ผู้สื่อข่าวรายงานภารกิจ พล.อ.ประจิน จั่นตอง รองนายกรัฐมนตรี ที่เดินทางไปร่วมประชุมผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปก ครั้งที่ 24 ณ กรุงลิมา สาธารณรัฐเปรูว่า ได้มีการหารือกับกลุ่มพันธมิตรทางธุรกิจสหรัฐอเมริกา–เอเปก (U.S.–APEC Business Coalition)โดยรองนายกฯ มีความยินดีที่ได้พบกับกลุ่มพันธมิตรทางธุรกิจสหรัฐอเมริกา–เอเปก ซึ่งมีคณะนักธุรกิจสหรัฐฯ จากกว่า 20 บริษัทชั้นนำจากหลายสาขาธุรกิจ อาทิ เหมืองแร่ พลังงาน การเงิน การตลาด และสุขภาพ
รองนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ยินดีที่ได้เป็นตัวแทนนายกรัฐมนตรี เข้าร่วมการหารือในครั้งนี้ ถึงแม้ว่าไทยจะประสบการสูญเสียอันยิ่งใหญ่ แต่ก็ทำให้เห็นและตระหนักได้ว่าไทยยังมีเพื่อนอยู่ทั่วทุกมุมโลกที่ได้เดินทางมาวางพวงมาลาถวายราชสักการะพระบรมศพ และลงนามแสดงความอาลัย โดยไทยพร้อมร่วมมือกับทุกประเทศ เพื่อเดินหน้าไปสู่ความรุ่งเรืองและการพัฒนาอย่างยั่งยืน ดังที่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ทรงให้แนวทางไว้
โอกาสนี้ รองนายกรัฐมนตรี ได้กล่าวแบ่งปันความรู้และประสบการณ์เกี่ยวกับนโยบายด้านเศรษฐกิจของรัฐบาลกับภาคเอกชน และการเตรียมพร้อมรับมือกับการเปลี่ยนแปลงด้านเศรษฐกิจโลกของไทยจากการคาดการณ์ว่าเศรษฐกิจโลก จะมีเสถียรภาพมากขึ้นในปี พ.ศ. 2560 นั้น ประเทศไทยยังคงเดินหน้าสู่ประชาธิปไตย และการปฏิรูปประเทศอย่างรอบด้าน
พล.อ.อ.ประจิน กล่าวว่า เชื่อมั่นว่า การปฏิรูปประเทศอย่างต่อเนื่อง และกลยุทธ์ทางเศรษฐกิจใหม่ไทย หรือที่เรียกว่า ประเทศไทย 4.0 จะช่วยให้ไทยพร้อมรับกับความท้าทายใหม่ๆ รวมทั้งใช้ประโยชน์จากโอกาสใหม่ที่จะเกิดขึ้น เพื่อผลประโยชน์ของทั้งภาครัฐและภาคเอกชน สำหรับนโยบายประเทศไทย 4.0 คือ ยุทธศาสตร์ทางเศรษฐกิจของชาติ ที่มุ่งเพิ่มศักยภาพในการแข่งขันของประเทศ ให้หลุดพ้นจากกับดักประเทศรายได้ปานกลาง โดยการปฏิรูปด้านการเมือง โดยกำหนด 10 อุตสาหกรรมแห่งอนาคต หรือ S-Curveเพื่อกำหนดแนวทางที่ชัดเจนสำหรับการพัฒนาและความร่วมมืออื่นๆ
ส่วนโครงสร้างพื้นฐานรัฐบาลได้ลงทุนเป็นจำนวนมาก เพื่อพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านกายภาพ และโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิตอล ของประเทศ โดยมีแผนที่จะลงทุนกว่า 5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ในการยกระดับและพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานในอีก 5 ปีข้างหน้า ทั้งทางด่วนยกระดับ ถนน รถไฟฟ้าความเร็วสูง และรางคู่ เป็นต้น รวมทั้งขยายระบบการเดินทางขนส่ง ทั้งทางเรือ และอากาศ เพื่ออำนวยความสะดวกในการขนส่งสินค้าและบริการ
ด้านเศรษฐกิจดิจิทัล รัฐบาลมีแผนในการพัฒนาInternet Gateway โดยได้ลงทุนในสายเคเบิลใต้น้ำใยแก้ว ที่จะเชื่อมโยงประเทศไทยกับอินเทอร์เน็ตโดยตรง ซึ่งนี้จะช่วยให้ไทยกลายเป็นศูนย์กลางด้านดิจิตอลของอาเซียน นอกจากนี้รัฐบาลพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานอินเทอร์เน็ต ให้ครอบคลุมทั่วประเทศ ไปยังหมู่บ้านในพื้นที่ชนบท ซึ่งจะทำให้ประชาชนสามารถทำการค้าขายได้แบบพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ และยังได้พัฒนาระบบการชำระเงินแบบอิเล็กทรอนิกส์แห่งชาติ ซึ่งจะช่วยให้การทำธุรกรรมมีความปลอดภัย และลดค่าใช้จ่ายการทำธุรกรรมระหว่างหน่วยงาน ธุรกิจ และบุคคล
ทั้งนี้ โมเดลThailand 4.0 และ 10 อุตสาหกรรมเป้าหมายการต่อยอด 5 อุตสาหกรรมเดิมที่มีศักยภาพ ประกอบด้วย 1. อุตสาหกรรมยานยนต์สมัยใหม่ 2. อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ 3. อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวกลุ่มรายได้ดีและการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ 4.การเกษตรและเทคโนโลยีชีวภาพ 5.อุตสาหกรรมการแปรรูปอาหาร และการเติม 5 อุตสาหกรรมอนาคต (New S-curve)ประกอบด้วย 1. อุตสาหกรรมหุ่นยนต์ 2. อุตสาหกรรมการบินและโลจิสติกส์ 3. อุตสาหกรรมเชื้อเพลิงชีวภาพและเคมีชีวภาพ 4. อุตสาหกรรมดิจิตอล 5. อุตสาหกรรมการแพทย์ครบวงจร
ทั้ง 10 อุตสาหกรรมดังกล่าวเป็นอุตสาหกรรมที่มีศักยภาพและเป็นที่สนใจของนักลงทุนทั่วโลก ซึ่งจะมีบทบาทสำคัญในการผลักดันเศรษฐกิจของไทยในอนาคตการอำนวยความสะดวกในการประกอบธุรกิจรัฐบาลได้ดำเนินการเพื่อให้ประเทศไทยเป็นประเทศที่มีความสะดวกในการประกอบธุรกิจ มีการปฏิรูปภาษีและศุลกากร รวมถึงการขจัดปัญหาคอร์รัปชัน
โอกาสนี้US-APEC แสดงความขอบคุณที่รองนายกรัฐมนตรี เปิดโอกาสให้เข้าพบ และได้แสดงวิสัยทัศน์เกี่ยวกับนโยบายเศรษฐกิจไทย และกล่าวแสดงความเสียใจต่อความสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่ของประชาชนชาวไทย US-APECแสดงความเชื่อมั่นในศักยภาพของไทย และยินดีที่จะลงทุนในไทยอย่างต่อเนื่อง โดยเห็นว่าไทยเป็นศูนย์กลางการค้าการลงทุนในภูมิภาคอาเซียนที่สำคัญ และมีศักยภาพทางเศรษฐกิจอีกมาก พร้อมแสดงความชื่นชมนโยบายประเทศไทย 4.0 และเศรษฐกิจดิจิทัล ที่เป็นนโยบายสำคัญซึ่งจะช่วยพัฒนาประเทศไทยในอนาคต
จากนั้นพล.อ.อ.ประจิน ได้พบกับนายมาร์ค ซัคเคอร์เบิร์ก ซีอีโอเฟซบุ๊ก ระหว่างการเข้าร่วมการประชุมผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปกครั้งนี้ จึงถือโอกาสเชิญชวนมาเยือนเมืองไทย ในช่วงต้นปี 2560 ด้านนายมาร์ค ตอบรับว่า หากมีโอกาส ก็ยินดีมาเมืองไทย
รองนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ยินดีที่ได้เป็นตัวแทนนายกรัฐมนตรี เข้าร่วมการหารือในครั้งนี้ ถึงแม้ว่าไทยจะประสบการสูญเสียอันยิ่งใหญ่ แต่ก็ทำให้เห็นและตระหนักได้ว่าไทยยังมีเพื่อนอยู่ทั่วทุกมุมโลกที่ได้เดินทางมาวางพวงมาลาถวายราชสักการะพระบรมศพ และลงนามแสดงความอาลัย โดยไทยพร้อมร่วมมือกับทุกประเทศ เพื่อเดินหน้าไปสู่ความรุ่งเรืองและการพัฒนาอย่างยั่งยืน ดังที่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ทรงให้แนวทางไว้
โอกาสนี้ รองนายกรัฐมนตรี ได้กล่าวแบ่งปันความรู้และประสบการณ์เกี่ยวกับนโยบายด้านเศรษฐกิจของรัฐบาลกับภาคเอกชน และการเตรียมพร้อมรับมือกับการเปลี่ยนแปลงด้านเศรษฐกิจโลกของไทยจากการคาดการณ์ว่าเศรษฐกิจโลก จะมีเสถียรภาพมากขึ้นในปี พ.ศ. 2560 นั้น ประเทศไทยยังคงเดินหน้าสู่ประชาธิปไตย และการปฏิรูปประเทศอย่างรอบด้าน
พล.อ.อ.ประจิน กล่าวว่า เชื่อมั่นว่า การปฏิรูปประเทศอย่างต่อเนื่อง และกลยุทธ์ทางเศรษฐกิจใหม่ไทย หรือที่เรียกว่า ประเทศไทย 4.0 จะช่วยให้ไทยพร้อมรับกับความท้าทายใหม่ๆ รวมทั้งใช้ประโยชน์จากโอกาสใหม่ที่จะเกิดขึ้น เพื่อผลประโยชน์ของทั้งภาครัฐและภาคเอกชน สำหรับนโยบายประเทศไทย 4.0 คือ ยุทธศาสตร์ทางเศรษฐกิจของชาติ ที่มุ่งเพิ่มศักยภาพในการแข่งขันของประเทศ ให้หลุดพ้นจากกับดักประเทศรายได้ปานกลาง โดยการปฏิรูปด้านการเมือง โดยกำหนด 10 อุตสาหกรรมแห่งอนาคต หรือ S-Curveเพื่อกำหนดแนวทางที่ชัดเจนสำหรับการพัฒนาและความร่วมมืออื่นๆ
ส่วนโครงสร้างพื้นฐานรัฐบาลได้ลงทุนเป็นจำนวนมาก เพื่อพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านกายภาพ และโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิตอล ของประเทศ โดยมีแผนที่จะลงทุนกว่า 5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ในการยกระดับและพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานในอีก 5 ปีข้างหน้า ทั้งทางด่วนยกระดับ ถนน รถไฟฟ้าความเร็วสูง และรางคู่ เป็นต้น รวมทั้งขยายระบบการเดินทางขนส่ง ทั้งทางเรือ และอากาศ เพื่ออำนวยความสะดวกในการขนส่งสินค้าและบริการ
ด้านเศรษฐกิจดิจิทัล รัฐบาลมีแผนในการพัฒนาInternet Gateway โดยได้ลงทุนในสายเคเบิลใต้น้ำใยแก้ว ที่จะเชื่อมโยงประเทศไทยกับอินเทอร์เน็ตโดยตรง ซึ่งนี้จะช่วยให้ไทยกลายเป็นศูนย์กลางด้านดิจิตอลของอาเซียน นอกจากนี้รัฐบาลพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานอินเทอร์เน็ต ให้ครอบคลุมทั่วประเทศ ไปยังหมู่บ้านในพื้นที่ชนบท ซึ่งจะทำให้ประชาชนสามารถทำการค้าขายได้แบบพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ และยังได้พัฒนาระบบการชำระเงินแบบอิเล็กทรอนิกส์แห่งชาติ ซึ่งจะช่วยให้การทำธุรกรรมมีความปลอดภัย และลดค่าใช้จ่ายการทำธุรกรรมระหว่างหน่วยงาน ธุรกิจ และบุคคล
ทั้งนี้ โมเดลThailand 4.0 และ 10 อุตสาหกรรมเป้าหมายการต่อยอด 5 อุตสาหกรรมเดิมที่มีศักยภาพ ประกอบด้วย 1. อุตสาหกรรมยานยนต์สมัยใหม่ 2. อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ 3. อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวกลุ่มรายได้ดีและการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ 4.การเกษตรและเทคโนโลยีชีวภาพ 5.อุตสาหกรรมการแปรรูปอาหาร และการเติม 5 อุตสาหกรรมอนาคต (New S-curve)ประกอบด้วย 1. อุตสาหกรรมหุ่นยนต์ 2. อุตสาหกรรมการบินและโลจิสติกส์ 3. อุตสาหกรรมเชื้อเพลิงชีวภาพและเคมีชีวภาพ 4. อุตสาหกรรมดิจิตอล 5. อุตสาหกรรมการแพทย์ครบวงจร
ทั้ง 10 อุตสาหกรรมดังกล่าวเป็นอุตสาหกรรมที่มีศักยภาพและเป็นที่สนใจของนักลงทุนทั่วโลก ซึ่งจะมีบทบาทสำคัญในการผลักดันเศรษฐกิจของไทยในอนาคตการอำนวยความสะดวกในการประกอบธุรกิจรัฐบาลได้ดำเนินการเพื่อให้ประเทศไทยเป็นประเทศที่มีความสะดวกในการประกอบธุรกิจ มีการปฏิรูปภาษีและศุลกากร รวมถึงการขจัดปัญหาคอร์รัปชัน
โอกาสนี้US-APEC แสดงความขอบคุณที่รองนายกรัฐมนตรี เปิดโอกาสให้เข้าพบ และได้แสดงวิสัยทัศน์เกี่ยวกับนโยบายเศรษฐกิจไทย และกล่าวแสดงความเสียใจต่อความสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่ของประชาชนชาวไทย US-APECแสดงความเชื่อมั่นในศักยภาพของไทย และยินดีที่จะลงทุนในไทยอย่างต่อเนื่อง โดยเห็นว่าไทยเป็นศูนย์กลางการค้าการลงทุนในภูมิภาคอาเซียนที่สำคัญ และมีศักยภาพทางเศรษฐกิจอีกมาก พร้อมแสดงความชื่นชมนโยบายประเทศไทย 4.0 และเศรษฐกิจดิจิทัล ที่เป็นนโยบายสำคัญซึ่งจะช่วยพัฒนาประเทศไทยในอนาคต
จากนั้นพล.อ.อ.ประจิน ได้พบกับนายมาร์ค ซัคเคอร์เบิร์ก ซีอีโอเฟซบุ๊ก ระหว่างการเข้าร่วมการประชุมผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปกครั้งนี้ จึงถือโอกาสเชิญชวนมาเยือนเมืองไทย ในช่วงต้นปี 2560 ด้านนายมาร์ค ตอบรับว่า หากมีโอกาส ก็ยินดีมาเมืองไทย