ผู้จัดการรายวัน 360 - ผบ.ตร.ชี้คลิป “เบส อรพิม" เข้าข่ายยุยงให้แตกแยก-หมิ่นประมาท แต่ต้องรอตรวจสอบอีกครั้ง สั่งจับตากลุ่มมวลชนใช้กระแสที่เกิดขึ้นปลุกปั่นให้แตกแยก ขณะนี้อยู่ระหว่างติดตามตัวผู้ต้องหนีคดีหมิ่นสถาบันที่กบดานในประเทศลาว
วานนี้ (22 พ.ย.) ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ(ผบ.ตร.) กล่าวถึงกรณีที่ นายคารม พลพรกลาง ทนายความ ได้แจ้งความดำเนินคดีกับ น.ส.อรพิม รักษาผล หรือ “เบส” นักพูดชื่อดังที่มีการพูดในลักษณะหมิ่นประมาทคนอิสานว่า เรื่องนี้จะต้องตรวจสอบข้อเท็จจริงและพยานหลักฐานว่าเข้าข่ายยุยงให้เกิดความแตกแยกหรือไม่ แต่จากที่ดูคลิปวิดีโอในเบื้องต้นส่วนตัวมองว่าน่าจะเข้าข่ายความผิด แต่ต้องตรวจรายละเอียดทั้งหมดอีกครั้ง ทั้งนี้ ตนได้สั่งการให้มีการจับตากลุ่มมวลชนที่พยายามจะใช้กระแสนี้ในการปลุกปั่นให้เกิดความแตกแยกรุนแรงขึ้น โดยอยากให้ทุกฝ่ายสามัคคีและตระหนักว่าสิ่งใดควร หรือไม่ควร
พล.ต.อ.จักรทิพย์ ยังกล่าวถึงการติดตามตัวผู้ต้องหาที่กระทำความผิดฐานหมิ่นสถาบันเบื้องสูง ตามประมวลอาญา มาตรา 112 และมีการหลบหนีไปกบดานในประเทศลาว ว่า ในระดับรัฐบาลไทยและรัฐบาลลาวน่าจะมีการพูดคุยกันอยู่แล้ว โดยผู้ต้องหาในความผิดข้อหาดังกล่าวที่หลบหนีไปยังประเทศลาวมีเป็นจำนวนมาก ทั้งการพักอาศัยแบบกระจายตัวและรวมกลุ่มกัน ส่วนจะมีการรวมกลุ่มเพื่อกระทำความผิดอีกหรือไม่นั้น ยังไม่ทราบ ขณะที่ช่องทางการส่งตัวผู้ต้องหาในคดีนี้มีหลายช่องทาง ทั้งทางการทูตและทางตำรวจสากล
*** สปป.ลาวเอาจริง กลุ่มแดงลี้ภัย
นายดอน ปรมัตถ์วินัย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศ (กต.) เปิดเผยภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ถึงกรณีประเทศสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ดำเนินการกับผู้ต้องหาคดีอาญา มาตรา112 ของประเทศไทย ด้วยการปิดคลื่นวิทยุที่คนกลุ่มดังกล่าวใช้เผยแพร่ ว่า กลุ่มดังกล่าวต้องหยุดเคลื่อนไหว เพราะทางการลาวเอาจริง ถ้าประเทศต่างๆ ให้ความร่วมมือดีเช่นนี้ ปัญหานี้ก็จะคลี่คลายลงเพราะถือเป็นความร่วมมือโดยไม่ได้ยึดถือกฎหมายของประเทศตัวเองเป็นที่ตั้ง แต่สถาบันพระมหากษัตริย์ของไทยเป็นเรื่องที่คนไทยเคารพนับถือและบางครั้งก็ถูกบิดเบือน โดยเฉพาะสื่อตะวันตกซึ่งมักพูดถึงเรื่องสิทธิมนุษยชนโดยไม่คำนึงถึงกฎหมายเฉพาะที่มีในประเทศไทย ทั้งๆ ที่แต่ละประเทศล้วนก็มีกฎหมายเฉพาะของตัวเอง เรื่องนี้ต่างชาติไม่พยายามทำความเข้าใจ บิดเบือนกันไปมา อย่างไรก็ตาม หลังจากวันที่ 13 ต.ค.ที่ผ่านมา ทุกคนต่างรับรู้ว่าคนไทยทั้งประเทศต่างโศกเศร้าเสียใจกับการสวรรคตของ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ทั้งยังรับรู้แล้วว่าไม่ได้เป็นไปตามที่กลุ่มคนสร้างปัญหาบอกกล่าว
*** “ลุงสนามหลวง” แจ้นปิดสถานี
รายงานข่าวแจ้งว่า ย้อนกลับไปเมื่อวันที่ 19 พ.ย. ได้มีแถลงการณ์ของสถานีวิทยุใต้ดินของกลุ่ม “ลุงสนามหลวง” เรื่อง ขอพักการกระจายเสียง ระบุว่า เนื่องจากสถานการณ์ภายในและภายนอกราชอาณาจักร ยังไม่เป็นที่น่าไว้วางใจ ในการนี้ได้มีหลายฝ่ายหลายภาคส่วนขอให้ทางสถานีพิจารณายุติการกระจายเสียงไปก่อน จนกว่าจะสถานการณ์จะคลี่คลายลง
สำหรับสถานีวิทยุดังกล่าวมีเจ้าของสถานีคือ นายชูชีพ ชีวะสุทธิ์ ฉายา “ลุงสนามหลวง” ที่หลบหนีคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ไปอยู่ที่ประเทศจีน ก่อนที่จะย้ายมาเช่าอพาร์ทเมนท์ อยู่ในนครหลวงเวียงจันทน์ เมืองหลวงของ สปป.ลาว และวางแผนทำวิทยุออนไลน์ใต้ดิน โดยมีนายไตรรงค์ สินสืบผล หรือ “ขุนทอง ไฟเย็น”, น.ส.รมย์ชลี สมบูรณ์รัตนกูล หรือ “แยมมี่ ไฟเย็น”, สหาย 112 ที่เป็นนักเขียนชื่อดัง และสหายยังบลัด เป็นนักจัดรายการวิทยุ
รายงานข่าวจากหนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่ง ระบุว่า เมื่อวันที่ 16 พ.ย. ที่ผ่านมา ตัวแทนกรมใหญ่ตำรวจ กระทรวงรักษาความสงบของ สปป.ลาว ได้เรียกคนไทยซึ่งเป็นกลุ่มคนเสื้อแดงใต้ดินที่หลบหนีคดีจากประเทศไทยไปเจรจา ขอให้ยุติการส่งกระจายเสียงผ่านยูทิวบ์ หากไม่เชื่อฟังจะส่งตัวกลับไปรับโทษที่ประเทศไทย ทำให้กลุ่มคนเสื้อแดงใต้ดินยอมรับเงื่อนไขยุติการออกกระจายเสียงโดยทันที เพื่อแลกกับการใช้ชีวิตอย่างสงบใน สปป. ลาว
เริ่มจากนายสุรชัย ด่านวัฒนานุสรณ์ หรือ “สุรชัย แซ่ด่าน” แกนนำกลุ่มแดงสยามที่หลบหนีคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ไปกบดานอยู่ที่บ้านพักในนครหลวงเวียงจันทน์ สปป.ลาว และเปิดสถานีวิทยุออนไลน์ โดยได้รับการช่วยเหลือจากนายจักรภพ เพ็ญแข อดีต รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี, นายจารุพงศ์ เรืองสุวรรณ และกลุ่มคนเสื้อแดงในยุโรป ยอมยุติจัดรายการตั้งแต่วันที่ 16 พ.ย. กระทั่งกลุ่มของนายชูชีพ ได้ยุติการออกอากาศเมื่อเวลา 15.00 น. ของที่ 19 พ.ย. ที่ผ่านมา
นอกจากนี้ สถานการณ์การดำรงอยู่ของกลุ่มคนเสื้อแดงใต้ดินที่หลบหนีคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ไปอยู่ที่ สปป.ลาว เริ่มมีปัญหา เนื่องจากที่ สปป.ลาว ไม่มีสำนักงานข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติ (UNHCR) เหมือนกัมพูชา ช่องทางลี้ภัยไปยังประเทศที่ 3 จึงไม่สามารถทำได้เหมือนนายเอกภพ เหลือรา หรือ “ตั้ง อาชีวะ” ที่สามารถขอลี้ภัยจากสำนักงาน UNHCR ในกัมพูชา ไปยังประเทศนิวซีแลนด์ได้
สำหรับกลุ่มผู้ต้องหาที่หลบหนีคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพยังมีนายวุฒิพงศ์ กชธรรมคุณ หรือ “โกตี๋ เรดดาร์ด” แกนนำกลุ่มคนเสื้อแดงปทุมธานี ปัจจุบันประกอบอาชีพขายก๋วยเตี๋ยว อาศัยอยู่อีกเมืองหนึ่ง ซึ่งเป็นเมืองหลวงเก่าของ สปป.ลาวอีกด้วย โดยได้รับเงินสนับสนุนจากบุคคลบางกลุ่มในเมืองไทย ทุกเดือนตัวแทนพวกเขาจะไปรับเงินเดือนผ่านหน่วยงานแห่งหนึ่งเป็นประจำ
สำหรับการเรียกตัวกลุ่มคนเสื้อแดงใต้ดินของตัวแทนกรมใหญ่ตำรวจ สปป.ลาว นั้น เกิดขึ้นในขณะเดียวกับที่ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม ไปประชุมรัฐมนตรีกลาโหมอาเซียนอย่างไม่เป็นทางการ (ADMM Retreat) ที่นครหลวงเวียงจันทน์ สปป.ลาว ระหว่างวันที่ 16-17 พ.ย. ที่ผ่านมา
*** ทหารสอบกลุ่มแจกใบปลิวต้าน คสช.
พล.ต.อ.ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (รองผบ.ตร.) กล่าวถึงกรณีกองบัญชาการตำรวจภูธรภาค (บช.ภ.) 1 และกองบัญชาการตำรวจสันติบาล (บช.ส.) ควบคุมตัวผู้ต้องสงสัย 1-3 รายในพื้นที่ อ.คลองหลวง จ.ปทุมธานี แจกใบปลิวต่อต้านคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมา ว่า เรื่องดังกล่าวยังไม่ได้มีการจับกุมใคร เพียงแต่เป็นการเชิญตัวมาสอบถามข้อเท็จจริง หลังเจ้าหน้าที่ตำรวจสืบทราบว่า บุคคลดังกล่าวมีการยุยงปลุกปั่นในลักษณะเขียนจดหมายบิดเบียน สร้างความปลุกปั่น ซึ่งตำรวจมั่นใจในพยานหลักฐาน โดยคาดว่าจะสามารถออกหมายจับได้ อย่างไรก็ตาม ผู้ต้องสงสัยทั้ง 3 รายอยู่ในการควบคุมตัวของทหารและรอให้เจ้าหน้าที่ทหารสอบปากคำก่อน
**รับ ตร.ออสซี่เตือนภัย “ไอเอส”
พล.ต.อ.ศรีวราห์ กล่าวถึงการเข้าร่วมประชุมคณะกรรมการบริหารประจำศูนย์ความร่วมมือประจำภูมิภาคกรุงเทพฯ (บีอาร์ซีที) โดยมีตำรวจออสเตรเลียและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมประชุม ว่า ทางตำรวจออสเตรเลียได้ประเมินสถานการณ์การก่อการร้าย พบว่ามีคนไทยเข้าไปเกี่ยวข้องกับขบวนการก่อการร้ายกลุมรัฐอิสลาม หรือ ไอเอส ผ่านทางเฟซบุ๊ก ที่มีการเข้าใช้เว็บไซต์ของขบวนการก่อการร้ายไอเอสกว่า 1 แสนครั้งในรอบ 1 ปีที่ผ่านมา ซึ่งความเกี่ยวข้องพบว่ามีทั้งการสนับสนุนแนวคิด การเดินทางไปประเทศซีเรีย และให้เงินสนับสนุน ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างดำเนินการคัดกรอง Username เบื้องต้นสามารถแบ่งได้เป็น 6 กลุ่ม พอทราบว่าเป็นใครและอยู่ที่ไหนบ้าง จึงได้กำชับทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าไปดูแล อาทิ กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง กองบัญชาการตำรวจภูธรภาค 9, ศูนย์ปฏิบัติการตำรวจชายแดนภาคใต้ และกองบัญชาการตำรวจสันติบาล ส่วนจำนวนคนไทยที่เข้าไปเกี่ยวจะมีกี่คนนั้น ยังไม่สามารถระบุได้ เนื่องจากในวันนี้เป็นเพียงการประชุมครั้งแรก โดยการแจ้งข้อมูลดังกล่าวไม่ได้หมายความว่าจะมีการก่อเหตุรุนแรงขึ้น เป็นเพียงการเชื่อมโยงทางข้อมูลทางเฟซบุ๊กที่ประสานข้อมูลข่าวสารและมีแนวคิดสนับสนุนเท่านั้น ทางการออสเตรเลียจึงแจ้งมาเพื่อให้ทางการไทยเฝ้าระวัง และหลังจากนี้จะรายงานผลการประชุมให้นายกรัฐมนตรีรับทราบต่อไป
ส่วนกลุ่มคนที่สนับสนุนขบวนการก่อการร้ายไอเอส จะเกี่ยวข้องกับเหตุระเบิดที่เกิดขึ้นในภาคใต้หรือไม่นั้น พล.ต.อ.ศรีวราห์ กล่าวว่า ยังไม่สามารถตอบได้ เนื่องจากเพิ่งประชุมกันครั้งแรก
** สั่ง ตร.เพิ่มความระมัดระวัง
ด้าน พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯฝ่ายความมั่นคง กล่าวถึงกรณีที่ตำรวจประเทศออสเตรเลียให้ข้อมูลมีกลุ่มคนไทยบางส่วนเข้าไปเกี่ยวข้องสนับสนุนเงินทุนในการเคลื่อนไหวของกลุ่มไอเอส ว่าเป็นการแลกเปลี่ยนข้อมูลกับตำรวจออสเตรเลียที่พบว่ามีคนไทยติดตามเครือข่ายโซเชียลมีเดียของกลุ่มไอเอสอยู่ แต่ยังไม่พบการเชื่อมโยงข้อมูลที่ชัดเจน และตนทราบข้อมูลดังกล่าวมาก่อนแล้ว ต้องให้ตำรวจสันติบาล สำนักงานตำรวจตรวจคนเข้าเมือง เพิ่มความระมัดระวัง ทุกประเทศต้องระมัดระวัง และในกลุ่มอาเซียนก็ได้มีความร่วมมือป้องกันอยู่แล้ว เนื่องจากกรณีไอเอสมีความเกี่ยวข้องกับเรื่องศาสนาด้วย
“ต้องเพิ่มความระมัดระวังเพราะทุกประเทศก็ต้องระมัดระวังซึ่งในอาเซียนมีการพูดคุยกันอยู่แล้ว และเป็นเรื่องของศาสนาด้วยต้องช่วยกันดู ซึ่งทุกหน่วยงานในไทยช่วยกันดูเรื่องนี้อยู่แล้ว” พล.อ.ประวิตร ระบุ
ด้าน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีระบุว่า เป็นการให้ข้อมูลของตำรวจออสเตรเลีย เราก็ตรวจสอบ เราก็เตรียมการป้องกันเตรียมการจับกุม เป็นเรื่องของฝ่ายความมั่นคงดำเนินการ.
"เราก็ตรวจสอบ เราก็เตรียมการป้องกันเตรียมการจับกุมอะไรก็แล้วแต่ มันเป็นผลกระทบกับคนทั้งโลก ทุกประเทศก็มีปัญหานี้หมด ดังนั้นเราก็ให้เป็นเรื่องของฝ่ายความมั่นคงดำเนินการ" พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว.
.
วานนี้ (22 พ.ย.) ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ(ผบ.ตร.) กล่าวถึงกรณีที่ นายคารม พลพรกลาง ทนายความ ได้แจ้งความดำเนินคดีกับ น.ส.อรพิม รักษาผล หรือ “เบส” นักพูดชื่อดังที่มีการพูดในลักษณะหมิ่นประมาทคนอิสานว่า เรื่องนี้จะต้องตรวจสอบข้อเท็จจริงและพยานหลักฐานว่าเข้าข่ายยุยงให้เกิดความแตกแยกหรือไม่ แต่จากที่ดูคลิปวิดีโอในเบื้องต้นส่วนตัวมองว่าน่าจะเข้าข่ายความผิด แต่ต้องตรวจรายละเอียดทั้งหมดอีกครั้ง ทั้งนี้ ตนได้สั่งการให้มีการจับตากลุ่มมวลชนที่พยายามจะใช้กระแสนี้ในการปลุกปั่นให้เกิดความแตกแยกรุนแรงขึ้น โดยอยากให้ทุกฝ่ายสามัคคีและตระหนักว่าสิ่งใดควร หรือไม่ควร
พล.ต.อ.จักรทิพย์ ยังกล่าวถึงการติดตามตัวผู้ต้องหาที่กระทำความผิดฐานหมิ่นสถาบันเบื้องสูง ตามประมวลอาญา มาตรา 112 และมีการหลบหนีไปกบดานในประเทศลาว ว่า ในระดับรัฐบาลไทยและรัฐบาลลาวน่าจะมีการพูดคุยกันอยู่แล้ว โดยผู้ต้องหาในความผิดข้อหาดังกล่าวที่หลบหนีไปยังประเทศลาวมีเป็นจำนวนมาก ทั้งการพักอาศัยแบบกระจายตัวและรวมกลุ่มกัน ส่วนจะมีการรวมกลุ่มเพื่อกระทำความผิดอีกหรือไม่นั้น ยังไม่ทราบ ขณะที่ช่องทางการส่งตัวผู้ต้องหาในคดีนี้มีหลายช่องทาง ทั้งทางการทูตและทางตำรวจสากล
*** สปป.ลาวเอาจริง กลุ่มแดงลี้ภัย
นายดอน ปรมัตถ์วินัย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศ (กต.) เปิดเผยภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ถึงกรณีประเทศสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ดำเนินการกับผู้ต้องหาคดีอาญา มาตรา112 ของประเทศไทย ด้วยการปิดคลื่นวิทยุที่คนกลุ่มดังกล่าวใช้เผยแพร่ ว่า กลุ่มดังกล่าวต้องหยุดเคลื่อนไหว เพราะทางการลาวเอาจริง ถ้าประเทศต่างๆ ให้ความร่วมมือดีเช่นนี้ ปัญหานี้ก็จะคลี่คลายลงเพราะถือเป็นความร่วมมือโดยไม่ได้ยึดถือกฎหมายของประเทศตัวเองเป็นที่ตั้ง แต่สถาบันพระมหากษัตริย์ของไทยเป็นเรื่องที่คนไทยเคารพนับถือและบางครั้งก็ถูกบิดเบือน โดยเฉพาะสื่อตะวันตกซึ่งมักพูดถึงเรื่องสิทธิมนุษยชนโดยไม่คำนึงถึงกฎหมายเฉพาะที่มีในประเทศไทย ทั้งๆ ที่แต่ละประเทศล้วนก็มีกฎหมายเฉพาะของตัวเอง เรื่องนี้ต่างชาติไม่พยายามทำความเข้าใจ บิดเบือนกันไปมา อย่างไรก็ตาม หลังจากวันที่ 13 ต.ค.ที่ผ่านมา ทุกคนต่างรับรู้ว่าคนไทยทั้งประเทศต่างโศกเศร้าเสียใจกับการสวรรคตของ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ทั้งยังรับรู้แล้วว่าไม่ได้เป็นไปตามที่กลุ่มคนสร้างปัญหาบอกกล่าว
*** “ลุงสนามหลวง” แจ้นปิดสถานี
รายงานข่าวแจ้งว่า ย้อนกลับไปเมื่อวันที่ 19 พ.ย. ได้มีแถลงการณ์ของสถานีวิทยุใต้ดินของกลุ่ม “ลุงสนามหลวง” เรื่อง ขอพักการกระจายเสียง ระบุว่า เนื่องจากสถานการณ์ภายในและภายนอกราชอาณาจักร ยังไม่เป็นที่น่าไว้วางใจ ในการนี้ได้มีหลายฝ่ายหลายภาคส่วนขอให้ทางสถานีพิจารณายุติการกระจายเสียงไปก่อน จนกว่าจะสถานการณ์จะคลี่คลายลง
สำหรับสถานีวิทยุดังกล่าวมีเจ้าของสถานีคือ นายชูชีพ ชีวะสุทธิ์ ฉายา “ลุงสนามหลวง” ที่หลบหนีคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ไปอยู่ที่ประเทศจีน ก่อนที่จะย้ายมาเช่าอพาร์ทเมนท์ อยู่ในนครหลวงเวียงจันทน์ เมืองหลวงของ สปป.ลาว และวางแผนทำวิทยุออนไลน์ใต้ดิน โดยมีนายไตรรงค์ สินสืบผล หรือ “ขุนทอง ไฟเย็น”, น.ส.รมย์ชลี สมบูรณ์รัตนกูล หรือ “แยมมี่ ไฟเย็น”, สหาย 112 ที่เป็นนักเขียนชื่อดัง และสหายยังบลัด เป็นนักจัดรายการวิทยุ
รายงานข่าวจากหนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่ง ระบุว่า เมื่อวันที่ 16 พ.ย. ที่ผ่านมา ตัวแทนกรมใหญ่ตำรวจ กระทรวงรักษาความสงบของ สปป.ลาว ได้เรียกคนไทยซึ่งเป็นกลุ่มคนเสื้อแดงใต้ดินที่หลบหนีคดีจากประเทศไทยไปเจรจา ขอให้ยุติการส่งกระจายเสียงผ่านยูทิวบ์ หากไม่เชื่อฟังจะส่งตัวกลับไปรับโทษที่ประเทศไทย ทำให้กลุ่มคนเสื้อแดงใต้ดินยอมรับเงื่อนไขยุติการออกกระจายเสียงโดยทันที เพื่อแลกกับการใช้ชีวิตอย่างสงบใน สปป. ลาว
เริ่มจากนายสุรชัย ด่านวัฒนานุสรณ์ หรือ “สุรชัย แซ่ด่าน” แกนนำกลุ่มแดงสยามที่หลบหนีคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ไปกบดานอยู่ที่บ้านพักในนครหลวงเวียงจันทน์ สปป.ลาว และเปิดสถานีวิทยุออนไลน์ โดยได้รับการช่วยเหลือจากนายจักรภพ เพ็ญแข อดีต รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี, นายจารุพงศ์ เรืองสุวรรณ และกลุ่มคนเสื้อแดงในยุโรป ยอมยุติจัดรายการตั้งแต่วันที่ 16 พ.ย. กระทั่งกลุ่มของนายชูชีพ ได้ยุติการออกอากาศเมื่อเวลา 15.00 น. ของที่ 19 พ.ย. ที่ผ่านมา
นอกจากนี้ สถานการณ์การดำรงอยู่ของกลุ่มคนเสื้อแดงใต้ดินที่หลบหนีคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ไปอยู่ที่ สปป.ลาว เริ่มมีปัญหา เนื่องจากที่ สปป.ลาว ไม่มีสำนักงานข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติ (UNHCR) เหมือนกัมพูชา ช่องทางลี้ภัยไปยังประเทศที่ 3 จึงไม่สามารถทำได้เหมือนนายเอกภพ เหลือรา หรือ “ตั้ง อาชีวะ” ที่สามารถขอลี้ภัยจากสำนักงาน UNHCR ในกัมพูชา ไปยังประเทศนิวซีแลนด์ได้
สำหรับกลุ่มผู้ต้องหาที่หลบหนีคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพยังมีนายวุฒิพงศ์ กชธรรมคุณ หรือ “โกตี๋ เรดดาร์ด” แกนนำกลุ่มคนเสื้อแดงปทุมธานี ปัจจุบันประกอบอาชีพขายก๋วยเตี๋ยว อาศัยอยู่อีกเมืองหนึ่ง ซึ่งเป็นเมืองหลวงเก่าของ สปป.ลาวอีกด้วย โดยได้รับเงินสนับสนุนจากบุคคลบางกลุ่มในเมืองไทย ทุกเดือนตัวแทนพวกเขาจะไปรับเงินเดือนผ่านหน่วยงานแห่งหนึ่งเป็นประจำ
สำหรับการเรียกตัวกลุ่มคนเสื้อแดงใต้ดินของตัวแทนกรมใหญ่ตำรวจ สปป.ลาว นั้น เกิดขึ้นในขณะเดียวกับที่ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม ไปประชุมรัฐมนตรีกลาโหมอาเซียนอย่างไม่เป็นทางการ (ADMM Retreat) ที่นครหลวงเวียงจันทน์ สปป.ลาว ระหว่างวันที่ 16-17 พ.ย. ที่ผ่านมา
*** ทหารสอบกลุ่มแจกใบปลิวต้าน คสช.
พล.ต.อ.ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (รองผบ.ตร.) กล่าวถึงกรณีกองบัญชาการตำรวจภูธรภาค (บช.ภ.) 1 และกองบัญชาการตำรวจสันติบาล (บช.ส.) ควบคุมตัวผู้ต้องสงสัย 1-3 รายในพื้นที่ อ.คลองหลวง จ.ปทุมธานี แจกใบปลิวต่อต้านคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมา ว่า เรื่องดังกล่าวยังไม่ได้มีการจับกุมใคร เพียงแต่เป็นการเชิญตัวมาสอบถามข้อเท็จจริง หลังเจ้าหน้าที่ตำรวจสืบทราบว่า บุคคลดังกล่าวมีการยุยงปลุกปั่นในลักษณะเขียนจดหมายบิดเบียน สร้างความปลุกปั่น ซึ่งตำรวจมั่นใจในพยานหลักฐาน โดยคาดว่าจะสามารถออกหมายจับได้ อย่างไรก็ตาม ผู้ต้องสงสัยทั้ง 3 รายอยู่ในการควบคุมตัวของทหารและรอให้เจ้าหน้าที่ทหารสอบปากคำก่อน
**รับ ตร.ออสซี่เตือนภัย “ไอเอส”
พล.ต.อ.ศรีวราห์ กล่าวถึงการเข้าร่วมประชุมคณะกรรมการบริหารประจำศูนย์ความร่วมมือประจำภูมิภาคกรุงเทพฯ (บีอาร์ซีที) โดยมีตำรวจออสเตรเลียและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมประชุม ว่า ทางตำรวจออสเตรเลียได้ประเมินสถานการณ์การก่อการร้าย พบว่ามีคนไทยเข้าไปเกี่ยวข้องกับขบวนการก่อการร้ายกลุมรัฐอิสลาม หรือ ไอเอส ผ่านทางเฟซบุ๊ก ที่มีการเข้าใช้เว็บไซต์ของขบวนการก่อการร้ายไอเอสกว่า 1 แสนครั้งในรอบ 1 ปีที่ผ่านมา ซึ่งความเกี่ยวข้องพบว่ามีทั้งการสนับสนุนแนวคิด การเดินทางไปประเทศซีเรีย และให้เงินสนับสนุน ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างดำเนินการคัดกรอง Username เบื้องต้นสามารถแบ่งได้เป็น 6 กลุ่ม พอทราบว่าเป็นใครและอยู่ที่ไหนบ้าง จึงได้กำชับทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าไปดูแล อาทิ กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง กองบัญชาการตำรวจภูธรภาค 9, ศูนย์ปฏิบัติการตำรวจชายแดนภาคใต้ และกองบัญชาการตำรวจสันติบาล ส่วนจำนวนคนไทยที่เข้าไปเกี่ยวจะมีกี่คนนั้น ยังไม่สามารถระบุได้ เนื่องจากในวันนี้เป็นเพียงการประชุมครั้งแรก โดยการแจ้งข้อมูลดังกล่าวไม่ได้หมายความว่าจะมีการก่อเหตุรุนแรงขึ้น เป็นเพียงการเชื่อมโยงทางข้อมูลทางเฟซบุ๊กที่ประสานข้อมูลข่าวสารและมีแนวคิดสนับสนุนเท่านั้น ทางการออสเตรเลียจึงแจ้งมาเพื่อให้ทางการไทยเฝ้าระวัง และหลังจากนี้จะรายงานผลการประชุมให้นายกรัฐมนตรีรับทราบต่อไป
ส่วนกลุ่มคนที่สนับสนุนขบวนการก่อการร้ายไอเอส จะเกี่ยวข้องกับเหตุระเบิดที่เกิดขึ้นในภาคใต้หรือไม่นั้น พล.ต.อ.ศรีวราห์ กล่าวว่า ยังไม่สามารถตอบได้ เนื่องจากเพิ่งประชุมกันครั้งแรก
** สั่ง ตร.เพิ่มความระมัดระวัง
ด้าน พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯฝ่ายความมั่นคง กล่าวถึงกรณีที่ตำรวจประเทศออสเตรเลียให้ข้อมูลมีกลุ่มคนไทยบางส่วนเข้าไปเกี่ยวข้องสนับสนุนเงินทุนในการเคลื่อนไหวของกลุ่มไอเอส ว่าเป็นการแลกเปลี่ยนข้อมูลกับตำรวจออสเตรเลียที่พบว่ามีคนไทยติดตามเครือข่ายโซเชียลมีเดียของกลุ่มไอเอสอยู่ แต่ยังไม่พบการเชื่อมโยงข้อมูลที่ชัดเจน และตนทราบข้อมูลดังกล่าวมาก่อนแล้ว ต้องให้ตำรวจสันติบาล สำนักงานตำรวจตรวจคนเข้าเมือง เพิ่มความระมัดระวัง ทุกประเทศต้องระมัดระวัง และในกลุ่มอาเซียนก็ได้มีความร่วมมือป้องกันอยู่แล้ว เนื่องจากกรณีไอเอสมีความเกี่ยวข้องกับเรื่องศาสนาด้วย
“ต้องเพิ่มความระมัดระวังเพราะทุกประเทศก็ต้องระมัดระวังซึ่งในอาเซียนมีการพูดคุยกันอยู่แล้ว และเป็นเรื่องของศาสนาด้วยต้องช่วยกันดู ซึ่งทุกหน่วยงานในไทยช่วยกันดูเรื่องนี้อยู่แล้ว” พล.อ.ประวิตร ระบุ
ด้าน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีระบุว่า เป็นการให้ข้อมูลของตำรวจออสเตรเลีย เราก็ตรวจสอบ เราก็เตรียมการป้องกันเตรียมการจับกุม เป็นเรื่องของฝ่ายความมั่นคงดำเนินการ.
"เราก็ตรวจสอบ เราก็เตรียมการป้องกันเตรียมการจับกุมอะไรก็แล้วแต่ มันเป็นผลกระทบกับคนทั้งโลก ทุกประเทศก็มีปัญหานี้หมด ดังนั้นเราก็ให้เป็นเรื่องของฝ่ายความมั่นคงดำเนินการ" พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว.
.