xs
xsm
sm
md
lg

นายกฯน้อมนำ “ศาสตร์พระราชา” แก้ปัญหาชาวนา หนุนรวมกลุ่มให้เข้มแข็ง

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online


“ประยุทธ์” เผยน้อมนำ “ศาสตร์พระราชา” แก้ปัญหาชาวนา ตั้งแต่ต้นทางยันปลายทาง แนะรวมกลุ่มให้เข้มแข็ง เพิ่มอำนาจต่อรองโรงสี ยันไม่คิดทำลายการปลูกข้าวแบบดั้งเดิม แต่เพื่อแก้ปัญหาอย่างยั่งยืน ต้องครบวงจร ตั้งแต่ปลูก - แปรรูป - การตลาด พร้อมเผยไม่ใช้การทหารแก้ปัญหาจังหวัดชายแดนใต้ เน้นการพัฒนา สร้างความข้าใจ และความร่วมมือ

วันที่ 4 พ.ย. เมื่อเวลา 20.15 น. พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี กล่าวในรายการ “ศาสตร์พระราชา สู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน” ออกอากาศทางโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทย ตอนหนึ่งว่า นับแต่ในอดีตจนถึงปัจจุบัน เกษตรกรชาวนายังคงประสบปัญหาราคาข้าวตกต่ำบ่อยครั้ง ส่วนใหญ่เป็นปัญหาเชิงโครงสร้าง เช่น ปริมาณผลผลิตที่มากเกินความต้องการของตลาด การถูกกดราคาจากพ่อค้าคนกลาง มีต้นทุนการผลิตที่สูงมีคุณภาพที่ต่ำ มีภัยพิบัติทางธรรมชาติ น้ำท่วม น้ำแล้ง การปลูกข้าวในพื้นที่ไม่เหมาะสมนั้นเป็นอีกผลหนึ่ง ทำให้ได้ข้าวคุณภาพต่ำ ข้าวที่มีความชื้นสูง อีกทั้งการปลูกพืชเชิงเดี่ยว คือ ทำนาข้าวแต่เพียงอย่างเดียวอาจจะไม่เพียงพอต่อการเลี้ยงชีพในปัจจุบัน เหล่านี้ เป็นต้น รวมถึงการรวมกลุ่มเกษตรกรที่ยังไม่เข้มแข็งนัก ทำให้ขาดอำนาจต่อรองกับโรงสีและพ่อค้าคนกลาง ขาดการคิดค้นผลิตนวัตกรรมข้าวในการเพิ่มมูลค่า ให้กับผลผลิตข้าว ปัญหาต่าง ๆ เหล่านี้ จะส่งผลให้รายได้ของชาวนาไม่มั่นคง ตลอดจนต้องกู้หนี้ยืมสิน ตั้งแต่เริ่มกระบวนการปลูกข้าว จนถึงการเก็บเกี่ยว ทำให้ชักหน้าไม่ถึงหลัง ถึงขั้นต้องขายที่นา และหลายครอบครัวต้องละทิ้งอาชีพชาวนา ในที่สุดเป็นอันตราย

พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวต่อว่า ทุกแนวทางการแก้ปัญหาแก่ชาวนาไทย ทั้งมาตรการเฉพาะหน้า และมาตรการยั่งยืน ของรัฐบาลนี้ ได้น้อมนำ “ศาสตร์พระราชา” อันเป็น 1 ในหลักการทรงงาน ก็คือ “การศึกษาอย่างเป็นระบบ” ตั้งแต่ “ต้นทาง” เช่น ที่ดิน แหล่งน้ำ ลมฟ้าอากาศ องค์ความรู้ ปัจจัยการผลิต เมล็ดพันธุ์ ยากำจัดศัตรูพืชและปุ๋ย เป็นต้น “กลางทาง” เช่น แหล่งทุน เครื่องจักรกลการเกษตร โรงสี การแปรรูป และการสร้างนวัตกรรม “ปลายทาง” เช่น ตลาดในประเทศ การส่งออกต่างประเทศ เราต้องทำให้เกิดห่วงโซ่คุณค่าเหล่านี้ และการประกันพืชผล เหล่านี้เป็นต้น ทั้งนี้ ย่อมต้องอาศัยข้อมูลพื้นฐาน จากเอกสาร งานวิจัยต่าง ๆ แผนที่ การสอบถามจากเจ้าหน้าที่ นักวิชาการ และสอบถามจากราษฎรในแต่ละท้องถิ่น เพื่อรัฐบาลจะได้รายละเอียดที่ถูกต้อง สำหรับกำหนดมาตรการช่วยเหลือ ได้อย่างแม่นยำ รวดเร็ว และสอดคล้องกับสภาพภูมิศาสตร์สังคม รวมทั้ง ปรับปรุง แก้ไขกรณีศึกษา เพื่อหลีกเลี่ยงข้อผิดพลาด ไม่ให้ซ้ำรอยนโยบายในอดีต

นายกฯ ยังกล่าวต่ออีกว่า สำหรับการแก้ไขปัญหาระยะสั้น ยังคงมีความจำเป็น เนื่องจากช่วยแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า ให้ชาวนากินอิ่ม นอนหลับ มีทุน มีแรงทำงานให้ได้ก่อน แล้วสร้างความเข้มแข็ง อย่างเป็นขั้นเป็นตอนต่อไป ซึ่งปัจจุบัน รัฐบาลนี้ให้ความสำคัญอย่างมาก กับการแก้ปัญหาราคาข้าวตกต่ำ โดยมีมติเห็นชอบ มาตรการช่วยเหลือเกษตรและรักษาเสถียรภาพราคาข้าว ปีการผลิต 2559/60 ในด้านการตลาด ตามที่คณะกรรมการนโยบายและบริหารจัดการข้าว (นบข.) เสนอ ได้แก่ (1) โครงการสินเชื่อชะลอการขายข้าวเปลือกนาปี ปีการผลิต 2559/60 ซึ่งกำหนดวงเงินสินเชื่อต่อตันข้าวเปลือก ไม่เกินร้อยละ 90 ของราคาตลาด โดยเฉลี่ย (2) ค่าใช้จ่ายในการตากข้าวเปลือก และค่าแรงงานในการเตรียมข้าวเปลือกเข้าร่วมโครงการ เพื่อช่วยเหลือเกษตรกร, สหกรณ์การเกษตร, กลุ่มเกษตรกร รวมทั้งวิสาหกิจชุมชน และ (3) การช่วยเหลือค่าเก็บเกี่ยวและปรับปรุงคุณภาพข้าว ให้แก่เกษตรกรรายย่อย ผู้ปลูกข้าวหอมมะลิ ปีการผลิต 2559/60 โดยมีกรอบระยะเวลาดำเนินการ ตั้งแต่ 1พฤศจิกายน 2559 ถึง 28 กุมภาพันธ์ 2560

“แนวทางหนึ่ง ในการแก้ปัญหาราคาข้าวตก ตามที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระราชทานไว้ ได้แก่ การรวมกลุ่มเป็นกลุ่มผู้บริโภคเหมือนกัน แล้วก็ไปติดต่อกับกลุ่มผู้ผลิต โดยที่ไปตกลงกัน อาจจะต้องตั้งหรือไปตกลงกับโรงสีให้แน่ชัด จะได้ไม่ต้องผ่านหลายมือ ถ้าทุกคนที่บริโภคข้าวตั้งตัวเป็นกลุ่มแล้ว ก็ไปซื้อข้าวเปลือก แล้วไปพยายามสีเอง หรือให้มีการผ่านมือ ผู้ที่ผลิต ผู้ที่สี และผู้ที่บริโภค ทั้งนี้ก็เป็นทางเลือกหนึ่งที่จะตัดปัญหาคนกลางลงไปได้บ้างคงไม่ได้ทั้งหมด” นายกฯระบุ

พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวต่ออีกว่า สำหรับการสร้างความยั่งยืนให้แก่ชาวนาในระยะยาวนั้น รัฐบาลได้มีมาตรการช่วยเหลือชาวนาทั้งระบบ อย่างเป็นขั้นเป็นตอน โดยการปรับกระบวนทัศน์สำหรับอนาคตข้าวไทย จำเป็นต้องคำนึงถึงปัจจัยด้านตลาด ได้แก่ (1) ใช้การตลาดนำการผลิต หรือให้ความต้องการ (อุปสงค์ข้าว) เป็นตัวตั้ง (2) มีการจำแนกแผนการส่งเสริมข้าวและการกำหนดมาตรฐาน ตามประเภทของข้าว (3) มีการปรับโครงสร้างการปลูกและผลิตข้าวครบวงจร ตั้งแต่การสนับสนุนเมล็ดพันธุ์ข้าวที่ดี การช่วยเหลือต้นทุนการผลิต การพักชำระหนี้ชาวนา การประกันภัยข้าวนาปี การสนับสนุนการรวมกลุ่มของชาวนาเกษตรแปลงใหญ่ เพื่อปลูกข้าวแปลงใหญ่ การอบรมให้ความรู้ ทั้งด้านความเข้าใจ เรื่องต้นทุนการผลิตและการตลาด และจัดให้มีโครงการฝึกอบรมให้โครงการต่าง ๆ ความรู้เพื่อสนับสนุนการปรับเปลี่ยน หรือปลูกพืชอื่นเสริม นอกเหนือจากการปลูกข้าว สำหรับในพื้นที่ที่ไม่เหมาะกับการทำนาเพื่อขาย รวมถึง (4) การสร้างความเป็นธรรม ให้แก่ชาวนาในกระบวนการผลิตและค้าข้าวด้วยอาศัยกลไกประชารัฐ อาทิ การปรับปรุงกฎระเบียบและวิธีการ เป็นต้น

ทั้งนี้ รัฐบาลได้กำหนดแผนงาน สำหรับให้การสนับสนุนชาวนา ในแต่ละช่วงเวลาของวงจรข้าว สรุปได้ดังนี้ ช่วงการผลิต ประกอบด้วย 10 แผนงาน ได้แก่ (1) การวางแผนการเพาะปลูกข้าว (2) การขึ้นทะเบียนเกษตรกร (3) การจัดการปัจจัยการผลิต (4) การลดต้นทุนการผลิตข้าว (5) การประกันภัยพืชผล (6) การให้สินเชื่อ (7) การทำไร่นาส่วนผสม (8) การวิจัยและพัฒนาพันธุ์ข้าว (9) การพัฒนาชาวนารุ่นใหม่ และ (10) การส่งเสริมเกษตรกรเพื่อการพึ่งพาตนเองอย่างยั่งยืน ช่วงการเก็บเกี่ยวและหลังการเก็บเกี่ยว ประกอบด้วย 3 แผนงาน ได้แก่ (1) การสนับสนุนและบริหารจัดการเครื่องจักรกลการเกษตร (2) การเพิ่มประสิทธิภาพและมาตรฐานโรงสี และ (3) การพัฒนาส่งเสริมการผลิตข้าวคุณภาพครบวงจรเพื่อเพิ่มมูลค่า

รวมทั้งการจัดทำการตลาดภายในประเทศและต่างประเทศ ประกอบด้วย 10 แผนงาน ได้แก่ มาตรการชะลอผลผลิตออกสู่ตลาด มาตรการสร้างความเป็นธรรมทางการค้า จัดทำและทบทวนมาตรฐานข้าว การวิจัยและพัฒนา การพัฒนาตลาดสินค้าข้าวที่ศักยภาพด้วยการสร้างมูลค่าเพิ่ม และการเจรจาตลาดต่างประเทศ (G to G) และการขยายตลาดข้าวคุณลักษณะเฉพาะ เป็นต้น ขอขอบคุณโรงสีกับในส่วนของพ่อค้าคนกลางที่ร่วมมือกับรัฐบาลในการช่วยเหลือประชาชนอย่างแท้จริง

พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวอีกว่า รัฐบาลไม่ได้มุ่งหวังจะทำลายการผลิตข้าว การปลูกข้าวของเกษตรกร ชาวนาที่เราทำมาแต่โบราณกาล แต่อย่างใด เราเพียงมุ่งหวังจะทำให้ชาวนา มีชีวิตความเป็นอยู่ ที่ดีขึ้นอย่างยั่งยืน ปัญหาที่รัฐบาลพบและเป็นปัญหาสำคัญคือ วันนี้ การทำนาส่วนใหญ่ เหลือแต่พ่อแม่ ผู้สูงอายุ ลูกหลานส่วนใหญ่ จะไปประกอบอาชีพอื่น การใช้แรงงานคนจึงลดลง ใช้การจ้าง ใช้เครื่องจักร ตั้งแต่การไถ หว่าน ใส่ปุ๋ย เก็บเกี่ยว “ทุกขั้นตอน” ขณะเดียวกัน หนี้สินเก่า ก็ทับถม ทำให้เหมือนกับ “ทำนาเพื่อใช้หนี้” มาตลอดเวลา ไม่มีรายได้เพิ่ม รัฐบาลมองเห็นปัญหาตรงนี้ จึงได้เกิดความคิดแก้ปัญหาอย่างยั่งยืน ครบวงจร ตั้งแต่การปลูก - การแปรรูป - การตลาด รัฐบาลจำเป็นต้องมีหลายมาตรการ ทั้งชดเชยส่วนต่าง ช่วยเหลือยามเดือดร้อน จากภัยธรรมชาติ หรืออื่นๆ เท่าที่จำเป็น แต่ทั้งนี้ ต้องไม่ผิดกฎหมาย ไม่เป็นปัญหากับระบบการเงิน - การคลังของประเทศ อีกส่วนหนึ่ง ก็ต้องมาดูว่า เราจะแก้ปัญหาหนี้สินชาวนาอย่างไร

นายกฯ กล่าวดว้ยว่า การให้พิจารณาในเรื่องของชะลอหนี้ หรือ ลดดอกเบี้ยจะทำได้แค่ไหน ในส่วนธนาคารเพื่อการเกษตรว่าเราจะแก้ไขหนี้สินชาวนาได้อย่างไร นะครับ ที่ร้องขอกันมาเรื่องการชะลอหนี้ การลดดอกเบี้ย เราก็จะพิจารณาเท่าที่สามารถทำได้โดยไม่ให้เสียกฎกติกาต่างๆ ของธนาคาร สิ่งสำคัญคือ เราจะทำอย่างไร ให้การทำการเกษตร ทุกอย่างนั้น ไม่ว่าจะเป็น ทั้งข้าว ยางพารา มันสำปะหลัง ปาล์ม อ้อย ข้าวโพด ได้มีการปรับระบบการผลิต การแปรรูปใหม่ ให้ใช้ต้นทุนการผลิตน้อยลง ใช้น้ำน้อยลงเหมาะสมกับพื้นที่แล้วผลิตไม่เกินความต้องการของตลาดทั้งในประเทศและต่างประเทศ มีวิธีที่หลายประเทศทำแล้วได้ผล คือ “การรวมแปลงใหญ่” เพื่อการบริหารจัดการ สามารถ “เพิ่ม - ลด” ดีมานด์ - ซัปพลายได้ ปรับปรุงดิน คุณภาพข้าวได้ ลดต้นทุนการผลิตได้ เรื่องน้ำ ก็นับว่ามีความสำคัญ มากที่สุด กับพืชทุกชนิด

ที่ผ่านมานั้น มักไม่ค่อยให้ความสำคัญ กันทั้งระบบเป็นการแก้ปัญหาจากปลายทาง ปลายเหตุส่วนใหญ่ น้ำน้อย ก็ต้องจัดหาน้ำให้มากขึ้น บางอย่างก็เป็นไปไม่ได้ น้ำมาก - น้ำท่วม เราก็แก้ไขได้ยาก เพราะหลายอย่าง เกิดจากธรรมชาติ บางอย่างเกิดจากน้ำมือมนุษย์ บางอย่างก็เกิดจากความไม่เข้าใจ ทำไม่ได้ เพราะประชาชนไม่เห็นด้วย อันนี้เป็นเรื่องสำคัญ เช่น การจัดทำแหล่งกักเก็บน้ำในพื้นที่ เพื่อจะทำให้เกิดการระบายน้ำให้สะดวกรวดเร็ว การทำอะไรใหม่ๆ นั้น เราต้องช่วยกันคิด หลายคนยังขาดความเข้าใจ มีการเบียดเบียนอยู่บ้าง หากทุกคนไม่ต้องการการเปลี่ยนแปลง แต่ต้องการชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นนั้น เราก็ทำได้ลำบาก บรรดากลุ่ม NGO ขอร้องอย่ามองด้านเดียว ตามหน้าที่ของตน ทุกคนควรมุ่งเน้นการแก้ปัญหา อย่างเกื้อกูลกัน

นายกฯ กล่าวว่า รัฐบาลไม่เคยคิดจะบังคับชาวนา เกษตรกร นอกจากพยายามสร้างความเข้าใจ รักษาอาชีพนี้ให้ยั่งยืน เราจะติดกับ อยู่กับวิธีคิดแบบเดิมๆ หรือการแก้ปัญหาแบบเดิม ๆ ไม่ได้อีกแล้ว การค้าขาย - การส่งออก ไปยังตลาดต่างประเทศ ก็เป็นปัญหาในการแข่งขันด้านราคา รัฐบาลซื้อมาเก็บเองก็ไม่ได้ ปัญหาเดิมยังมีอยู่ การระบายข้าวในคลัง ก็เป็นปัญหาข้าวและฤดูกาลใหม่ อาจจะทำให้ราคาข้าวในท้องตลาดตก เพราะมีปริมาณสำรองข้าว มากเกินไป วันนี้มีเกือบทุกประเทศ มีการสำรองข้าวด้วยตนเอง อันเป็นส่วนหนึ่งของสาเหตุสำคัญที่ ทำให้ถูกกดราคาที่ต่ำลง จนแข่งขันผู้ผลิตข้าวรายอื่นๆ ของโลก ไม่ได้มากนัก แม้ว่าข้าวเราจะมีคุณภาพดีกว่าก็ตาม

ส่วนเรื่องการแก้ปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า ยังคงมีเหตุรุนแรงเกิดขึ้นอยู่ ถึงแม้จะน้อยลง มากขึ้น ในบางช่วงเวลา แต่ก็เป็นขั้นตอน ของการพัฒนาของสถานการณ์ของฝ่ายรัฐ และฝ่ายผู้กระทำ เป็นการต่อสู้กันระหว่างการพัฒนา การบังคับใช้กฎหมายปกติของรัฐบาล กับฝ่ายใช้ความรุนแรง เพื่อกดดันรัฐบาลหวังเพื่อให้ส่งผลกระทบในประเทศ และต่างประเทศ เราต้องไม่ตกเป็นเหยื่อของการกระทำรุนแรงดังกล่าว และขอความร่วมมือสื่อให้ช่วยกันด้วย

ปัจจุบัน รัฐบาลไม่ได้แก้ปัญหาด้วยการทหาร หลายคนมีการวิพากษ์วิจารณ์ ทหารในพื้นที่หรือตำรวจในพื้นที่ไม่เพียงพอ เพราะเป็นสถานการณ์ไม่ปกติ เมื่อสถานการณ์เบาลง หรือยุติลงได้ ทหารที่อยู่นอกพื้นที่ต้องกลับลงในพื้นที่ก็สามารถดูแลได้เอง เพราะฉะนั้นเราอาศัยกฎหมายพิเศษหรือกฎหมายเพียงอย่างเดียว เพื่อปกป้องคนบริสุทธิ์ นำคนผิดมาลงโทษตามกฎหมายมาลงโทษให้ทันเวลาเท่านั้น รัฐบาลมุ่งเน้น แก้ปัญหาด้วยการพัฒนา การสร้างความข้าใจ การสร้างความร่วมมือ กับคนทุกกลุ่ม แม้กระทั่งกลุ่มเห็นต่าง กลุ่มก่อเหตุรุนแรงต่างประเทศ พวกเราคนไทย ทั้งพุทธ มุสลิม ต้องช่วยกัน อย่าให้เกิดความบาดหมาง ไม่ไว้ใจซึ่งกันและกัน การแก้ปัญหาจะไม่สำเร็จ ขอให้พวกเราช่วยกัน พยายามต่อไป ขณะนี้ทางท่านจุฬาราชมนตรี ได้ร่วมมือกับทางรัฐบาลอย่างดียิ่ง ในการร่วมมือกันแก้ปัญหานี้ ขอขอบพระคุณไว้ ณ ที่นี้ด้วย การเข้าใจ เข้าถึง พัฒนาเป็น “ศาสตร์พระราชา” ที่สำคัญอย่างมาก อันจะเป็นพื้นฐานการสนับสนุนการเดินหน้าประเทศ ในช่วงการเปลี่ยนผ่าน ซึ่งมีทั้งการวางรากฐานเพื่ออนาคต และการปฏิรูปเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน และการแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นมายาวนาน และการดำเนินการใด ๆ ของรัฐบาล จำเป็นต้องได้รับการสนับสนุนจากประชาชน จากทุกฝ่าย ทุกภาคส่วน วันนี้ขอชมเชยหลายพื้นที่ มีการหารือกัน ตั้งแต่ประชาคม ก็สามารถเป็นช่องทางที่เชื่อมต่อกับรัฐบาลได้ โดยเฉพาะกระทรวงมหาดไทย ขอบคุณมาก แรงสนับสนุนจะเกิดขึ้นได้ ก็ด้วยความเข้าใจและเข้าถึง ด้วยการเข้าใจซึ่งกันและกัน เป็น “การสื่อสารสองทาง” จึงจะสามารถแปลงพลังต่อต้าน เป็นพลังขับเคลื่อน แปลงความนิ่งเฉย เป็นพลังเสริม แล้วเข้ามาร่วมมือกันพัฒนา ในรูปแบบ “ประชารัฐ” ของรัฐบาล ด้วยการยึดถือศาสตร์พระราชานี้ ร่วมกัน ทำให้ผมไม่ละความเพียรพยายาม ในการทำให้พี่น้องประชาชนทุกคน ได้ตระหนัก ได้รับรู้ และหวังที่จะได้ความร่วมมือกลับคืนมา ไม่ใช่เพื่อผม ไม่ใช่เพื่อท่าน เพียงเท่านั้น แต่เพื่อประเทศชาติ เพื่อลูกหลานในอนาคต ที่สำคัญคือ เพื่อสานต่อพระราชปณิธานของพ่อหลวงของเราทุกคน

คำต่อคำ : รายการ “ศาสตร์พระราชา สู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน” 4 พฤศจิกายน 2559



สวัสดีครับ พ่อแม่พี่น้องชาวไทยที่รักทุกท่าน ในวันที่ 28 ตุลาคม ที่ผ่านมา เป็นอีกวันสำคัญในประวัติศาสตร์โลก ที่คนไทยทุกคนจะได้จดจำ เมื่อสมัชชาสหประชาชาติ ได้จัดประชุมวาระพิเศษ เพื่อแสดงความอาลัย และสดุดี แด่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช โดยเลขาธิการสหประชาชาติ และประธานกลุ่มภูมิภาคต่างๆ ของโลก ได้แก่ เอเชีย แปซิฟิก ยุโรป แอฟริกา รวมทั้ง ลาตินอเมริกา และแคริบเบียน โดยใจความสำคัญนั้น นอกจากเป็นการร่วมแสดงความเสียใจและอาลัยอย่างสุดซึ้งต่อพระบรมวงศานุวงศ์ รัฐบาล และปวงชนชาวไทยแล้ว ยังเป็นการกล่าวยกย่อง พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ซึ่งทรงเป็นพระมหากษัตริย์ที่ครองราชย์ยาวนานที่สุดในโลก และได้รับการเคารพเทิดทูนอย่างที่สุด ทั้งนี้เนื่องจากพระมหากรุณาธิคุณ ในการพัฒนาความเป็นอยู่ให้กับพสกนิกร ตลอดการครองราชย์ 70 ปี สะท้อนให้เห็นถึงการยึดมั่นในพระราชปณิธานที่ว่าจะทรงครองแผ่นดินโดยธรรม เพื่อประโยชน์สุขของมหาชนชาวสยาม อย่างแท้จริง ทั้งนี้ ในเวทีพหุภาคี นานาประเทศ ล้วนยอมรับพระราชกรณียกิจ ในการส่งเสริมความร่วมมือระหว่างประเทศ ซึ่งทำให้องค์การระหว่างประเทศ ต่างทูลเกล้าฯ ถวายรางวัล เพื่อเฉลิมพระเกียรติ เช่น รางวัลความสำเร็จสูงสุด ด้านการพัฒนามนุษย์ เมื่อปี 2549 และการกำหนดให้วันคล้าย วันพระราชสมภพ คือ วันที่ 5 ธันวาคม ของทุกปี เป็นวันดินโลก เมื่อปี 2557 เพื่อน้อมรำลึกถึงพระราชกรณียกิจ พระอัจริยภาพ และพระมหากรุณาธิคุณ ที่ได้ทรงศึกษาค้นคว้า วิธีการจัดการดิน และแก้ไขปัญหาทรัพยากรดิน เพื่อให้เกษตรกรไทยอยู่ดีกินดี รวมทั้งการสร้างความตระหนักรู้ ในเรื่องการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และความสำคัญของดินต่อการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม อันเป็นการเสริมสร้างแนวทางการดำเนินงานที่เชื่อมโยงกับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนอีกด้วย

ผมเห็นว่า การประชุมสมัชชาสหประชาชาติ วาระพิเศษในครั้งนี้เป็นสิ่งยืนยันสัจธรรมสำคัญอันเป็นคำสอนของพ่อหลวงในการปิดทองหลังพระว่า ถ้าทุกคนพากันปิดทองแต่ข้างหน้า ไม่มีใครปิดทองข้างหลังพระเลย พระจะเป็นพระที่งดงามบริบูรณ์ไม่ได้ และที่สำคัญ เมื่อปิดทองข้างหลังพระไปเรื่อยๆ แล้ว ทองจะล้นออกมาที่หน้าพระเอง ดังนั้นวันที่ 28 ตุลาคมจึงเป็นวันที่ประจักษ์แก่สายตาชาวโลกแล้วว่า ศาสตร์พระราชาของพ่อหลวงไทยในทุกแขนง ไม่เพียงแต่เพื่อการอยู่ดี มีสุข ของพสกนิกรชาวไทยเท่านั้น หากแต่ล้วนนำมาซึ่งแนวทาง ความคิดและปรัชญาในการพัฒนาที่ยั่งยืน อันเป็นคุณูปการแก่มวลมนุษยชาติ โดยรวม จนได้รับการยกย่องอย่างสูงสุดจากประชาคมโลกในวันนี้ ด้วยสํานึกในพระมหากรุณาธิคุณและน้อมรําลึกในพระปรีชาสามารถและพระอัจฉริยภาพของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ต่อการวิจัยและพัฒนาข้าวไทยเป็นอเนกประการ รวมทั้งเพื่อเป็นการเฉลิมพระเกียรติ ในโอกาสครบรอบ 100 ปี งานวิจัยข้าวไทย ในปี 2559 นี้ คณะรัฐมนตรีจึงได้มีมติ เมื่อวันที่ 18 ตุลาคม ที่ผ่านมา โดยเห็นชอบให้เฉลิมพระเกียรติ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช รัชกาลที่ ๙ เป็น พระบิดาแห่งการวิจัยและพัฒนาข้าวไทย ด้วยทรงมีพระราชดำริ และทรงดำเนินการเกี่ยวกับการวิจัยและพัฒนาข้าว ในโครงการส่วนพระองค์ โครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ เพื่อให้เกิดความมั่นคงทางอาหาร เศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรม แก่พสกนิกรที่ประกอบอาชีพทำนา ทรงคิดวิธีเกษตรทฤษฎีใหม่ อาทิ การทำนาขั้นบันได โครงการฝนหลวง การแกล้งดินเพื่อแก้ปัญหาดินเปรี้ยวและทรงเป็นองค์อุปถัมภ์องค์กรวิจัยและพัฒนาข้าว ทั้งในและต่างประเทศ ให้แก่ มูลนิธิข้าวไทยในพระบรมราชูปถัมภ์ เป็นต้น

อย่างไรก็ตาม นับแต่ในอดีตจนถึงปัจจุบัน เกษตรกรชาวนายังคงประสบปัญหาราคาข้าวตกต่ำบ่อยครั้ง ส่วนใหญ่เป็นปัญหาในเชิงโครงสร้าง เช่น ปริมาณผลผลิตที่มากเกินความต้องการของตลาดการถูกกดราคาจากพ่อค้าคนกลาง มีต้นทุนการผลิตที่สูงมีคุณภาพที่ต่ำ มีภัยพิบัติทางธรรมชาติ น้ำท่วม น้ำแล้ง การปลูกข้าวในพื้นที่ไม่เหมาะสมนั้นเป็นเหตุผลหนึ่ง ที่อาจจะทำให้ได้ข้าวคุณภาพต่ำ ข้าวที่มีความชื้นสูง อีกทั้งการปลูกพืชเชิงเดี่ยว ก็คือทำนาข้าวแต่เพียงอย่างเดียวนั้น อาจจะไม่เพียงพอต่อการเลี้ยงชีพในปัจจุบัน เหล่านี้เป็นต้น รวมถึงให้มีการรวมกลุ่มเกษตรกรที่ยังไม่เข้มแข็งนัก ทำให้ขาดอำนาจในการต่อรองกับโรงสีและพ่อค้าคนกลาง ขาดการคิดค้นผลิตนวัตกรรมข้าว ในการเพิ่มมูลค่าให้กับผลผลิตข้าว ปัญหาต่างๆ เหล่านี้ จะส่งผลให้รายได้ของชาวนาไม่มั่นคง ตลอดจนต้องกู้หนี้ยืมสิน ตั้งแต่เริ่มกระบวนการปลูกข้าวจนถึงการเก็บเกี่ยว ทำให้ชักหน้าไม่ถึงหลัง ถึงขั้นต้องขายที่นาและหลายครอบครัวต้องละทิ้งอาชีพชาวนา ในที่สุดเป็นอันตราย ทุกแนวทางการแก้ปัญหาแก่ชาวนาไทย ทั้งมาตรการเฉพาะหน้าและมาตรการยั่งยืนของรัฐบาลนี้ได้น้อมนำศาสตร์พระราชาอันเป็น 1 ในหลักการทรงงาน ก็คือ การศึกษาอย่างเป็นระบบ ตั้งแต่ต้นทาง เช่น ที่ดิน แหล่งน้ำ ลมฟ้าอากาศ องค์ความรู้ ปัจจัยการผลิต เมล็ดพันธุ์ ยากำจัดศัตรูพืช และปุ๋ย เป็นต้น กลางทาง เช่น แหล่งทุน เครื่องจักรกลการเกษตร โรงสี การแปรรูป และการสร้างนวัตกรรม ปลายทาง เช่น ตลาดในประเทศ การส่งออกต่างประเทศ เราต้องทำให้เกิดห่วงโซ่คุณค่าเหล่านี้และมีการประกันพืชผลเหล่านี้เป็นต้น ทั้งนี้ ย่อมต้องอาศัยข้อมูลพื้นฐาน จากเอกสาร งานวิจัยต่างๆ แผนที่ การสอบถามจากเจ้าหน้าที่ นักวิชาการและสอบถามจากราษฎรในแต่ละท้องถิ่น เพื่อรัฐบาลจะได้รายละเอียดที่ถูกต้อง สำหรับกำหนดมาตรการช่วยเหลือ ได้อย่างแม่นยำ รวดเร็วและสอดคล้องกับสภาพภูมิศาสตร์สังคม รวมทั้งปรับปรุงแก้ไขกรณีศึกษา เพื่อหลีกเลี่ยงข้อผิดพลาด ไม่ให้ซ้ำรอยนโยบายในอดีตที่ผ่านมา

สำหรับในเรื่องของการแก้ไขปัญหาระยะสั้นยังคงมีความจำเป็น เนื่องจากช่วยแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า ให้ชาวนากินอิ่ม นอนหลับ มีทุน มีแรงทำงานให้ได้ก่อน แล้วสร้างความเข้มแข็ง อย่างเป็นขั้นเป็นตอนต่อไป ซึ่งปัจจุบันรัฐบาลนี้ให้ความสำคัญอย่างมากกับการแก้ไขปัญหาราคาข้าวตกต่ำ โดยมีมติเห็นชอบ มาตรการช่วยเหลือเกษตรและรักษาเสถียรภาพราคาข้าว ปีการผลิต 2559 - 2560 ในด้านการตลาด ตามที่คณะกรรมการนโยบายและบริหารจัดการข้าว นบข. เสนอมา ได้แก่ โครงการสินเชื่อชะลอการขายข้าวเปลือกนาปี ปีการผลิต 2559 - 2560 ซึ่งกำหนดวงเงินสินเชื่อต่อตันข้าวเปลือก ไม่เกินร้อยละ 90 ของราคาตลาดโดยเฉลี่ย 2. ค่าใช้จ่ายในการตากข้าวเปลือก และค่าแรงงานในการเตรียมข้าวเปลือกเข้าร่วมโครงการ เพื่อช่วยเหลือเกษตรกร สหกรณ์การเกษตร กลุ่มเกษตรกร รวมทั้งวิสาหกิจชุมชน และ 3. การช่วยเหลือค่าเก็บเกี่ยวและปรับปรุงคุณภาพข้าว ให้แก่เกษตรกรรายย่อย ผู้ปลูกข้าวหอมมะลิ ปีการผลิต 2559 - 2560 โดยมีกรอบระยะเวลาดำเนินการ ตั้งแต่ 1 พฤศจิกายน 2559 - 28 กุมภาพันธ์ 2560

แนวทางหนึ่งในการแก้ปัญหาราคาข้าวตกตามที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระราชทานไว้ ได้แก่ การรวมกลุ่มกันเป็นกลุ่มผู้บริโภคเหมือนกัน แล้วก็ไปติดต่อกับกลุ่มผู้ผลิต โดยที่ไปตกลงกันอันจะต้องตั้ง หรือไปตกลงกันกับโรงสีให้แน่ชัด จะได้ไม่ต้องผ่านหลายมือ ถ้าทุกคนที่บริโภคข้าวตั้งตัวเป็นกลุ่มแล้ว ก็ไปซื้อข้าวเปลือกแล้วพยายามสีเอง หรือให้มีการผ่านมือเพียงผู้ผลิตข้าว โรงสี และผู้ที่บริโภค

ทั้งนี้ เป็นทางเลือกหนึ่งที่จะสามารถตัดปัญหาคนกลางไปได้บ้าง คงไม่ได้ทั้งหมดหรอกนะครับ เพราะฉะนั้นผมขอชื่นชมผู้ที่ริเริ่มโครงการลองกอง จ.สุราษฎร์ธานี แลกข้าวสารหอมมะลิ จ.ร้อยเอ็ด นับเป็นการดำเนินงานลักษณะประชารัฐ เป็นโครงการที่ดีที่หลายฝ่ายร่วมมือกันร่วมแก้ปัญหาด้วยการแลกเปลี่ยนผลผลิตโดยไม่ผ่านพ่อค้าคนกลาง สามารถจะแลกเปลี่ยนผลิตผลทางการเกษตรหรืออื่นๆ ข้ามภูมิภาค เหนือ ใต้ ตะวันออก ตะวันตกใต้ จะเป็นการช่วยเหลือกันไปก่อน เราจะได้ไม่ต้องรอการช่วยเหลือจากภาครัฐจากภายนอก เพราะว่าต้องใช้เวลาในการแก้ปัญหา กำหนดมาตรการต่างๆ เพราะว่าต้องใช้กฎหมายด้วยนะครับ

เพราะฉะนั้นจากการรวมกลุ่มจากเกษตรกรที่เข้มแข็งนั้น เราน่าจะสามารถกระทำได้ตลอดเวลา การสร้างห่วงโซ่มูลค่าที่ผมเรียนไปแล้ว ทั้งผลิต แปรรูป และการตลาด ย่อมเป็นสิ่งที่พึงประสงค์ ทั้งนี้เพื่อจะเป็นการกระจายสินค้าสู่ตลาดต่างภูมิภาคให้เกิดกลไกที่ยั่งยืนได้ในอนาคต รัฐบาลก็สามารถจะหาช่องทางเข้าไปส่งเสริมสนับสนุนได้ ในช่องทางที่ถูกต้องง่ายขึ้น ขอให้เรามีการจัดระบบ จัดกลไกในการทำงานร่วมกัน จัดปฏิทินการแลกเปลี่ยนตามฤดูผลการผลิต และจัดจุดแลกเปลี่ยนจุดกระจายสินค้าที่แน่นอนทางรัฐบาล ทางราชการเข้าไปดูแลด้วย เหล่านี้ เป็นต้น

ผมขอขอบคุณหลายๆ หน่วยงานนะครับ ที่ออกมาตรการแก้ปัญหา หรือมีส่วนร่วมในการเอาชนะปัญหาผลิตผลทางการเกษตรตกต่ำ เช่น กระทรวงแรงงานเตรียมรวบรวมตำแหน่งว่างงานในแต่ละจังหวัดนะครับ สำหรับเกษตรกรที่สนใจทำอาชีพเสริมช่วงว่างเว้นจากการทำนา มีการจัดหลักสูตรการฝึกทักษะอาชีพ เพื่อเพิ่มโอกาสการสร้างรายได้ รวมทั้งการอบรมเทคนิคการค้าขายออนไลน์ เพื่อจำหน่ายสินค้าได้ด้วยตนเอง

นอกจากนั้น ขอขอบคุณสถานประกอบการต่างๆ เช่น ปั๊ม ปตท. และบางจากทั่วประเทศ ในการเตรียมพื้นที่ให้ชาวนาสามารถนำข้าวสารมาขายโดยไม่มีค่าใช้จ่าย เพื่อให้เกษตรกรและประชาชนสามารถซื้อขายข้าวสารได้สะดวกยิ่งขึ้น

สำหรับการสร้างความยั่งยืนให้แก่ชาวนาในระยะยาวนั้น รัฐบาลได้มีมาตรการช่วยเหลือชาวนาทั้งระบบอย่างเป็นขั้นเป็นตอน โดยการปรับกระบวนทัศน์สำหรับอนาคตข้าวไทย เราจำเป็นต้องคำนึงถึงปัจจัยด้านการตลาด อันได้แก่ 1.ใช้การตลาดนำการผลิต หรือการให้ความต้องการหรืออุปสงค์ข้าวเป็นตัวตั้ง 2. มีการจำแนกการส่งเสริมข้าว และการกำหนดมาตรฐานตามประเภทของข้าว 3. มีการปรับโครงสร้างการปลูก และการผลิตข้าวครบวงจร ตั้งแต่การสนับสนุนเมล็ดพันธุ์ข้าวที่ดี การช่วยเหลือต้นทุนการผลิต การพักชำระหนี้ของชาวนา การประกันภัยข้าวนาปี การสนับสนุนการรวมกลุ่มของชาวนาเกษตรแปลงใหญ่เพื่อปลูกข้าวแปลงใหญ่ การอบรมให้ความรู้ ทำความเข้าใจในเรื่องต้นทุนการผลิตและการตลาด และจัดให้มีการฝึกอบรมในโครงการต่างๆ เพื่อให้ความรู้ หรือสนับสนุนการปรับเปลี่ยน หรือปลูกพืชอื่นเสริมนอกเหนือจากการปลูกข้าว สำหรับในพื้นที่ที่ไม่เหมาะสมในการทำนา ผู้ขายนะครับ

รวมถึง 4. การสร้างความเป็นธรรมให้แก่ชาวนาในกระบวนการผลิต และค้าขาย เพื่ออาศัยกลไกประชารัฐ เช่น การปรับปรุงกฎระเบียบและวิธีการ เป็นต้น ทั้งนี้ รัฐบาลได้กำหนดแผนงานสำหรับให้การสนับสนุนชาวนาในแต่ละช่วงเวลาของวงจรข้าว สรุปได้ดังนี้ ช่วงการผลิตประกอบด้วย 10 แผนงาน รายละเอียดตามหน้าจอนะครับ ได้แก่ การวางแผนการเพาะปลูกข้าว การขึ้นทะเบียนเกษตรกร การจัดการปัจจัยการผลิต การลดต้นทุนการผลิตข้าว การประกันภัยพืชผล การทำสินเชื่อ การทำไร่นาสวนผสม การวิจัยและพัฒนาพันธุ์ข้าว การพัฒนาชาวนารุ่นใหม่ และการส่งเสริมเกษตรกรเพื่อการพึ่งพาตัวเองอย่างยั่งยืน

ช่วงการเก็บเกี่ยวและหลังการเก็บเกี่ยวประกอบด้วย 3 แผนงาน รายละเอียดตามหน้าจอนะครับ อันได้แก่ การสนับสนุนและบริหารจัดการเครื่องจักรกลทางการเกษตร การเพิ่มประสิทธิภาพและมาตรฐานโรงสี และการพัฒนาส่งเสริมการผลิตข้าวคุณภาพครบวงจรเพื่อเพิ่มมูลค่า รวมทั้งจัดทำการตลาดภายในประเทศและต่างประเทศ ประกอบด้วย แผนงาน รายละเอียดตามหน้าจอนะครับ ได้แก่ มาตรการชะลอผลการผลิตออกสู่ตลาด มาตรการสร้างความเป็นธรรมทางการค้า การจัดทำและทบทวนมาตรฐานข้าว การวิจัยและพัฒนา การพัฒนาสินค้าข้าวที่มีศักยภาพเพื่อการสร้างมูลค่าเพิ่ม และการเจรจาตลาดต่างประเทศในลักษณะจีทูจี และการขยายตลาดข้าวที่มีคุณลักษณะเฉพาะ เป็นต้น

ก็ขอขอบคุณในส่วนของโรงสี และพ่อค้าคนกลางที่ร่วมมือกับรัฐบาลในการช่วยเหลือประชาชนอย่างแท้จริง รัฐบาลไม่ได้มุ่งหวังจะทำลายการผลิตข้าว การปลูกข้าวของเกษตรกรทำลายวิถีชีวิตของชาวนาที่พวกเราทำมากันตั้งแต่โบราณกาลแต่อย่างใด เราเพียงมุ่งหวังจะทำให้ชาวนามีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นอย่างยั่งยืน ปัญหาที่รัฐบาลพบ และเป็นปัญหาสำคัญวันนี้การทำนาส่วนใหญ่นั้น เหลือแต่พ่อแม่ ผู้สูงอายุ ลูกหลานส่วนใหญ่นั้นจะไปประกอบอาชีพอื่น การใช้แรงงานคนลดลง ใช้การจ้าง ใช้เครื่องจักร ตั้งแต่การไถ หว่าน ใส่ปุ๋ย เก็บเกี่ยวทุกขั้นตอน ขณะเดียวกัน หนี้สินเก่าก็ทับถม ทำให้เหมือนกับว่า เป็นการทำนาเพื่อใช้หนี้มาตลอดเวลา ไม่มีรายได้เพิ่ม รัฐบาลมองเห็นปัญหาตรงนี้ จึงได้เกิดความคิดแก้ปัญหาอย่างยั่งยืนครบวงจรตั้งแต่การปลูก การแปรรูป การตลาด รัฐบาลจำเป็นต้องมีหลายมาตรการ ทั้งชดเชยส่วนต่างบ้าง ช่วยเหลือยามเดือดร้อนจากภัยธรรมชาติอื่นๆ บ้างเท่าที่จำเป็น แต่ทั้งนี้ต้องไม่มีกฎหมาย ไม่เป็นปัญหาต่อระบบการเงินการคลังของประเทศ

อีกส่วนหนึ่งก็ต้องมาดูว่า เราจะแก้ปัญหาหนี้สินชาวนาได้อย่างไรที่ร้องขอกันมาเรื่องการชะลอหนี้ การลดดอกเบี้ย เราจะพิจารณาเท่าที่จะสามารถทำได้ โดยไม่ให้เสียกฎกติกาต่างๆ ของธนาคารเขานะครับ สิ่งสำคัญก็คือเราจะทำอย่างไร ที่จะทำให้การทำเกษตรทุกอย่างนั้น ไม่ว่าจะเป็นข้าว ยาง มันสำปะหลัง ปาล์ม อ้อย ข้าวโพด ได้มีการปรับระบบการผลิตการแปรรูปใหม่ ให้ใช้ต้นทุนการผลิตให้น้อยลง ใช้น้ำให้น้อยลง เหมาะสมกับพื้นที่และก็ผลิตไม่เกินความต้องการของตลาดทั้งในประเทศ และต่างประเทศ ก็มีวิธีที่หลายประเทศทำแล้วได้ผล ก็คือการรวมแปลงใหญ่เพื่อการบริหารจัดการ สามารถจะเพิ่ม ลดดีมานด์ ซัปพลาย ได้ปรับปรุงดิน คุณภาพข้าวได้ ลดต้นทุนการผลิตได้ เรื่องน้ำก็นับว่ามีความสำคัญมากที่สุด กับพืชทุกชนิด ที่ผ่านมานั้น มักจะไม่ค่อยให้ความสำคัญทั้งระบบ เป็นการแก้ปัญหาจากปลายทางปลายเหตุเป็นส่วนใหญ่ น้ำน้อยก็ต้องการจัดหาน้ำให้มากขึ้น บางอย่างก็เป็นไปไม่ได้ น้ำมาก น้ำท่วม เราก็แก้ไขได้ยาก เพราะหลายอย่างนั้นเกิดจากธรรมชาติ บางอย่างเกิดจากน้ำมือมนุษย์ บางอย่างก็เกิดจากความไม่เข้าใจ ทำไม่ได้เพราะว่าประชาชนไม่เห็นด้วย อันนี้เป็นเรื่องสำคัญ เช่นการจัดทำแหล่งกักเก็บน้ำในพื้นที่ เพื่อจะทำให้เกิดการระบายน้ำให้สะดวกรวดเร็ว การทำอะไรใหม่ๆนั้น เราต้องช่วยกันคิด หลายคนยังขาดความเข้าใจ มีการบิดเบือนอยู่บ้าง หากทุกคนไม่ต้องการการเปลี่ยนแปลง แต่ต้องการชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นนั้น เราก็ทำได้ลำบาก

บรรดากลุ่มเอ็นจีโอ ขอร้องอย่ามองด้านเดียว ตามหน้าที่ของตนทุกคนควรมุ่งแก้ไขปัญหาอย่างเกื้อกูลกัน รัฐบาลไม่เคยคิดจะบังคับชาววนา เกษตรกร นอกจากจะพยายามจะสร้างความเข้าใจ รักษาอาชีพนี้อย่างยั่งยืน เราจะติดกับกับวิธีคิดแบบเดิมๆ หรือการแก้ปัญหาแบบเดิมๆไม่ได้อีกแล้ว การค้าขาย การส่งออก ไปยังตลาดต่างประเทศ ก็เป็นปัญหาในการแข่งขันด้านราคา รัฐบาลซื้อมาเก็บเองก็ไม่ได้ ปัญหาเดิมมันยังมีอยู่ การระบายข้าวในคลังก็เป็นปัญหากับข้าวกระสอบฤดูกาลใหม่ อาจจะทำให้ราคาข้าวในท้องตลาดตกไปอีก เพราะเรามีปริมาณสำรองข้าวมากเกินไป วันนี้ก็มีเกือบทุกประเทศ ในการทดลองข้าวด้วยตัวเอง อันเป็นส่วนหนึ่งของสาเหตุสำคัญที่ทำให้ราคานั้นถูกกดให้ต่ำลงจนแข่งขันกับผู้ผลิตข้าวรายอื่นของโลกไม่ได้มากนัก แม้ว่าข้าวของเราจะมีคุณภาพที่ดีกว่าก็ตาม

มาตรการในการสร้างแรงจูงใจให้มีการปรับเปลี่ยนการปลูกพืชให้เหมาะสม ตามพื้นที่ น้ำเป็นสิ่งสำคัญ ตามที่เราได้จัดทำแผนที่การเกษตร ที่เรียกว่า Agri-Map ไปแล้ว ขั้นต้นจะทำให้เรารู้ปริมาณน้ำ ที่จะต้องใช้ การจัดระเบียบการปลูกก่อน หรือหลัง ให้มันแล็บกัน มันจะได้ไม่ออกมาในช่วงเวลาเดียวกัน ราคามันก็ตก เพราะมันนานมากเกินไป การทำไร่นาสวนผสม การปลูกพืชหลายชนิด และการปลูกในฤดูน้ำมาก ไปทำอาชีพอื่นบ้าง อาชีพเสริม โดยหันไปปลูกพืชชนืดอื่นบ้าง ที่กล่าวมาทั้งหมดนั้น รัฐบาลไม่เคยคิดว่าเราจะจ้างให้ชาวนาเลิกปลูกข้าว เป็นไปไม่ได้ เรามีชาวนาเป็นจำนวนมาก มีแต่ว่าจะทำยังไงให้เขาปลูกให้เหนื่อยน้อยลง และมีรายได้มากขึ้น เพียงแต่เราก็ให้ทุน ในการปลูกพืชชนิดอื่นเสริม ดูว่าจะได้ผลดี มีรายได้เพิ่มมากขึ้นหรือไม่ ก็แล้วแต่ความสมัครใจของท่าน

สำหรับการใช้ชีวิตอย่างพอเพียงในช่วงที่เรายังมีหนี้สินนั้น ก็เป็นสิ่งสำคัญ เราต้องลดรายจ่ายที่ไม่จำเป็นลง และเก็บเงินทยอยใช้หนี้บ้าง ซึ่งบรรดานายทุนให้ก็เงินให้ชาวนา โรงสี ก็ควรจะร่วมมือช่วยกันเสียสละกันบ้างในเวลานี้ เพื่อประเทศชาติ เพื่อประชาชน และเกษตรกร มิฉะนั้นแล้วทุอย่างมันจะกลายเป็นปัญหาการเมืองไปเสียทั้งหมด หลายอย่างที่ผ่านมา ไม่ใช่การเมือง อะไรที่เป็นการทำถูก หรือผิดกฎหมาย ก็ไปว่ากันมา หลายอย่างที่เราแก้ที่ปลายเหตุโดยใช้เงินแก้ปัญหาอย่างเดียวมันเป็นไปไม่ได้อีกแล้ว ถ้าเราไม่รู้จักหาเงิน ไม่เปลี่ยนแปลงระบบเศรษฐกิจเราใหม่ มันไม่มีเงินมากขึ้นแน่นอน เราจำเป็นต้องแก้ตั้งแต่ต้นทาง ตั้งแต่เกษตรกร พ่อค้าคนกลาง โรงสี เพื่อไปสู่ตลาดแข่งขันต่างประเทศ และอื่นๆอีกมากมาย นั่นคือเหตุผลที่รัฐบาลต้องพิจารณาหลายด้าน ใช้เวลาในการตัดสินใจ ก็ขอให้ทุกคนพยายามเข้าใจบ้าง ผมเข้าใจความเดือดร้อนของทุกท่านดี

สำหรับพืชชนิดอื่นๆ เช่น ข้าวขาว ก็กำลังพิจารณาอยู่ ข้าวโพด ก็กำลังเป็นปัญหาสำคัญ ก็กำลังให้ฝ่ายเศรษฐกิจ กำลังพิจารณาร่วมกัน เพื่อหาวิธีการแก้ปัญหา อย่าเพิ่งเรียกร้องอะไรกันช่วงนี้ ทราบดีว่าปัญหาท่านอยู่ที่ไหน

วันนี้ข้าวโพดนั้นก็เป็นปัญหาสำคัญอีกอันที่ใช้ผลิตเพื่อการบริโภคด้วย เพื่อทำอุตสาหกรรมอาหารสัตว์ มันจะเกี่ยวพันไปถึงการนำเข้าข้าวโพด วันนี้เรายังผลิตไม่เพียงพอ แล้วเราก็ไม่สามารถปล่อยปละละเลยให้ปลูกในพื้นที่ที่ไม่ถูกต้องได้ ฉะนั้น ก็ต้องมีการนำเข้า วันนี้เราก็ขอความร่วมมือจากบริษัท ให้มาร่วมมือรับซื้อจากแหล่งผลิต ที่มีแหล่งที่มาชัดเจน มีการตรวจสอบบดีเอ็นเอ ผมไม่ได้ต้องการให้เขามาผูกขาด

อีกประการหนึ่งก็คือการทำอาหารสัตว์นั้น เมื่อข้าวโพดน้อยปลูกไม่พอ อยู่ในพื้นที่ผิดกฎหมาย ซื้อขายไม่ได้ก็ต้องนำเข้าเพิ่ม รัฐบาลไม่นิ่งนอนใจ กำลังพยายามหาทางออก หามาตรการที่สามารถทำได้ โดยทั้งนี้ ต้องอยู่ภายใต้กฎหมาย และพันธสัญญาระหว่างประเทศที่เราจะต้องมีการค้าต่างตอบแทนอีกด้วย ประเทศเพื่อนบ้าน หรือประเทศคู่ค้าต่างๆ เหล่านั้น ไม่ใช่มองว่ารัฐบาลเอื้อประโยชน์แก่นายทุน หรือผูกขาดให้กับใคร เพราะรัฐบาลนี้มาเพื่อแก้ปัญหาเหล่านั้น ให้ประชาชนมีทางเลือกด้วยตัวเอง มีโอกาสมากขึ้น ฉะนั้นบริษัทผู้ผลิตอาหารสัตว์ก็ต้องขอร้องว่าวันนี้ที่ท่านจำเป็นต้องใช้ข้าวสาลีมาผสมด้วย เพราะว่าราคาถูกกว่า ต้นทุนถูกกว่า ข้าวโพดก็ไม่เพียงพอ รัฐบาลอาจจะต้องจำเป็นทบทวน ทั้งโควตาการนำเข้า ข้าวโพด ข้าวสาลีทั้งระบบ ระบบภาษีต่างๆ อีกด้วยว่าจะทำได้มากน้อยแค่ไหน ขอความร่วมมือไว้ก่อน

สำหรับการส่งเสริมการปลูกข้าวโพดในพื้นที่ที่เหมาะสมนั้น ก็ยังมีความจำเป็น เพราะในเมื่อลดพื้นที่ปลูกในพื้นที่ไม่ถูกต้อง ก็ต้องหาพื้นที่ปลูกใหม่ เพราะเราขาดแคลนข้าวโพด ไม่เพียงพอ งั้นเราอาจจะต้องไปทดแทนพื้นที่ที่ปลูกข้าวแล้วไม่ได้ผล ไม่มีคุณภาพเหล่านี้บ้าง ไม่ได้หมายความว่าทั้งหมด ก้แล้วแต่ประชาชนจะร่วมมือเพราะว่าเท่าที่ตรวจสอบแล้วมันมีการใช้งบประมาณ หรือต้นทุนในการปลูกต่ำกว่าข้าว ซึ่งเราก็คงส่งเสริมในเรื่องเหล่านี้อยู่ด้วยไปพร้อมๆ กัน เป็นสิ่งที่รัฐบาลต้องทำอย่างรอบคอบ ทั้งด้านอุตสาหกรรม อาหารสัตว์ในประเทศ พันธสัญญาต่างประเทศ เพื่อนบ้าน การค้าต่างตอบแทน และชีวิตความเป็นอยู่ของเกษตรกร หลายคนหลายท่านอาจไม่เข้าใจ ไม่พอใจ เพราะทุกคนปลูกก็ต่างต้องการราคาสูง ไม่เข้าใจกลไก หรือระบบทั้งหมด รัฐบาลทราบดี เพราะไม่ได้คิดเอง ก็เอาเอกสาร การวิจัย และตรวจสอบจากผู้ผลิตโดยตรง เกษตรกรโดยตรง ทั้งมหาดไทย ทั้งกระทรวงเกษตร ทั้งพาณิชย์ ต่างๆก็ลงพื้นที่กันหมด ผมไม่อยากเป็นช่องทางให้การเมือง หรือปัญหาการเมืองเข้ามาแทรกแซง บิดเบือนได้อีก เราอาจจะทำหรืออาจจะคิดอย่างเดิมไม่ได้อีกต่อไป จากวันนี้เป็นต้นไป แต่ทำอย่างไร เราจะไม่ทำลายเอกลักษณ์ของประเทศไทย และคนไทย ในการทำการเกษตรทุกชนิด เพียงแต่ว่าทำยังไงให้มันมีรายได้ที่เพียงพอต่อการเลี้ยงชีพ

เรื่องที่สำคัญที่สุดอีกเรื่องหนึ่ง ก็คือ การแก้ปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ ซึ่งยังคงมีเหตุรุนแรงเกิดขึ้นอยู่ ถึงแม้จะน้อยลงหรือมากขึ้นบ้างในบางช่วงเวลา แต่ก็เป็นขั้นตอนของการพัฒนาของสถานการณ์ ทั้งของฝ่ายรัฐ และฝ่ายผู้กระทำ เป็นการต่อสู้ระหว่างการพัฒนา การบังคับใช้กฎหมายปกติของรัฐบาลกับฝ่ายที่ใช้ความรุนแรง เพื่อกดดันรัฐบาล หวังเพื่อให้ส่งผลกระทบทั้งในประเทศและต่างประเทศ เราจะต้องไม่ตกเป็นเหยื่อของการกระทำดังกล่าว ก็ขอความกรุณา ขอร้องสื่อให้ช่วยกันได้ ขอทำความเข้าใจแบบนี้นะครับ

ปัจจุบันรัฐบาลไม่ได้แก้ปัญหาด้วยการทหาร หลายคนก็วิพากษ์วิจารณ์ ทหารที่ลงไปนั้นเนื่องจากว่าทหารในพื้นที่ หรือตำรวจในพื้นที่ไม่เพียงพอ เพราะเป็นสถานการณ์ไม่ปกติ เมื่อสถานการณ์เบาลง หรือยุติลงได้ ทหารที่อยู่นอกพื้นที่ก็ต้องกลับทั้งหมดอยู่แล้วนะ ในพื้นที่ก็สามารถดูแลได้เอง เพราะฉะนั้นเราอาศัยกฎหมายพิเศษเพื่อเพียงอย่างเดียว เพื่อปกป้องคนบริสุทธิ์ แล้วก็นำคนผิดมาลงโทษตามกฎหมาย ให้ทันเวลาเท่านั้น ไม่งั้นก็ต้องใช้กฎหมายปกติอย่างเดียว บางครั้งก็ดำเนินการได้ยาก แต่ก็ต้องเป็นธรรมนะครับ ผมให้ตรวจสอบทุกครั้ง

รัฐบาลมุ่งเน้นแก้ปัญหาด้วยการพัฒนา การสร้างความเข้าใจ การสร้างความร่วมมือ กับคนทุกกลุ่ม แม้กระทั่งกลุ่มเห็นต่าง กลุ่มผู้ก่อเหตุรุนแรง แม้กระทั่งต่างประเทศ ผมก็อยากให้พวกเราคนไทย ทั้งพุทธและมุสลิม ต้องช่วยกัน อย่าให้เกิดความบาดหมาง ไม่ไว้ใจซึ่งกันและกัน การแก้ปัญหาจะไม่สำเร็จนะ ก็ขอให้พวกเราได้ช่วยกันพยายามต่อไป เจ้าหน้าที่ก็ทำงานอย่างเต็มที่ ก็มีการสูญเสียเช่นเดียวกัน ขณะนี้ทางท่านจุฬาราชมนตรีก็ได้ร่วมมือกับทางรัฐบาลอย่างดียิ่งในการร่วมมือกันแก้ปัญหานี้ ก็ขอขอบพระคุณมา ณ ที่นี้ด้วยนะครับ

การเข้าใจ เข้าถึง พัฒนา เป็นศาสตร์พระราชาที่สำคัญอย่างมาก อันจะเป็นซึ่งพื้นฐานการสนับสนุนการเดินหน้าพัฒนาประเทศในช่วงการเปลี่ยนผ่าน ซึ่งก็จะต้องมีทั้งการวางรากฐานเพื่ออนาคต และการปฏิรูป เพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน และมีการแก้ปัญหาที่มันเกิดขึ้นมาไปด้วยพร้อมๆ กัน ฉะนั้นการดำเนินการใดๆ ของรัฐบาลนั้น จำเป็นต้องได้รับการสนับสนุนจากประชาชน จากทุกฝ่าย ทุกภาคส่วน

วันนี้ขอชมเชยหลายพื้นที่มีการหารือกันในลักษณะเป็นประชาคม ก็สามารถจะเป็นช่องทางที่เชื่อมต่อกับรัฐบาลได้ โดยเฉพาะกระทรวงมหาดไทย ก็ขอบคุณมาก แรงสนับสนุนจะเกิดขึ้นได้ก็ด้วยความเข้าใจและการเข้าถึง ด้วยการเข้าใจ เห็นใจซึ่งกันและกัน ในการสื่อสารสองทาง เราจึงจะสามารถแปลงพลังต่อต้านให้เป็นพลังขับเคลื่อน แปลงความนิ่งเฉยเป็นพลังเสริม และเข้ามาร่วมมือกันพัฒนาในรูปแบบประชารัฐของรัฐบาลนี้ ด้วยการยึดถือศาสตร์พระราชานี้ร่วมกัน ก็ทำให้ทั้งผม ทั้งท่าน ไม่ละความเพียรพยายามที่จะช่วยกันทำให้พี่น้องประชาชนอื่นๆ ทุกคน ได้ตระหนัก ได้รับรู้ และหวังที่จะได้รับความร่วมมือกลับคืนมา ไม่ใช่เพื่อผม ไม่ใช่เพื่อท่านเพียงเท่านั้น แต่เพื่อประเทศชาติ เพื่อลูกหลานของท่านในอนาคต และที่สำคัญ ก็คือ เพื่อสานต่อพระราชปณิธานของพ่อหลวงของพวกเราทุกคน

หลายเรื่องนะครับที่ทุกคนควรมีความเข้าใจเป็นพื้นฐาน ก็คือ ระยะเวลาการทำงานของแต่ละรัฐบาล ไม่เกิน 4 ปีนะครับ หากรัฐบาลไม่มีเสถียรภาพแล้ว การบริหารราชการแผ่นดิน การพัฒนาประเทศ ก็ไม่สามารถดำเนินการได้อย่างเต็มศักยภาพ เนื่องจากไม่มีความต่อเนื่อง จึงเป็นที่มาของความพยายามในการที่จะผลักดันให้ประเทศไทยได้มียุทธศาสตร์ชาติระยะ 20 ปี ที่ครอบคลุมทุกมิติของการบริหารประเทศของทุกรัฐบาล แต่ไม่ก้าวก่ายอำนาจในทางบริหาร

โดยผลการดำเนินการของรัฐบาลกว่า 2 ปีที่ผ่านมานั้น ย่อมเป็นเครื่องยืนยันได้ว่า การบริหารราชการแผ่นดินภายใต้ความมีเสถียรภาพทางการเมือง บ้านเมืองปลอดภัย สงบสุข ทำให้การเดินหน้าประเทศ และการเสริมสร้างขีดความสามารถของประเทศ ได้เดินหน้าต่อไป และได้ยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ เป็นไปตามขั้นตอน เราไม่สามารถจะแก้ไขทุกอย่างได้ในเวลาอันสั้น เพราะปัญหามันยาวนาน

อย่างไรก็ตาม เศรษฐกิจโลกที่ยังคงชะลอตัวอาจจะทำให้การส่งออกที่เคยเป็นรายได้ร้อยละ 70 ของจีดีพีของประเทศเรา ไม่สามารถรักษาระดับเดิมไว้ได้ เนื่องจากประเทศคู่ค้าไม่มีกำลังซื้อ ต่างก็ต้องเอาตัวรอด ประคองตัวเองบ้าง

ภารกิจของรัฐบาลชุดนี้มีอยู่ 2 อย่างด้วยกันหลักๆ ก็คือ 1. รักษาเศรษฐกิจในประเทศไม่ให้ทรุดลง เพราะว่าเศรษฐกิจโลกไม่ดี ไม่ปล่อยให้ชาวบ้านเดือดร้อน อาจจะต้องมีเดือดร้อนอยู่บ้าง ก็พยายามแก้ไปเรื่อยๆ ช่วยกัน เดี๋ยวก็แก้ได้เอง 2. ต้องพยายามสร้างความเติบโตภายใน โดยเฉพาะเศรษฐกิจฐานราก ด้วยหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ดังพระราชดำรัสที่ว่า เศรษฐกิจพอเพียงเป็นเสมือนรากฐานของชีวิต รากฐานความมั่นคงของแผ่นดิน เปรียบเสมือนเสาเข็มที่ถูกตอกรองรับบ้านเรือน ตัวอาคารไว้ สิ่งก่อสร้างจะมั่นคงได้ก็อยู่ที่เสาเข็ม แต่คนส่วนมากมองไม่ค่อยเห็นเสาเข็ม ลืมเสาเข็มเสียด้วยซ้ำไป วันนี้ประชาชนและเกษตรกรก็ถือว่าเป็นเสาเข็มตัวหนึ่งที่จะต้องทำให้บ้านเรือนของเรา คือประเทศไทยนั้น แข็งแรง ยั่งยืน

รัฐบาลนี้จึงให้ความสำคัญอย่างมากกับการสร้างความเข้มแข็ง ทั้งภาคเกษตรกรรม โดยเฉพาะอย่างยิ่งการจัดสรรพื้นที่ทำกินให้กับผู้มีรายได้น้อย ซึ่งจะต้องทยอยดำเนินการให้ทั่วประเทศ ทุกจังหวัด อยู่ในแผนงานอยู่แล้ว ขอให้อดทนสักนิดหนึ่งนะครับ การวางระบบการบริหารจัดการน้ำแบบบูรณาการ ให้สอดคล้องกับการเกษตร การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมในการเพาะปลูกให้เหมาะสมกับสภาพแวดล้อม การทำเกษตรแปลงใหญ่ เพื่อจะง่ายต่อการบริหาร การช่วยเหลือและกำหนดมาตรการอุดหนุนของภาครัฐ การให้ความสำคัญกับการแปรรูปผลิตภัณฑ์ การสร้างมูลค่าเพิ่ม การตั้งเมืองนวัตกรรมอาหาร (Food Innopolis) รวมทั้งผู้ประกอบการรายย่อย (SMEs) สตาร์ทอัพ (Start-up) รวมทั้งโอทอป เป็นต้น

สำหรับภาคอุตสาหกรรมที่กำหนดไว้ 10 อุตสาหกรรมเป้าหมาย รายละเอียดตามหน้าจอนะครับ (อุตสาหกรรมยานยนต์สมัยใหม่ อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะ อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวกลุ่มรายได้ดี/การท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ การเกษตรและเทคโนโลยีชีวภาพ การเกษตรและเทคโนโลยีชีวภาพ อุตสาหกรรมหุ่นยนต์เพื่อการอุตสาหกรรม อุตสาหกรรมการบินและลอจิสติกส์ อุตสาหกรรมเชื้อเพลิงชีวภาพและเคมีชีวภาพ อุตสาหกรรมดิจิตอล อุตสาหกรรมการแพทย์ครบวงจร) ได้แก่การต่อยอดภาคอุตสาหกรรมเดิมที่มีศักยภาพ S-curve และการส่งเสริม 5 อุตสาหกรรมอนาคต New S-curve ให้เป็นอุตสาหกรรมใหม่ที่ประเทศไทยจะได้มีศักยภาพในการแข่งขัน และมีผู้สนใจลงทุน รวมทั้งการกำหนดเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ 10 แห่งทั่วประเทศ วันนี้ก็มีความก้าวหน้าตามลำดับนะครับ และที่สำคัญก็คือโครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (EEC) โดยได้มีการกำหนดกลุ่มจังหวัดเป็นคลัสเตอร์ และซูเปอร์คลัสเตอร์ประกอบไปด้วย ขณะนี้พยายามเร่งขับเคลื่อนนโยบายเกี่ยวกับเรื่องดิจิตอล ที่เรียกว่า Digital Economy และ Thailand 4.0 ซึ่งต้องเน้นการสร้างนวัตกรรมใหม่ๆ ในทุกภาคการผลิต รวมไปถึงการวางระบบการศึกษา ระบบการผลิตแรงงานออกสู่ตลาด ที่ต้องสอดคล้องกับทิศทางการขับเคลื่อนประเทศ

อย่างไรก็ตาม ในสังคมไทยก็ยังคงมีทั้งคนไทยยุคใหม่ ยุคเก่า ที่เรียกว่าคนไทย 1.0, 2.0, 3.0 และ 4.0 ตามช่วงวัย ที่ยังอยู่ร่วมกันในสังคม ในปัจจุบัน รัฐบาลก็ต้องให้ทุกคนได้รับการพัฒนาเพื่อยกระดับคุณภาพชีวิต ได้มีการพัฒนาที่เท่าเทียม ลดความเหลื่อมล้ำ อยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข

ผมอยากให้พี่น้องประชาชนเข้าใจระบบเศรษฐกิจอย่างง่าย ว่า เงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจประเทศ จะมาจาก 4 กิจกรรมหลัก ก็คือ 1. การใช้จ่ายของประชาชน 2. การใช้จ่าย การลงทุนภาครัฐ 3. การลงทุนจากต่างประเทศ และ 4. การส่งออก หากประชาชนไม่มีความเข้าใจแล้ว ก็อาจไม่สามารถช่วยให้ประเทศรักษาสมดุลในระบบเศรษฐกิจของประเทศได้ เช่น ไม่ยอมใช้จ่าย ไม่รู้ว่าทำไมรัฐต้องมีการลงทุน ไม่ช่วยกันสร้างสภาพที่เกื้อกูลต่อการลงทุนจากต่างประเทศ เป็นต้น

ที่ผ่านมานั้น ผมเรียนอีกครั้ง เราอาศัยรายได้ร้อยละ 70 จากการส่งออก ซึ่งเป็นไปไม่ได้ในปัจจุบันด้วยเหตุผลที่กล่าวไปแล้ว บางคนมองว่าเป็นต้มยำกุ้ง ที่เศรษฐกิจระดับบนพังเป็นแถบ แบงก์มีปัญหา แต่ความจริงไม่ใช่เช่นนั้นนะครับ เป็นต้มยำกุ้งกลับหัว ไม่เหมือนในอดีต ก็คือ เศรษฐกิจระดับบนยังใช้ได้ แต่ระดับล่าง จาก 2 - 3 ปีที่ผ่านมา เจอภัยแล้ง เจอปัญหาสารพัด ทั้งเกษตรราคาตกต่ำ เมื่อเศรษฐกิจโลกไม่ดีด้วย และกว่า 10 ปี ที่ไม่ได้รับการเสริมสร้างความเข้มแข็ง ละเลย แต่รัฐบาลนี้ก็พยายามอย่างเต็มที่ พยายามที่จะประคับประคองไว้ได้ทุกอย่าง จากจีดีพีเดิม โตแค่ 0.8% วันนี้กลายเป็นโตประมาณ 3.5% ได้ ก็ล้วนเป็นผลมาจากการกระตุ้น ด้วยการสร้างความเข้มแข็งให้กับเศรษฐกิจระดับล่าง ฐานราก พร้อมกันไปด้วยกับการลงทุนใหม่ๆ ในเศรษฐกิจระดับบน เพราะมันต้องเกื้อกูลกันเป็นห่วงโซ่

ทั้งนี้ เพื่อเพิ่มศักยภาพการแข่งขันของประเทศ เช่น ในเรื่องของการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคม ทางบก ทางราง ทางน้ำ ทางอากาศ และทางด้าน ICT ทั้งหมดต้องมีการบริหารจัดการที่เหมาะสม เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดกับประชาชนทุกระดับ ไม่ว่าจะรายได้มาก รายได้ปานกลาง รายได้น้อย ต้องได้รับผล จากไม่ว่าจะเป็น 4.0 ไม่ว่าจะเป็นเศรษฐกิจใหม่ ทั้งสิ้นทั้งหมด เราต้องทำให้ได้ ก็ถือว่าครั้งนี้เป็นโอกาสที่เราจะปฏิรูปเศรษฐกิจใหม่ให้กับประเทศร่วมกัน

สุดท้ายนี้ ผมขอเชิญชวนพี่น้องประชาชนและผู้ที่สนใจมาอุดหนุนสินค้าพื้นบ้านในงาน “โอทอปภูมิปัญญาไทย ก้าวไกลสู่สากล” ณ ตลาดคลองผดุงฯ ข้างทำเนียบรัฐบาล ตั้งแต่วันที่ 3 - 27 พฤศจิกายนนี้ นอกจากจะมีผลิตภัณฑ์โอทอปจากทุกภูมิภาคของประเทศแล้ว ซึ่งเราจะต้องมีมาตรฐานส่งออกต่างประเทศที่มีคุณภาพสูงด้วย และวันนี้เราขายดี ติดตลาดแล้ว

ผมขอขอบคุณสถานเอกอัครราชทูต 17 ประเทศ ที่ได้นำสินค้าที่เป็นเอกลักษณ์ ภูมิปัญญา และสะท้อนถึงวัฒนธรรมของแต่ละชาติมาร่วมจำหน่ายด้วย เช่น พรมจากปากีสถาน อัญมณีจากกัมพูชา ศรีลังกา สินค้าหัตกรรมจากอิหร่าน ไนจีเรีย ผ้าบาติกจากอินโดนีเซีย ผ้าไหมจากลาว พระพุทธรูปจากเนปาล และสมุนไพรจากอินเดีย เป็นต้น ก็ช่วยกันนะครับ ต่างตอบแทน เพราะเราเป็นเพื่อนกันทั้งสิ้น ไม่ว่าจะอาเซียนหรือประชาคมโลกใดๆ ก็ตาม เพราะเราคือมวลมนุษยชาติของโลกใบนี้นะครับ โลกใบเดียวกัน ขอบคุณครับ สวัสดีครับ ขอให้มีความสุข


กำลังโหลดความคิดเห็น