อนหนักเป็นเบา จากเดิมต้องจ่ายรายปี เฉลี่ย 2% ของรายได้ เช่น เมื่อช่วงเดือนก.ย.ที่ผ่านมา มีแนวคิดออกมาตรการต่างๆ เช่น การกำหนดเป็นขั้นบันไดของรายได้ แบ่งเป็น 5 ระดับ ได้แก่ 1. รายได้ 0-5 ล้านบาทแรก อัตราค่าธรรมเนียม 0.50% ของรายได้ 2.รายได้ส่วนที่เกินกว่า 5 ล้านบาท แต่ไม่เกิน 50 ล้านบาท ค่าธรรมเนียม 0.75% ของรายได้ 3. รายได้ส่วนที่เกิน 50 ล้านบาท แต่ไม่เกิน 500 ล้านบาท ค่าธรรมเนียม 1% ของรายได้ 4. รายได้ส่วนที่เกินกว่า 500 ล้านบาท แต่ไม่เกิน 1,000 ล้านบาท ค่าธรรมเนียม 1.75% ของรายได้ และ 5. รายได้ส่วนที่เกิน 1,000 ล้านบาท ขึ้นไป ค่าธรรมเนียม 2% ของรายได้ หรือแม้แต่การเสนอเลื่อนระยะเวลาการชำระค่าประมูลทีวีดิจิตอล งวดที่ 4 ออกไปอีก 1-2 ปี จากเดิมต้องชำระเดือนพ.ค.60
ที่ผ่านมา ผู้ประกอบการชำระค่าธรรมเนียมแล้ว 3 งวด รวม 27,580 ล้านบาท หรือสัดส่วน 60% ของทั้งหมด ที่มีวงเงินประมูลยู่ที่ 50,862 ล้านบาท
** อัมรินทร์ฯสะดุดเงินทุน
กรณีของบริษัท อมรินทร์พริ้นติ้ง แอนด์ พับลิชชิ่ง จำกัด (มหาชน) หรือ AMARIN เลือกวิธีการหาทุนใหม่เข้ามาปิดจุดบอด ด้วยการเพิ่มทุน จำนวน 200 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้ หุ้นละ 1 บาท เสนอขายแบบเฉพาะเจาะจงให้ บริษัท วัฒนภักดี จำกัด โดยนายฐาปนะ สิริวัฒนภักดี และนายประปณต สิริวัฒนภักดี ในราคาหุ้นละ 4.25 บาท รวมเป็นเงิน 850 ล้านบาท หลังการซื้อหุ้นดังกล่าว ผู้ซื้อจะถือหุ้น 47.62% ของทุนจดทะเบียนทั้งหมด
สาเหตุของการเสนอขายหุ้นดังกล่าว นางเมตตา อุทกะพันธุ์ ประธานกรรมการบริษัท อมรินทร์พริ้นติ้งฯ ย้ำว่า เพราะบริษัทฯขาดทุนจากการดำเนินงานช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา ส่งผลกระทบต่อสภาพคล่อง ตลอดจนอัตราส่วนหนี้สินต่อทุน (Debt to Equity)ณ วันที่ 30 ก.ย.59 ของบริษัท มีอัตราที่สูงเท่ากับ 4.32 เท่า จึงมีความจำเป็นต้องใช้เงินทุนที่จะได้รับจากการเพิ่มทุนในครั้งนี้ เพื่อการลงทุนเพิ่มเติมในธุรกิจทีวีดิจิตอล ซึ่งมีต้นทุนสูง ชำระค่าใบอนุญาตให้ใช้คลื่นความถี่ การชำระค่าบริการโครงข่ายทีวีดิจิตอลรายเดือน การชำระคืนเงินกู้ยืมจากสถาบันการเงิน และใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนที่ใช้ในดำเนินธุรกิจ โดยมีแผนใช้เงินเพิ่มทุนนี้ ช่วงต้นปี 61
" การที่บริษัทฯ จะมีพันธมิตรทางธุรกิจที่มีความพร้อมในด้านเงินทุน และมีความเชี่ยวชาญในการดำเนินธุรกิจ รวมถึงมีสถานะทางการเงิน และสายสัมพันธ์ที่ดีกับกลุ่มธุรกิจที่หลากหลาย จะทำให้บริษัทได้รับเงินตามจำนวนที่ต้องการ"
ทั้งนี้ นางระริน อุทกะพันธุ์ ปัญจรุ่งโรจน์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ AMARIN ยอมรับว่า การแข่งขันของอุตสาหกรรมสิ่งพิมพ์ มีการเปลี่ยนแปลง และธุรกิจดิจิตอลทีวี มีการแข่งขันสูง ทำให้บริษัทต้องลงทุนเพื่อพัฒนาผลิตภัณฑ์ และบริการต่างๆ อย่างต่อเนื่อง
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ปี 57-59 อมรินทร์ฯ ขาดทุนมาก รวม 2 ปี 3 ไตรมาส ขาดทุนไปถึง 950 ล้านบาท ราคาหุ้นตกลงเหลือ 1 ใน 3 จากปี56 หนี้สินสะสม 4,000 ล้านบาท กระแสเงินสดลดต่ำเหลือเพียง 291 ล้านบาท แต่มีหนี้เงินกู้ระยะสั้น และเงินเบิกเกินบัญชี (OD)ถึง 550 ล้านบาท
ขณะที่อมรินทร์ทีวี ก็ยังไม่ประสบความสำเร็จมากนัก หากดูจากเรตติ้งยังคงอยู่ในระดับกลุ่มล่าง และรายได้โฆษณายังต่ำ โดยข้อมูลจาก เอจีบีนีลสันประจำเดือนก.ย.59 ระบุว่า ในแง่ทั้งประเทศ อัมรินทร์ อยู่อันดับที่ 10 มีเรตติ้ง 0.24 ส่วนหากเป็นพื้นที่กรุงเทพฯ อัมรินทร์ทีวี อยู่อันดับที่ 11 มีเรตติ้ง 1.87
ทั้งนี้ สนพ.อมรินทร์ ก่อตั้งโดย นายชูเกียรติ อุทกะพันธุ์ นักคิดนักเขียน ยุค 14 ตุลาฯ16 เริ่มจากการผลิตนิตยสารบ้านและสวน ต่อมาประสบความสำเร็จกับนิตยสารแฟชั่น "แพรว" และแฟชันวัยรุ่น "แพรวสุดสัปดาห์" อมรินทร์ เติบโตมาด้วยพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่พระราชทานพระบรมราชานุญาตให้เป็นสำนักพิมพ์ที่จัดพิมพ์พระราชนิพนธ์ หลายเรื่อง เช่น ติโต นายอินทร์ผู้ปิดทองหลังพระ พระมหาชนก และ เรื่องทองแดง และได้เข้าตลาดหลักทรัพย์เมื่อ 3 ม.ค.35
ทั้งนี้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในพระบรมโกศ และสมเด็จพระเทพฯ ทรงถือหุ้นส่วนหนึ่งใน สนพ.อมรินทร์ ( 1.58% และ 0.63% ) ตามลำดับ ซึ่งร้านหนังสือ "นายอินทร์" ของอมรินทร์ฯ ได้รับพระราชทานชื่อจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในพระบรมโกศ ที่มาจากพระราชนิพนธ์ เรื่อง "นายอินทร์ผู้ปิดทองหลังพระ" (The Man called intrepid)
คนวงในมองว่า แม้ทางตระกูลสิริวัฒนภักดี จะยังคงเปิดโอกาสให้ผู้บริหารชุดเดิมบริหารต่อไป แต่คาดว่าจะต้องมีแผนงานการปรับลดค่าใช้จ่ายและลดต้นทุนและปรับโครงสร้างใหญ่ในบริษัท จากนี้ไปแน่นอน และจะส่งบุคคลเข้ามาเป็นกรรมการบริษัทฯ จำนวนไม่เกิน 3 คน เพราะเมื่อซื้อหุ้นแล้ว ย่อมต้องมองถึงผลประโยชน์ที่จะได้รับแน่นอน มีการปรับยุทธศาสตร์ใหม่เพื่อให้เอื้อต่อธุรกิจเครือข่ายที่มีอยู่ทั้งหมด ซึ่งจะกลายเป็นกลุ่มทุนที่มีสื่อในมือมากมาย อย่างน้อยก็เทียบเท่ากับตระกูลเจียรวนนท์ เจ้าของ ทรู-ซีพี รวมถึงเครือข่ายลอจิสติกส์หนังสือ และหน้าร้านหนังสือนายอินทร์กว่า 160 สาขาทั่วประเทศ
ยังไม่นับรวมกับเครือข่ายร้านหนังสือเอเซียบุ๊กส์ ที่เจ้าสัวเจริญ ไปเทคโอเวอร์มาก่อนหน้านี้หลายปีแล้ว
"ตระกูลสิริวัฒนภักดี เข้ามาซื้อหุ้นได้ ไม่ผิดกฎข้อบังคับ เพราะไม่ได้เป็นผู้ถือไลเซ่นส์เดิม หรือมีส่วนได้ส่วนเสียกับบริษัทอื่นที่ทำทีวีดิจิตอลอยู่แล้ว และถือเป็นเรื่องที่ดี วิน-วิน ด้วยกันทั้งสองฝ่าย เพราะอัมรินทร์ ก็จะอยู่รอดทำทีวีดิจิตอลต่อไป พร้อมสื่ออื่นและงานอีเวนต์ใหญ่ที่ชื่อบ้านและสวน ขณะที่ตระกูลสิริวัฒนภักดี ก็จะมีสื่อในมือมากขึ้น และเป็นการขยายสู่ธุรกิจครั้งใหม่ที่แตกต่างจากฐานเดิม" แหล่งข่าว กล่าว
** “สปริงนิวส์”อิงCNN ลดต้นทุน
ส่วนกรณีของสถานีสปริงนิวส์ แม้จะยังไม่ถึงขั้นการหาทุนใหม่เข้ามา แต่ก็เลือกใช้กลยุทธ์พันธมิตรทางธุรกิจกับสำนักข่าวระดับโลกอย่าง ซีเอ็นเอ็น (CNN)เพื่อลดต้นทุนและขยายฐานธุรกิจ
นายธนาชัย ธีรพัฒนวงศ์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท สปริงนิวส์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด ผู้บริหารสถานีโทรทัศน์ดิจิตอล“SPRING NEWS ช่อง 19”กล่าวว่า การร่วมเป็นพันธมิตรกับ CNNจะทำให้ “สปริงนิวส์”สามารถออกอากาศรายการและเนื้อหาจากสถานีโทรทัศน์ CNN บรรยายข้อความใต้ภาพเป็นภาษาไทย ตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค.60 เพิ่มศักยภาพของ“สปริงนิวส์”ในอุตสาหกรรมทีวีดิจิตอล และก้าวสู่ความเป็นสถานีข่าวอันดับหนึ่ง ของประเทศไทย
ความร่วมมือครั้งนี้ มีการเจรจามาอย่างต่อเนื่อง แต่เพิ่งจะสรุปรายละเอียดต่างๆ เมื่อ 5 เดือนที่ผ่านมา ทำให้“สปริงนิวส์”เป็นสถานีโทรทัศน์แห่งแรกในเอเชีย ที่เป็นพันธมิตรในด้านต่างๆ กับ CNN อย่างเป็นทางการ เป็นเวลา 5 ปี โดย CNNยังจะเป็นที่ปรึกษา จัดฝึกอบรมให้เจ้าหน้าที่ และสามารถเข้าถึงแหล่งข้อมูลของ “สปริงนิวส์”เพื่อเสริมสร้างความแข็งแกร่งด้านการรายงานข่าวของ CNNในประเทศไทยและภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
ถือเป็นการลดต้นทุนดำเนินการได้อย่างดี เพราะทีวีดิจิตอล มีค่าใช้จ่ายมากโดยเฉพาะเรื่องขอต้นทุนค่าธรรมเนียม
"เป็นการลงทุนด้านการพัฒนาคอนเทนต์รายการข่าว เทคโนโลยีการนำเสนอ ตลอดจนบุคลากรของสปริงนิวส์ เพื่อเป็นการยกระดับของสถานีฯ เช่น ข่าวเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาที่ผ่านมา ซึ่งบางพื้นที่มีการจำกัดสิทธิ์ผู้สื่อข่าวต่างประเทศ แต่ผู้สื่อข่าวสปริงนิวส์ สามารถเข้าไปรายงานข่าวได้โดยใช้สิทธิ์ของสถานีโทรทัศน์ CNN"
แม้ว่าปัจจุบัน ผู้ชมในไทยจะรับชมรายการของสถานี CNNได้ทางสถานี “ทรูวิชั่นส์”ซึ่งถือเป็นคู่สัญญาของ CNNในประเทศไทย แต่ก็มีข้อจำกัดด้านเวลาการนำเสนอรายการบางรายการ ณ เวลาจริง ซึ่งเป็นช่วงไพรม์ไทม์ของประเทศสหรัฐอเมริกา แต่ตรงกับช่วงเวลากลางคืนของประเทศไทย ไม่มีบรรยายภาษาไทย และ ต้องชำระค่าบริการรับชมตามแพคเกจของ“ทรูวิชั่นส์”
แต่สำหรับการร่วมมือกับ“สปริงนิวส์” นอกจากนำเสนอรายการตามเวลาจริงแล้ว ยังสามารถนำกลับมาเผยแพร่ซ้ำได้ตลอดเวลา จึงทำให้ผู้ชม “สปริงนิวส์”สามารถรับชมรายการเด่นของ CNNผ่านพิธีกรชื่อดัง เช่น “แอนเดอร์สัน คูเปอร์”หรือพิธีกรผู้มีเอกลักษณ์โดดเด่นคือ “ริชาร์ด เควสท์”และอื่นๆ รวมถึงรายการข่าว Breaking News ซึ่งมีมากถึง 30-40 ครั้ง ต่อวัน
"นับจากวันที่ 1 ม.ค. 60 การทำงานของสปริงนิวส์ และ CNNจะเชื่อมโยงกันทุกด้าน เพื่อให้ผู้ชมกว่า 10 ล้านครัวเรือนในไทยได้รับประโยชน์อย่างเต็มที่" นายธนาชัย กล่าว
แหล่งข่าวจากวงการสื่อสรุปว่า ทั้งสองเหตุการณ์นี้ แม้จะต่างเรื่องราวแต่ก็ชี้ชัดว่า ทีวีดิจิตอล แข่งขันกันหนักหน่วง ใครไม่พร้อมเรื่องเงินทุนและด้อยเรื่องคอนเทนต์ จะอยู่ยากขึ้นเรื่อยๆ ต้องจับตาดูกันต่อไปว่าใครจะเป็นเหยื่อรายต่อไปที่ไปไม่รอด แล้วต้องเปิดทางให้กลุ่มทุนใหญ่เข้ามาครอบกิจการแทน