นายกรัฐมนตรีระบุ 28 ต.ค. ถือเป็นวันประวัติศาสตร์โลกที่สหประชาชาติจัดประชุมวาระพิเศษแสดงความอาลัยและสดุดีพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช สะท้อนให้เห็นว่า “ศาสตร์พระราชา” ของพ่อหลวงไม่เพียงเพื่อการกินดีอยู่ดีมีสุขของพสกนิกรชาวไทย แต่ยังเป็นแนวทางปรัชญาในการพัฒนาที่ยั่งยืนเป็นคุณูปการแก่มวลมนุษยชาติโดยรวมจนได้รับการยกย่องสูงสุดจากประชาคมโลก เผย รัฐบาลน้อมนำหลักการทรงงานเพื่อแก้ปัญหาพืชผลเกษตรตกต่ำ คือ การศึกษาอย่างเป็นระบบ ตั้งแต่ต้นทางกลางทางปลายทาง มีแผนระยะสั้นระยะยาว รับเศรษฐกิจโลกไม่ดีกระทบไทย แต่รัฐบาลพยายามประคับประคองจน GDP โต 3.5% จากอดีต 0.8% พร้อมชวนร่วมปฏิรูปเศรษฐกิจใหม่กับประเทศร่วมกัน
พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี กล่าวในรายการ “ศาสตร์พระราชาสู่การปฏิบัติอย่างยั่งยืน” ว่า ในวันที่ 28 ตุลาคม ที่ผ่านมา เป็นอีกวันสำคัญในประวัติศาสตร์โลกที่คนไทยทุกคนจะได้จดจำ เมื่อสมัชชาสหประชาชาติได้จัดประชุมวาระพิเศษเพื่อแสดงความอาลัยและสดุดีแด่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช โดยเลขาธิการสหประชาชาติและประธานกลุ่มภูมิภาคต่างๆ ของโลก ได้แก่ เอเชีย-แปซิฟิก, ยุโรป, แอฟริกา รวมทั้งละตินอเมริกา และแคริบเบียน
โดยใจความสำคัญนั้น นอกจากเป็นการร่วมแสดงความเสียใจและอาลัยอย่างสุดซึ้งต่อพระบรมวงศานุวงศ์ รัฐบาล และปวงชนชาวไทยแล้ว ยังเป็นการกล่าวยกย่องพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ซึ่งทรงเป็นพระมหากษัตริย์ที่ครองราชย์ยาวนานที่สุดในโลก และได้รับการเคารพเทิดทูนอย่างที่สุด
ทั้งนี้ เนื่องจากพระมหากรุณาธิคุณในการพัฒนาความเป็นอยู่ให้กับพสกนิกรตลอดการครองราชย์ 70 ปี สะท้อนให้เห็นถึงการยึดมั่นในพระราชปณิธานที่ว่าจะ “ทรงครองแผ่นดินโดยธรรม เพื่อประโยชน์สุขของมหาชนชาวสยาม” อย่างแท้จริง
ทั้งนี้ ในเวทีพหุภาคีนานาประเทศ ล้วนยอมรับพระราชกรณียกิจในการส่งเสริมความร่วมมือระหว่างประเทศ ซึ่งทำให้องค์การระหว่างประเทศต่างทูลเกล้าฯ ถวายรางวัล เพื่อเฉลิมพระเกียรติ เช่น รางวัล “ความสำเร็จสูงสุด ด้านการพัฒนามนุษย์” เมื่อปี 2549 และการกำหนดให้วันคล้ายวันพระราชสมภพ คือ วันที่ 5 ธันวาคม ของทุกปี เป็น “วันดินโลก” เมื่อปี 2557 เพื่อน้อมรำลึกถึงพระราชกรณียกิจ พระอัจริยภาพ และพระมหากรุณาธิคุณ ที่ได้ทรงศึกษาค้นคว้าวิธีการจัดการดินและแก้ไขปัญหาทรัพยากรดิน เพื่อให้เกษตรกรไทยอยู่ดีกินดี รวมทั้งการสร้างความตระหนักรู้ ในเรื่องการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และความสำคัญของดินต่อการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม อันเป็นการเสริมสร้างแนวทางการดำเนินงานที่เชื่อมโยงกับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนอีกด้วย
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า ตนเห็นว่าการประชุมสมัชชาสหประชาชาติวาระพิเศษในครั้งนี้ เป็นสิ่งยืนยันสัจธรรมสำคัญ อันเป็นคำสอนของพ่อหลวงในการ “ปิดทองหลังพระ” ว่า ถ้าทุกคนพากันปิดทองแต่ข้างหน้า ไม่มีใครปิดทองข้างหลังพระเลย พระจะเป็นพระที่งดงามบริบูรณ์ไม่ได้ และที่สำคัญเมื่อปิดทองข้างหลังพระไปเรื่อยๆ แล้ว ทองจะล้นออกมาที่หน้าพระเอง
ดังนั้น “วันที่ 28 ตุลาคม” จึงเป็นวันที่ประจักษ์แก่สายตาชาวโลกแล้วว่า “ศาสตร์พระราชา” ของพ่อหลวงไทยในทุกแขนง ไม่เพียงแต่เพื่อการอยู่ดีมีสุขของพสกนิกรชาวไทยเท่านั้น หากแต่ล้วนนำมาซึ่งแนวทาง ความคิดและปรัชญาในการพัฒนาที่ยั่งยืน อันเป็นคุณูปการแก่มวลมนุษยชาติโดยรวม จนได้รับการยกย่องอย่างสูงสุดจากประชาคมโลกในวันนี้
ด้วยสํานึกในพระมหากรุณาธิคุณ และน้อมรําลึกในพระปรีชาสามารถ และพระอัจฉริยภาพของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ต่อการวิจัยและพัฒนาข้าวไทยเป็นอเนกประการ รวมทั้ง เพื่อเป็นการเฉลิมพระเกียรติ ในโอกาสครบรอบ 100 ปี งานวิจัยข้าวไทย ในปี 2559 นี้ คณะรัฐมนตรี จึงได้มีมติ เมื่อวันที่ 18 ตุลาคม ที่ผ่านมา โดยเห็นชอบให้เฉลิมพระเกียรติ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช รัชกาลที่ ๙ เป็น “พระบิดาแห่งการวิจัยและพัฒนาข้าวไทย” ด้วยทรงมีพระราชดำริ และทรงดำเนิน การเกี่ยวกับการวิจัยและพัฒนาข้าว ในโครงการส่วนพระองค์ โครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ เพื่อให้เกิดความมั่นคงทางอาหาร เศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรม แก่พสกนิกรที่ประกอบอาชีพทำนา, ทรงคิดวิธีเกษตรทฤษฎีใหม่ อาทิ การทำนาขั้นบันได โครงการฝนหลวง การแกล้งดินเพื่อแก้ปัญหาดินเปรี้ยว และทรงเป็นองค์อุปถัมภ์องค์กรวิจัยและพัฒนาข้าว ทั้งในและต่างประเทศ ให้แก่ “มูลนิธิข้าวไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์” เป็นต้น
อย่างไรก็ตาม นับแต่ในอดีต จนถึงปัจจุบัน เกษตรกรชาวนายังคงประสบปัญหาราคาข้าวตกต่ำบ่อยครั้ง ส่วนใหญ่เป็นปัญหาในเชิงโครงสร้าง อาทิเช่น ปริมาณผลผลิตที่มากเกินความต้องการของตลาด, การถูกกดราคาจากพ่อค้าคนกลาง, มีต้นทุนการผลิตที่สูง มีคุณภาพที่ต่ำ, มีภัยพิบัติทางธรรมชาติ น้ำท่วม น้ำแล้ง, การปลูกข้าวในพื้นที่ไม่เหมาะสมนั้นเป็นเหตุผลหนึ่งที่อาจจะทำให้ได้ข้าวคุณภาพต่ำ, ข้าวที่มีความชื้นสูง
อีกทั้งการปลูกพืชเชิงเดี่ยว ก็คือ ทำนาข้าวแต่เพียงอย่างเดียวนั้น อาจจะไม่เพียงพอต่อการเลี้ยงชีพในปัจจุบันนะครับ เหล่านี้เป็นต้น รวมถึงให้มีการรวมกลุ่มเกษตรกรที่ยังไม่เข้มแข็งนัก ทำให้ขาดอำนาจในการต่อรองกับโรงสีและพ่อค้าคนกลาง ขาดการคิดค้นผลิตนวัตกรรมข้าวในการเพิ่มมูลค่า ให้กับผลผลิตข้าว ปัญหาต่างๆ เหล่านี้ จะส่งผลให้รายได้ของชาวนาไม่มั่นคง ตลอดจนต้องกู้หนี้ยืมสิน ตั้งแต่เริ่มกระบวนการปลูกข้าว จนถึงการเก็บเกี่ยว ทำให้ชักหน้าไม่ถึงหลัง ถึงขั้นต้องขายที่นา และหลายครอบครัวต้องละทิ้งอาชีพชาวนา ในที่สุดเป็นอันตราย
ทุกแนวทางการแก้ปัญหาแก่ชาวนาไทย ทั้งมาตรการเฉพาะหน้า และมาตรการยั่งยืน ของรัฐบาลนี้ ได้น้อมนำ “ศาสตร์พระราชา” อันเป็น 1 ในหลักการทรงงาน ก็คือ “การศึกษาอย่างเป็นระบบ” ตั้งแต่ “ต้นทาง” เช่น ที่ดิน แหล่งน้ำ ลมฟ้าอากาศ องค์ความรู้ ปัจจัยการผลิต เมล็ดพันธุ์ ยากำจัดศัตรูพืช และปุ๋ย เป็นต้น
“กลางทาง” เช่น แหล่งทุน เครื่องจักรกลการเกษตร โรงสี การแปรรูป และนวัตกรรม และ “ปลายทาง” เช่น ตลาดในประเทศ การส่งออกต่างประเทศ เราต้องทำให้เกิดห่วงโซ่คุณค่าเหล่านี้ และมีการประกันพืชผล เหล่านี้เป็นต้น
ทั้งนี้ ย่อมต้องอาศัยข้อมูลพื้นฐาน จากเอกสาร งานวิจัยต่างๆ แผนที่ การสอบถามจากเจ้าหน้าที่ นักวิชาการ และสอบถามจากราษฎรในแต่ละท้องถิ่น เพื่อรัฐบาลจะได้รายละเอียดที่ถูกต้อง สำหรับกำหนดมาตรการช่วยเหลือ ได้อย่างแม่นยำ รวดเร็ว และสอดคล้องกับสภาพภูมิศาสตร์สังคม รวมทั้ง ปรับปรุงแก้ไขกรณีศึกษา เพื่อหลีกเลี่ยงข้อผิดพลาด ไม่ให้ซ้ำรอยนโยบายในอดีตที่ผ่านมานะครับ
สำหรับในเรื่องของการแก้ไขปัญหาระยะสั้น ยังคงมีความจำเป็น เนื่องจากช่วยแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า ให้ชาวนากินอิ่ม นอนหลับ มีทุน มีแรงทำงานให้ได้ก่อน แล้วสร้างความเข้มแข็ง อย่างเป็นขั้นเป็นตอน ต่อไป ซึ่งปัจจุบัน รัฐบาลนี้ให้ความสำคัญอย่างมาก กับการแก้ปัญหาราคาข้าวตกต่ำ โดยมีมติเห็นชอบ มาตรการช่วยเหลือเกษตรและรักษาเสถียรภาพราคาข้าว ปีการผลิต 2559 - 2560 ในด้านการตลาด ตามที่คณะกรรมการนโยบายและบริหารจัดการข้าว (นบข.) เสนอมา ได้แก่
(1) โครงการสินเชื่อชะลอการขายข้าวเปลือกนาปี ปีการผลิต 2559 - 2560 ซึ่งกำหนดวงเงินสินเชื่อต่อตันข้าวเปลือก ไม่เกินร้อยละ 90 ของราคาตลาด โดยเฉลี่ย (2) ค่าใช้จ่ายในการตากข้าวเปลือก และค่าแรงงานในการเตรียมข้าวเปลือกเข้าร่วมโครงการ เพื่อช่วยเหลือเกษตรกร,สหกรณ์การเกษตร, กลุ่มเกษตรกร รวมทั้งวิสาหกิจชุมชน และ (3) การช่วยเหลือค่าเก็บเกี่ยวและปรับปรุงคุณภาพข้าว ให้แก่เกษตรกรรายย่อย ผู้ปลูกข้าวหอมมะลิ ปีการผลิต 2559 - 2560 โดยมีกรอบระยะเวลาดำเนินการ ตั้งแต่ 1 พฤศจิกายน 2559 ถึง 28 กุมภาพันธ์ 2560
แนวทางหนึ่ง ในการแก้ปัญหาราคาข้าวตกนั้น ตามที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระราชทานไว้ ได้แก่ การรวมกลุ่มกันเป็นกลุ่มผู้บริโภคเหมือนกัน แล้วก็ไปติดต่อกับกลุ่มผู้ผลิต โดยที่ไปตกลงกัน อาจจะต้องตั้งหรือไปตกลงกับโรงสีให้แน่ชัด จะได้ไม่ต้องผ่านหลายมือ ถ้าทุกคนที่บริโภคข้าวตั้งตัวเป็นกลุ่มแล้ว ก็ไปซื้อข้าวเปลือก แล้วไปพยายามสีเอง หรือให้มีการผ่านมือเพียงผู้ที่ผลิตข้าว ผู้ที่สี และผู้ที่บริโภค ทั้งนี้ก็เป็นทางเลือกหนึ่งที่จะสามารถตัดปัญหาคนกลางลงไปได้บ้าง แต่คงไม่ได้ทั้งหมด
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวชื่นชมความคิดริเริ่ม “โครงการลองกอง จังหวัดสุราษฎร์ธานี แลกข้าวสารหอมมะลิ จังหวัดร้อยเอ็ด” นับเป็นการดำเนินงานในลักษณะ “ประชารัฐ” เป็นโครงการที่ดีที่หลายฝ่ายร่วมมือกัน ร่วมแก้ปัญหา ด้วยการแลกเปลี่ยนผลผลิตโดยไม่ต้องผ่านพ่อค้าคนกลาง สามารถจะแลกเปลี่ยนผลิตผลทางการเกษตร หรืออื่นๆ ข้ามภูมิภาค เหนือ ใต้ ตะวันออก ตะวันตก ได้ จะเป็นการช่วยเหลือตัวเองก่อน แล้วจะได้ไม่ต้องรอแต่การช่วยเหลือจากภาครัฐ จากภายนอก เพราะว่าต้องใช้เวลาในการแก้ปัญหา กำหนดมาตรการต่างๆ เพราะว่าต้องใช้กฎหมายด้วย
เพราะฉะนั้นจากการรวมกลุ่มของเกษตรกรที่เข้มแข็ง เราน่าจะสามารถกระทำได้ตลอดเวลา การสร้างห่วงโซ่คุณค่า ที่ตนเรียนไปแล้ว ทั้งผลิต แปรรูป และการตลาด ย่อมเป็นสิ่งพึงประสงค์ ทั้งนี้ เพื่อเป็นการกระจายสินค้าสู่ตลาดต่างภูมิภาค ให้เกิดกลไกที่ยั่งยืนได้ในอนาคต รัฐบาลก็จะหาช่องทางเข้าไปส่งเสริมสนับสนุนได้ ในช่องทางที่ถูกต้อง ง่ายขึ้น ขอให้เรามีการจัดระบบ, จัดกลไกการทำงานร่วมกัน จัดปฏิทินการแลกเปลี่ยนตามฤดูผลผลิต และจัดจุดแลกเปลี่ยน จุดกระจายสินค้าที่แน่นอน ทางรัฐบาล และราชการก็เข้าไปดูแลด้วย เหล่านี้ เป็นต้น
นายกรัฐมนตรี ยังกล่าวขอบคุณหลายๆ หน่วยงาน ที่ออกมาตรการแก้ปัญหา หรือมีส่วนร่วมในการเอาชนะปัญหาราคาผลิตผลทางการเกษตรตกต่ำ อาทิเช่น กระทรวงแรงงาน เตรียมรวบรวมตำแหน่งงานว่างในแต่ละจังหวัด สำหรับเกษตรกรที่สนใจทำอาชีพเสริมช่วงว่างเว้นจากการทำนา มีการจัดหลักสูตรการฝึกทักษะอาชีพเพื่อเพิ่มโอกาสการสร้างรายได้รวมทั้งการอบรมเทคนิคการค้าขายแบบออนไลน์ เพื่อสามารถจำหน่ายสินค้าได้ด้วยตนเอง
นอกจากนี้ ยังขอขอบคุณ สถานประกอบการต่างๆ เช่น ปั๊ม ปตท. และบางจาก ทั่วประเทศ ในการเตรียมพื้นที่ให้ชาวนาสามารถนำข้าวสารมาขาย โดยไม่คิดค่าใช้จ่าย เพื่อให้เกษตรกรและประชาชนสามารถซื้อขายข้าวสารได้สะดวกยิ่งขึ้น
สำหรับการสร้างความยั่งยืนให้แก่ชาวนาในระยะยาวนั้น รัฐบาล ได้มีมาตรการช่วยเหลือชาวนาทั้งระบบ อย่างเป็นขั้นเป็นตอน โดยการปรับกระบวนทัศน์สำหรับอนาคตข้าวไทย เราจำเป็นต้องคำนึงถึงปัจจัยด้านตลาด ได้แก่ (1) ใช้การตลาดนำการผลิต หรือให้ความต้องการ (อุปสงค์ข้าว) นั้นเป็นตัวตั้ง (2) มีการจำแนกแผนการส่งเสริมข้าวและการกำหนดมาตรฐานตามประเภทของข้าว (3) มีการปรับโครงสร้างการปลูกและผลิตข้าวครบวงจร ตั้งแต่การสนับสนุนเมล็ดพันธุ์ข้าวที่ดี, การช่วยเหลือต้นทุนการผลิต, การพักชำระหนี้ของชาวนา, การประกันภัยข้าวนาปี, การสนับสนุนการรวมกลุ่มของชาวนาเกษตรแปลงใหญ่ เพื่อปลูกข้าวแปลงใหญ่, การอบรมให้ความรู้ทั้งด้านความเข้าใจเรื่องต้นทุนการผลิตและการตลาด และจัดให้มีโครงการฝึกอบรมในโครงการต่างๆ เพื่อให้ความรู้เพื่อสนับสนุนการปรับเปลี่ยนหรือปลูกพืชอื่นเสริมนอกเหนือจากการปลูกข้าว สำหรับพื้นที่ที่ไม่เหมาะกับการทำนา เพื่อขาย (4) การสร้างความเป็นธรรมให้แก่ชาวนาในกระบวนการผลิตและค้าข้าว ด้วยอาศัยกลไกประชารัฐ อาทิเช่น การปรับปรุงกฎระเบียบและวิธีการ เป็นต้น
ทั้งนี้ รัฐบาลได้กำหนดแผนงานสำหรับให้การสนับสนุนชาวนาในแต่ละช่วงเวลาของวงจรข้าว สรุปได้ดังนี้ การผลิต และการจัดทำการตลาดให้กับสินค้าข้าว สรุปได้ดังนี้
ช่วงการผลิต ประกอบด้วย 10 แผนงาน ได้แก่ (1) การวางแผนการเพาะปลูกข้าว (2) การขึ้นทะเบียนเกษตรกร (3) การจัดการปัจจัยการผลิต (4) การลดต้นทุนการผลิตข้าว (5) การประกันภัยพืชผล (6) การให้สินเชื่อ (7) การทำไร่นาสวนผสม (8) การวิจัยและพัฒนาพันธุ์ข้าว (9) การพัฒนาชาวนารุ่นใหม่ และ (10) การส่งเสริมเกษตรกรเพื่อการพึ่งพาตนเองอย่างยั่งยืน
ช่วงการเก็บเกี่ยวและหลังการเก็บเกี่ยว จะประกอบด้วย 3 แผนงาน ได้แก่ (1) การสนับสนุนและบริหารจัดการเครื่องจักรกลทางการเกษตร (2) การเพิ่มประสิทธิภาพและมาตรฐานโรงสี และ (3) การพัฒนาส่งเสริมการผลิตข้าวคุณภาพครบวงจรเพื่อเพิ่มมูลค่า
รวมทั้งการจัดทำการตลาดภายในประเทศและต่างประเทศ ประกอบด้วย 10 แผนงาน รายละเอียดตามหน้าจอนะครับ ได้แก่ - มาตรการชะลอผลผลิตออกสู่ตลาด - มาตรการสร้างความเป็นธรรมทางการค้า - การจัดทำและทบทวนมาตรฐานข้าว - การวิจัยและพัฒนา - การพัฒนาตลาดสินค้าข้าวที่มีศักยภาพด้วยการสร้างมูลค่าเพิ่ม - การเจรจาตลาดต่างประเทศ ในลักษณะ G to G และ การขยายตลาดข้าวที่มีคุณลักษณะเฉพาะ เป็นต้น
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวขอบคุณ โรงสี กับในส่วนของพ่อค้าคนกลาง ที่ร่วมมือกับรัฐบาลในการช่วยเหลือประชาชนอย่างแท้จริง
นายกรัฐมนตรี ยืนยันว่า รัฐบาลไม่ได้มุ่งหวังจะทำลายการผลิตข้าว การปลูกข้าว ของเกษตรกร ทำลายวิถีชีวิตชาวนา ที่พวกเราทำมา ตั้งแต่โบราณกาล แต่อย่างใดเราเพียงมุ่งหวังจะทำให้ชาวนา มีชีวิตความเป็นอยู่ ที่ดีขึ้น อย่างยั่งยืน ปัญหาที่รัฐบาลพบ และเป็นปัญหาสำคัญ วันนี้ การทำนาส่วนใหญ่ เหลือแต่พ่อแม่ - ผู้สูงอายุ ลูกหลานส่วนใหญ่ จะไปประกอบอาชีพอื่น การใช้แรงงานคนจึงลดลง ใช้การจ้าง ใช้เครื่องจักร ตั้งแต่การไถ หว่าน ใส่ปุ๋ย เก็บเกี่ยว “ทุกขั้นตอน” ขณะเดียวกัน หนี้สินเก่า ก็ทับถม ทำให้เหมือนกับว่าเป็นการ “ทำนาเพื่อใช้หนี้” มาตลอดเวลา ไม่มีรายได้เพิ่ม
รัฐบาลมองเห็นปัญหาตรงนี้ จึงได้เกิดความคิดแก้ปัญหาอย่างยั่งยืน ครบวงจร ตั้งแต่การปลูก การแปรรูป การตลาด รัฐบาลจำเป็นต้องมีหลายมาตรการ ทั้งชดเชยส่วนต่างบ้าง ช่วยเหลือยามเดือดร้อน จากภัยธรรมชาติ หรืออื่นๆ บ้าง เท่าที่จำเป็น แต่ทั้งนี้ต้องไม่ผิดกฎหมาย ไม่เป็นปัญหากับระบบการเงิน - การคลังของประเทศ
อีกส่วนหนึ่ง ก็ต้องมาดูว่า เราจะแก้ปัญหาหนี้สินชาวนาได้อย่างไร เราได้พิจารณาในเรื่องของการชะลอหนี้ หรือ ลดดอกเบี้ย เราก็จะพิจารณาเท่าที่สามารถทำได้ โดยไม่ให้เสียกฎกติกาต่างๆ ของธนาคาร สิ่งสำคัญก็คือ เราจะทำอย่างไร ที่จะทำให้การทำการเกษตร ทุกอย่างนั้น ไม่ว่าจะเป็นข้าว ยาง มันสำปะหลัง ปาล์ม อ้อย ข้าวโพด ได้มีการปรับระบบการผลิต การแปรรูปใหม่ ให้ใช้ต้นทุนการผลิตให้น้อยลง ใช้น้ำให้น้อยลง เหมาะสมกับพื้นที่ แล้วก็ผลิตไม่เกินความต้องการของตลาด ทั้งในประเทศและต่างประเทศ ก็มีวิธีที่หลายประเทศทำแล้วได้ผล ก็คือ “การรวมแปลงใหญ่” เพื่อการบริหารจัดการ สามารถจะ เพิ่ม ลด ดีมานด์ ซัปพลายได้ ปรับปรุงดิน คุณภาพข้าวได้ ลดต้นทุนการผลิตได้
เรื่องน้ำ ก็นับว่ามีความสำคัญมากที่สุด กับพืชทุกชนิดที่ผ่านมานั้น มักจะไม่ค่อยให้ความสำคัญกันทั้งระบบ เป็นการแก้ปัญหาแต่ปลายทาง ปลายเหตุส่วนใหญ่ น้ำน้อย ก็ต้องการให้จัดหาน้ำให้มากขึ้น บางอย่างก็เป็นไปไม่ได้ น้ำมาก น้ำท่วม เราก็แก้ไขได้ยาก เพราะหลายอย่างนั้นเกิดจากธรรมชาติ บางอย่าง เกิดจากน้ำมือมนุษย์ บางอย่างก็เกิดจากความไม่เข้าใจ ทำไม่ได้ เพราะประชาชนไม่เห็นด้วย อันนี้เป็นเรื่องสำคัญ เช่น การจัดทำแหล่งกักเก็บน้ำในพื้นที่ เพื่อจะทำให้เกิดการระบายน้ำให้สะดวกรวดเร็ว การทำอะไรใหม่ๆ นั้นเราต้องช่วยกันคิด หลายคนยังขาดความเข้าใจ มีการบิดเบือนอยู่บ้าง หากทุกคนไม่ต้องการการเปลี่ยนแปลง แต่ต้องการชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น เราก็ทำได้ลำบาก บรรดากลุ่ม NGO ขอร้องอย่ามองด้านเดียว ตามหน้าที่ของท่าน ทุกคนควรมุ่งเน้นการแก้ปัญหา อย่างเกื้อกูลกัน รัฐบาลไม่เคยคิดจะบังคับชาวนา เกษตรกร นอกจากพยายามสร้างความเข้าใจ รักษาอาชีพนี้ให้ยั่งยืน เราจะติดกับ กับวิธีคิดแบบเดิมๆ หรือการแก้ปัญหาแบบเดิมๆ ไม่ได้อีกแล้ว
การค้าขาย การส่งออก ไปยังตลาดต่างประเทศ ก็เป็นปัญหาในการแข่งขันด้านราคา รัฐบาลซื้อมาเก็บเอง ก็ไม่ได้ ปัญหาเดิมยังมีอยู่ การระบายข้าวในคลัง ก็เป็นปัญหา กับข้าวฤดูกาลใหม่ อาจทำให้ราคาข้าวในท้องตลาดตกไปอีก เพราะเรามีปริมาณสำรองข้าวมากเกินไป วันนี้ก็มีเกือบทุกประเทศ มีการสำรองข้าวด้วยตัวเอง อันเป็นส่วนหนึ่งของสาเหตุสำคัญ ที่ทำให้ราคานั้นถูกกดให้ต่ำลง จนแข่งขันผู้ผลิตข้าวรายอื่นๆ ของโลก ไม่ได้มากนัก แม้ว่าข้าวของเรานั้นจะมีคุณภาพดีกว่าก็ตาม
สำหรับ มาตรการสร้างแรงจูงใจให้มีการปรับเปลี่ยน การปลูกพืชให้เหมาะสมกับพื้นที่ น้ำ เป็นสิ่งสำคัญ ตามที่เราได้จัดทำแผนที่การเกษตร ที่เรียกว่า Agri Map ไปแล้ว ขั้นต้นจะทำให้เรารู้ปริมาณน้ำที่จะต้องใช้, การจัดระเบียบการปลูกก่อน หรือ หลัง ให้มันแลปกัน มันจะได้ไม่ออกมาในช่วงเวลาเดียวกัน ราคามันก็ตก เพราะปริมาณมากเกินไป การทำไร่นาสวนผสม การปลูกพืชหลายชนิด ลดการปลูกในฤดูน้ำมาก ไปทำอาชีพอื่นบ้าง อาชีพเสริมโดยหันไปปลูกพืชชนิดอื่นบ้างนะครับ
ที่กล่าวมาทั้งหมดนั้น รัฐบาลไม่เคยคิดว่าเราจะจ้างให้ชาวนาเลิกปลูกข้าว มันเป็นไปไม่ได้ เรามีชาวนาเป็นจำนวนมาก มีแต่ว่าจะทำยังไงให้เค้าปลูกให้เหนื่อยน้อยลง และมีรายได้มากขึ้น เพียงแต่เราก็ให้ทุน ในการปลูกพืชชนิดอื่นเสริม ดูว่าจะได้ผลดี มีรายได้มากขึ้น หรือไม่ ก็แล้วแต่ความสมัครใจของท่าน
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า สำหรับการใช้ชีวิตอย่างพอเพียง ในช่วงที่เรายังมีหนี้สินนั้น ก็เป็นสิ่งสำคัญ เราต้องลดรายจ่ายที่ไม่จำเป็นลง แล้วก็เก็บเงินทยอยใช้หนี้บ้าง ซึ่งบรรดานายทุนให้กู้เงิน ให้เช่านา โรงสี ก็ควรจะร่วมมือช่วยกัน เสียสละกันบ้างในเวลานี้ เพื่อประเทศชาติ เพื่อประชาชน และเกษตรกร มิฉะนั้นแล้วทุกอย่าง มันก็จะกลายเป็นปัญหาการเมืองไปเสียทั้งหมด หลายอย่าง ที่ผ่านมาไม่ใช่การเมือง อะไรที่เป็นการทำถูกหรือผิดกฎหมาย ก็ไปว่ากันมา หลายอย่างที่เราแก้ที่ปลายเหตุ โดยใช้เงินแก้ปัญหาอย่างเดียว มันเป็นไปไม่ได้อีกแล้ว ถ้าเราไม่รู้จักหาเงิน ไม่เปลี่ยนแปลงระบบเศรษฐกิจเราใหม่ มันไม่มีเงินมากขึ้นแน่นอน
เราจำเป็นต้องแก้ตั้งแต่ต้นทาง ตั้งแต่เกษตรกร พ่อค้าคนกลาง โรงสี เพื่อไปสู่การแข่งขันตลาดต่างประเทศ และอื่นๆ อีกมากมาย นั้นคือเหตุผลที่รัฐบาลต้องพิจารณาหลายด้าน ใช้เวลาในการตัดสินใจ ก็ขอให้ทุกคนพยายามเข้าใจบ้าง ผมเข้าใจความเดือดร้อนของทุกท่านดี
สำหรับพืชชนิดอื่นๆ อาทิเช่น ข้าวขาวก็กำลังพิจารณาอยู่ ข้าวโพด ก็กำลังเป็นปัญหาสำคัญ ก็กำลังให้ฝ่ายเศรษฐกิจพิจารณาร่วมกันเพื่อหาวิธีการแก้ปัญหา อย่าเพิ่งเรียกร้องอะไรช่วงนี้ ทราบดีว่าปัญหาท่านอยู่ที่ไหน
วันนี้ข้าวโพดนั้นก็เป็นปัญหาสำคัญ อีกอันนึง ที่ใช้ผลิต เพื่อการบริโภค และเพื่อในการทำอุตสาหกรรมอาหารสัตว์ มันจะเกี่ยวพันไปถึงการนำเข้าข้าวโพด วันนี้เรายังผลิตไม่เพียงพอ และก็เราไม่สามารถจะปล่อยปละละเลยให้ปลูก ในพื้นที่ที่ไม่ถูกต้องได้ เพราะฉะนั้นเราก็ต้องมีการนำเข้า วันนี้เราก็ขอความร่วมมือจากบริษัทว่าไม่ให้ซื้อของในพื้นที่ที่ผิดกฎหมาย หรือบนป่าเขาซึ่งเป็นการทำลายทรัพยากรธรรมชาติ สิ่งแวดล้อม มายาวนาน ทั้งนี้ อย่างที่เรียนไปแล้ว ได้ขอความร่วมมือบริษัทขนาดใหญ่ ให้มารับซื้อจากแหล่งผลิต ซึ่งมีแหล่งที่มาที่ชัดเจน มีการตรวจสอบ DNA ผมไม่ใช่ว่าต้องการให้เขามาผูกขาด
อีกประการก็คือ การทำอาหารสัตว์นั้น เมื่อข้าวโพดน้อย ปลูกไม่พอ ปลูกในพื้นที่ผิดกฎหมาย ซื้อขายไม่ได้ ก็ต้องนำเข้าเพิ่ม รัฐบาลไม่ได้นิ่งนอนใจ กำลังพยายามหาทางออก หามาตรการที่สามารถทำได้ โดยทั้งนี้ ต้องอยู่ภายใต้กฎหมาย และพันธสัญญาระหว่างประเทศ ที่เราจะต้องมีการค้าต่างตอบแทนอีกด้วย ประเทศเพื่อนบ้าน หรือประเทศคู่ค้าต่างๆ เหล่านั้น ไม่ใช่มองว่า รัฐบาลจะเอื้อประโยชน์แก่นายทุน หรือ ผูกขาดให้กับใคร เพราะรัฐบาลนี้ มาเพื่อแก้ปัญหาเหล่านั้น ให้ประชาชนมีทางเลือกด้วยตนเอง มีโอกาสมากขึ้น เพราะฉะนั้นบริษัทผู้ผลิตอาหารสัตว์ ก็ต้องขอร้องว่าวันนี้ที่ท่านจำเป็นต้องใช้ข้าวสาลี มาผสมด้วยเพราะว่าราคาถูกกว่า ต้นทุนถูกกว่า ข้าวโพดก็ไม่เพียงพอ รัฐบาลก็อาจจำเป็นต้องทบทวน ทั้งโควต้าการนำเข้าข้าวโพด ข้าวสาลี ทั้งระบบ ระบบภาษีต่างๆ ด้วย ว่าจะทำได้มากแค่ไหน ขอความร่วมมือไว้ก่อน
สำหรับการปลูกข้าวโพด ในพื้นที่ที่เหมาะสมนั้น ก็ยังมีความจำเป็น เพราะว่าในเมื่อเราลดพื้นที่ปลูก ในพื้นที่ไม่ถูกต้อง มันก็ต้องหาพื้นที่ปลูกใหม่เพราะเราขาดแคลน ข้าวโพด ไม่เพียงพอ ฉะนั้นอาจจะต้องไปทดแทนในพื้นที่ที่ปลูกข้าวแล้วไม่ได้ผล ไม่มีคุณภาพ เหล่านี้บ้าง แต่ไม่ใช่หมายความว่าทั้งหมด ก็แล้วแต่ประชาชนจะร่วมมือ เพราะว่าเท่าที่ตรวจสอบแล้ว มีการใช้งบประมาณหรือต้นทุนในการปลูกต่ำกว่าข้าว ซึ่งเราก็คงต้องส่งเสริมเรื่องเหล่านี้อยู่ด้วยไปพร้อมๆ กัน
เหล่านี้เป็นสิ่งที่รัฐบาลต้องทำอย่างรอบคอบ ทั้งด้านอุตสาหกรรมอาหารสัตว์ในประเทศ พันธสัญญาต่างประเทศ เพื่อนบ้าน การค้าต่างตอบแทน แล้วก็ชีวิตความเป็นอยู่ของเกษตร หลายคนหลายท่านอาจไม่เข้าใจ ไม่พอใจ เพราะทุกคนปลูกต่างต้องการราคาสูง ไม่เข้าใจกลไก หรือ ระบบทั้งหมด
รัฐบาลทราบดี เพราะว่าไม่ได้คิดเอง ก็เอาเอกสารเอาการวิจัย แล้วก็ตรวจสอบจากผู้ผลิตโดยตรง เกษตรกรโดยตรง ทั้งกระทรวงมหาดไทย ทั้งกระทรวงเกษตรฯ ทั้งกระทรวงพาณิชย์ เขาลงพื้นที่กันหมด ฉะนั้นผมไม่อยากให้เป็นช่องทางให้การเมือง หรือปัญหาการเมืองเข้ามาแทรกแซง บิดเบือนได้อีก เราอาจจะทำ หรืออาจจะคิดอย่างเดิมไม่ได้อีกต่อไป แต่ทำอย่างไรเราจะไม่ทำลายเอกลักษณ์ของประเทศไทย แล้วก็คนไทยในการทำการเกษตร ทุกชนิด เพียงแต่ว่าทำอย่างไรให้มันมีรายได้เพียงพอต่อการเลี้ยงชีพ
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า เรื่องที่สำคัญที่สุดอีกเรื่อง คือ การแก้ปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ ซึ่งยังคงมีเหตุรุนแรงเกิดขึ้นอยู่ ถึงแม้จะน้อยลงหรือมากขึ้นบ้างในบางช่วงเวลา แต่ก็เป็นขั้นตอน ของการพัฒนาของสถานการณ์ทั้งของฝ่ายรัฐ และฝ่ายผู้กระทำ เป็นการต่อสู้กัน ระหว่างการพัฒนา การบังคับใช้กฎหมายปกติของรับบาล กับฝ่ายที่ใช้ความรุนแรงเพื่อกดดันรัฐบาล หวังเพื่อให้ส่งผลกระทบในประเทศ และต่างประเทศ เราจะต้องไม่ตกเป็นเหยื่อของการกระทำรุนแรงดังกล่าว ก็ขอความกรุณาขอร้องสื่อให้ช่วยกันด้วย ขอให้ท่านทำความเข้าใจกันแบบนี้
ปัจจุบันนั้น รัฐบาลไม่ได้แก้ปัญหาด้วยการทหารหลายคนก็วิพากษ์วิจารณ์ ทหารที่ลงไปนั้น เนื่องจากว่าทหารในพื้นที่หรือตำรวจในพื้นที่ไม่เพียงพอ เพราะเป็นสถานการณ์ไม่ปกติ เมื่อสถานการณ์เบาลงหรือยุติลงได้ ทหารที่อยู่นอกพื้นที่ก็ต้องกลับทั้งหมดอยู่แล้ว ในพื้นที่ก็สามารถดูแลได้เอง เพราะฉะนั้นเราอาศัยกฎหมายพิเศษเท่านั้นเพียงอย่างเดียว ก็เพื่อปกป้องคนบริสุทธิ์ แล้วก็นำคนผิดมาลงโทษตามกฎหมายตามให้ทันเวลาเท่านั้น ไม่งั้นมันก็ต้องใช้กฎหมายปกติเพียงอย่างเดียวเพราะว่าจะดำเนินการได้ยาก แต่ต้องเป็นธรรม ผมให้ตรวจสอบทุกครั้ง
รัฐบาลมุ่งเน้น แก้ปัญหาด้วยการพัฒนา การสร้างความเข้าใจ การสร้างความร่วมมือ กับคนทุกกลุ่ม แม้กระทั่งกลุ่มเห็นต่าง กลุ่มผู้ก่อเหตุรุนแรง แม้กระทั่งต่างประเทศนะครับ ผมก็อยากให้พวกเรา คนไทย ทั้งพุทธและมุสลิม ต้องช่วยกัน อย่าให้เกิดความบาดหมาง ไม่ไว้ใจซึ่งกันและกัน การแก้ปัญหาจะไม่สำเร็จนะครับ ก็ขอให้พวกเราได้ช่วยกัน พยายามต่อไปครับนะครับ เจ้าหน้าที่ก็พยายามอย่างเต็มที่นะครับ ก็มีการสูญเสียเช่นเดียวกันนะครับ ขณะนี้ทางท่านจุฬาราชมนตรี ก็ได้ร่วมมือกับทางรัฐบาลอย่างดียิ่งในการร่วมมือกับทางรัฐบาลอย่างดียิ่งนะครับในการร่วมมือกันแก้ปัญหานี้ ก็ขอขอบพระคุณไว้ ณ ที่นี้ด้วยนะครับ
นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า การ “เข้าใจ เข้าถึง พัฒนา” เป็น “ศาสตร์พระราชา” ที่สำคัญอย่างมาก อันจะเป็นซึ่งพื้นฐานการสนับสนุนการเดินหน้าประเทศ ในช่วงการเปลี่ยนผ่าน ซึ่งก็จะมีทั้งการวางรากฐานเพื่ออนาคต และการปฏิรูปเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน และก็จะมีการแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นมายาวนานไปด้วยพร้อมๆ กัน เพราะฉะนั้นการดำเนินการใดๆ ของรัฐบาลนั้น จำเป็นต้องได้รับการสนับสนุนจากประชาชน จากทุกฝ่าย ทุกภาคส่วน วันนี้ขอชมเฉยหลายๆ พื้นที่ ก็มีการหารือกันในลักษณะของประชาคม ก็สามารถที่จะเป็นช่องทางที่เชื่อมต่อกับรัฐบาลได้โดยเฉพาะกระทรวงมหาดไทย ขอขอบคุณมาก
แรงสนับสนุนจะเกิดขึ้นได้ ก็ด้วยความเข้าใจและเข้าถึง ด้วยการเข้าใจเห็นใจซึ่งกันและกัน เป็น “การสื่อสารสองทาง” เราจึงจะสามารถแปลงพลังต่อต้าน ให้เป็นพลังขับเคลื่อน แปลงความนิ่งเฉย เป็นพลังเสริม แล้วเข้ามาร่วมมือกันพัฒนาในรูปแบบ “ประชารัฐ” ของรัฐบาลนี้ ด้วยการยึดถือศาสตร์พระราชานี้ร่วมกัน เพราะทำให้ทั้งผมทั้งท่านไม่ละความเพียรพยายามที่จะช่วยกันทำให้พี่น้องประชาชนอื่นๆ ทุกคน ได้ตระหนัก ได้รับรู้ และหวังที่จะได้ความร่วมมือกลับคืนมา ไม่ใช่เพื่อผม ไม่ใช่เพื่อท่านเพียงเท่านั้น แต่เพื่อประเทศชาติ เพื่อลูกหลานในอนาคต และที่สำคัญก็คือ เพื่อสานต่อพระราชปณิธานของพ่อหลวงของพวกเราทุกคน
หลายเรื่องที่ทุกคนควรมีความเข้าใจเป็นพื้นฐาน ก็คือ ระยะเวลาการทำงานของแต่ละรัฐบาล ไม่เกิน 4 ปี หากรัฐบาลไม่มีเสถียรภาพแล้ว การบริหารราชการแผ่นดิน การพัฒนาประเทศ ก็ไม่สามารถดำเนินการได้อย่างเต็มศักยภาพ เนื่องจากไม่มีความต่อเนื่อง จึงเป็นที่มาของความพยายามในการผลักดันให้ประเทศไทย ได้มี “ยุทธศาสตร์ชาติ” ระยะ 20 ปี ที่ครอบคุลมทุกมิติของการบริหารประเทศของทุกรัฐบาล แต่ไม่ก้าวก่ายอำนาจในทางบริหาร
โดยผลการดำเนินงานของรัฐบาล กว่า 2 ปีที่ผ่านมานั้น ย่อมเป็นเครื่องยืนยันได้ว่า การบริหารราชการแผ่นดิน ภายใต้ความมีเสถียรภาพทางการเมือง บ้านเมืองปลอดภัยสงบสุข ทำให้การเดินหน้าประเทศนั้น แล้วก็การเสริมสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศนั้นได้เดินหน้าต่อไป และได้ยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชน เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพเป็นไปตามขึ้นตอนนั้น เราไม่สามารถแก้ไขทุกอย่างได้ด้วยเวลาอันสั้นได้เพราะปัญหามันยาวนาน
อย่างไรก็ตาม เศรษฐกิจโลกที่ยังคงชะลอตัว อาจจะทำให้การส่งออก ซึ่งเคยเป็นรายได้ ร้อยละ 70 ของ GDP ของประเทศเรา ไม่สามารถรักษาระดับเดิมไว้ได้ เนื่องจากประเทศคู่ค้า ไม่มีกำลังซื้อ ต่างเอาตัวรอด ประคองตัวเองบ้าง ภารกิจของรัฐบาลชุดนี้มี 2 อย่าง หลักๆ ก็คือ
(1) รักษาเศรษฐกิจในประเทศไม่ให้ทรุด เพราะว่าเศรษฐกิจโลกไม่ดี ไม่ปล่อยให้ชาวบ้านเดือดร้อน อาจจะต้องมีเดือดร้อนอยู่บ้าง ก็พยายามแก้ไปเรื่อยๆ ช่วยกันเดียวก็แก้ได้เอง
(2) ต้องพยายามสร้างความเติบโตภายใน โดยเฉพาะเศรษฐกิจฐานราก ด้วย “หลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง” ดังพระราชดำรัสที่ว่า “เศรษฐกิจพอเพียงเป็นเสมือนรากฐานของชีวิต รากฐานความมั่นคงของแผ่นดิน เปรียบเสมือน “เสาเข็ม” ที่ถูกตอกรองรับบ้านเรือน ตัวอาคารไว้ สิ่งก่อสร้างจะมั่นคงได้ก็อยู่ที่เสาเข็ม แต่คนส่วนมากมองไม่เห็นเสาเข็มนะครับ และลืมเสาเข็มเสียด้วยซ้ำไป”
วันนี้ประชาชนแล้วก็เกษตรกร ก็ถือว่าเป็นเสาเข็มส่วนหนึ่ง ที่จะต้องทำให้บ้านเรือนของเราก็คือประเทศไทยนั้นแข็งแรงยั่งยืน รัฐบาลนี้จึงให้ความสำคัญอย่างมาก กับการสร้างความเข้มแข็งทั้งภาคเกษตรกรรม โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การจัดสรรพื้นที่ดินทำกินให้กับผู้มีรายได้น้อย ซึ่งจะต้องทยอยดำเนินการทั่วประเทศทุกจังหวัดอยู่ในแผนงานอยู่แล้วขอให้อดทนสักนิดหนึ่ง
การวางระบบการบริหารจัดการน้ำแบบบูรณาการให้สอดคล้องกับการเกษตร การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมในการเพาะปลูก ให้เหมาะสมกับสภาพ แวดล้อม การทำเกษตรแปลงใหญ่ เพื่อง่ายต่อการบริหารการช่วยเหลือและกำหนดมาตรการสนับสนุนของภาครัฐ การให้ความสำคัญกับการแปรรูปผลิตภัณฑ์ การสร้างมูลค่าเพิ่ม ด้วยการตั้งเมืองนวัตกรรมอาหาร (Food Innopolish) รวมทั้ง ผู้ประกอบการรายย่อย SMEs, Start-up รวมทั้ง OTOP เป็นต้น
สำหรับภาคอุตสาหกรรม ที่กำหนดไว้ 10 อุตสาหกรรมเป้าหมาย ได้แก่ การต่อยอด 5 อุตสาหกรรมเดิมที่มีศักยภาพ S-curve และการส่งเสริม 5 อุตสาหกรรมอนาคต New S-curve ให้เป็นอุตสาหกรรมใหม่ที่ประเทศไทยจะได้มีศักยภาพในการแข่งขันและมีผู้สนใจลงทุนร่วมทั้งการกำหนดเขตพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษ 10 แห่งทั่วประเทศ วันนี้ก็มีความ ก้าวหน้าตามลำดับ
และที่สำคัญก็คือ โครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจ ภาคตะวันออก (EEC) โดยได้มีการกำหนดกลุ่มจังหวัด เป็นCluster และ Super Cluster ประกอบไปด้วย รวมทั้งขณะนี้พยายามเร่งขับเคลื่อน นโยบายเกี่ยวกับเรื่อง Digital ที่เรียกว่า “Digital Economy” และ “ไทยแลนด์ 4.0” ซึ่งต้องเน้นการสร้างนวัตกรรมใหม่ๆ ในทุกภาคการผลิตรวม ไปถึงการวางระบบการศึกษา ระบบการผลิตแรงงานออกสู่ตลาด ที่สอดคล้องกับทิศทางการขับเคลื่อนประเทศ อย่างไรก็ตามในสังคมไทยยังคงมีทั้งคนไทยยุคใหม่ ยุคเก่า ที่เรียกว่า “คนไทย 1.0 - 2.0 - 3.0 และ 4.0” ตามช่วงวัย ที่ยังอยู่รวมกันในสังคมในปัจจุบัน รัฐบาลก็จะต้องให้ทุกคน ได้รับการพัฒนา เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิต ได้มีการพัฒนาที่เท่าเทียม ลดความเหลื่อมล้ำอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข
“ผมอยากให้พี่น้องประชาชนเข้าใจระบบเศรษฐกิจอย่างง่าย ว่า “เงินหมุนเวียน” ในระบบเศรษฐกิจประเทศ จะมาจาก 4 กิจกรรมหลัก คือ (1) การใช้จ่ายของประชาชน (2) การใช้จ่าย การลงทุนภาครัฐ (3) การลงทุนจากต่างประเทศ และ (4) การส่งออก หากประชาชนไม่มีความเข้าใจแล้ว ก็อาจไม่สามารถช่วยให้ประเทศรักษาสมดุลในระบบเศรษฐกิจของประเทศได้ เช่น ไม่ยอมใช้จ่าย ไม่รู้ว่าทำไมรัฐต้องมีการลงทุน ไม่ช่วยกันสร้างสภาพที่เกื้อกูลต่อการลงทุนจากต่างประเทศ เป็นต้น
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า ที่ผ่านมานั้น ผมเรียนอีกครั้งเราอาศัยรายได้ ร้อยละ 70 จากการส่งออก ซึ่งเป็นไปไม่ได้ในปัจจุบันด้วยเหตุผลที่กล่าวไปแล้ว บางคนมองว่าเป็น “ต้มยำกุ้ง” ที่เศรษฐกิจ “ระดับบน” พังเป็นแถบ แบงก์มีปัญหา แต่ความจริงเป็น “ต้มยำกุ้งกลับหัว” ไม่เหมือนในอดีต คือ เศรษฐกิจ “ระดับบน” ยังใช้ได้ แต่ “ระดับล่าง” จาก 2 - 3 ปีที่ผ่านมา เจอภัยแล้ง เจอปัญหาสารพัด ทั้งเกษตรราคาตกต่ำ เมื่อเศรษฐกิจโลกไม่ดีด้วย และกว่า 10 ปี ที่ไม่ได้รับการเสริมสร้างความเข้มแข็ง ละเลย แต่รัฐบาลนี้ ก็ยังพยายามอย่างเต็มที่ พยายามที่จะประคับประคองไว้ได้ทุกอย่าง จาก GDP เดิม โตแค่ 0.8% วันนี้กลายเป็นโต 3.5 % ได้ ก็ล้วนเป็นผลมาจากการกระตุ้น ด้วยการสร้างความเข้มแข็งให้กับเศรษฐกิจ “ระดับล่าง ฐานราก” พร้อมกันไปกับการลงทุนใหม่ๆ ในเศรษฐกิจระดับบน เพราะมันต้องเกื้อกูลกันเป็นห่วงโซ่ ทั้งนี้ เพื่อเพิ่มศักยภาพการแข่งขันของประเทศ เช่น ในเรื่องของการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคม ทางบก ทางราง ทางน้ำ ทางอากาศ และทางด้าน ICT ทั้งหมดต้องมีการบริหารจัดการที่เหมาะสม เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดกับประชาชนทุกระดับ ไม่ว่าจะรายได้มาก รายได้ปานกลาง รายได้น้อย ต้องได้รับผล จากไม่ว่าจะเป็น 4.0 ไม่ว่าจะเป็นเศรษฐกิจใหม่ทั้งสิ้นทั้งหมด เราต้องทำให้ได้ ก็ถือว่าครั้งนี้เป็นโอกาสที่เราจะปฏิรูปเศรษฐกิจใหม่ให้กับประเทศร่วมกัน
สุดท้ายนี้ผมขอเชิญชวนพี่น้องประชาชนและผู้ที่สนใจมาอุดหนุนสินค้าพื้นบ้านในงาน “โอทอปภูมิปัญญาไทย ก้าวไกลสู่สากล” ณ ตลาดคลองผดุงฯ ข้างทำเนียบรัฐบาล ตั้งแต่วันที่ 3 ถึงวันที่ 27 พฤศจิกายน นี้ นอกจากจะมีผลิตภัณฑ์โอทอป จากทุกภูมิภาคของประเทศแล้ว ซึ่งเราจะต้องมีมาตรฐานส่งออกต่างประเทศมีคุณภาพสูงด้วย และวันนี้เราขายดีติดตลาดแล้ว
“ผมขอขอบคุณสถานเอกอัครราชทูต 17 ประเทศ ที่ได้นำสินค้าที่เป็นเอกลักษณ์ ภูมิปัญญา และสะท้อนถึงวัฒนธรรมของแต่ละชาติมาร่วมจำหน่ายด้วย อาทิเช่น พรมจากปากีสถาน อัญมณีจากกัมพูชา ศรีลังกา สินค้าหัตกรรมจากอิหร่าน ไนจีเรีย ผ้าบาติกจากอินโดนีเซีย ผ้าไหมจากลาว พระพุทธรูปจากเนปาล และสมุนไพรจากอินเดีย เป็นต้น ก็ช่วยกันนะครับ ต่างตอบแทน เพราะเราเป็นเพื่อนกันทั้งสิ้น ไม่ว่าจะอาเซียนหรือประชาคมโลกใดๆ ก็ตาม เพราะเราคือมวลมนุษยชาติของโลกใบนี้นะครับ โลกใบเดียวกัน ขอบคุณครับ สวัสดีครับ ขอให้มีความสุข”