ผู้จัดการสุดสัปดาห์ -รอบสัปดาห์ที่ผ่านมามีเรื่องราวน่าสนใจในแวดวงตำรวจมากมาย เด่นที่สุดน่าจะเป็นกรณีข่าวเขย่าเก้าอี้ พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผบ.ตร.และ พล.ต.ต.สุรเชษฐ์ หักพาล รรท.ผบก. 191
ซึ่งทางสำนักงานตำรวจแห่งชาติ และ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะกำกับดูแลสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) ได้ออกมาการันตีอย่างหนักแน่นแล้วว่าไม่มีการปลด ผบ.ตร.อย่างแน่นอน แถมยังย้อนกลับด้วยว่าปลดด้วยความผิดข้อหาอะไร
คงต้องติดตามกันต่อไปแต่ถ้าจะถามความเห็นส่วนตัวแล้วตำแหน่ง ผบ.ตร.นั้นไม่จำเป็นต้องมี “ข้อหา”หรือ “ความผิด” อะไรก็ได้เพียงแค่ฝ่ายอำนาจเห็นว่าไม่เหมาะสมก็สามารถ “หาเหตุ” ได้แล้ว อย่างไรก็ตามเท่าที่สอบถามวงในรวมทั้งรู้ถึงลำหักลำโค่นของ “บิ๊กแป๊ะ” เป็นอย่างดีน่าจะเป็นไปตามที่ท่านรองนายกฯยืนยัน
แต่สำหรับ “โจ๊ก หวานเจี๊ยบ” อันนี้คงหาความแน่นอนไม่ได้ เพราะตกที่นั่ง “คนรักเท่าผืนหนัง คนชังทั้ง สตช.” คือยิ่งเด่นมาก มีบทบาทมากศัตรูทั้งในที่แจ้งและที่สว่างย่อมมากเป็นเงาตามตัวไปด้วย
รวมไปถึงกลุ่ม นรต.28 อาทิ พล.ต.อ.วิเชียร พจน์โพธิ์ศรี อดีต ผบ.ตร.เจ้านายเก่า พล.ต.อ.สถาพร หลาวทอง และ พล.ต.ท.สมคิด บุญถนอม ซึ่งนักเลงดีเขาโยงว่าเป็นเพื่อนซี้กับ “นายพลแก้มแดง” พล.ต.ท.วิบูลย์ บางท่าไม้ คู่เขยของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.)
ดังนั้นข้อมูลต่างๆ ทั้งด้านบวก และลบ ในแวดวงตำรวจ “นายกฯลุงตู่” ขวัญใจคนไทยก็มี “ทีมงาน” ช่วยคิด ช่วยตัดสินใจเช่นกัน
ตำแหน่งประธานคณะกรรมการตำรวจ (ก.ตร.) วันไหนอากาศดี ห้วงเวลาเหมาะสมอาจจะเห็น “บิ๊กตู่” ไปทำหน้าที่สักครั้งก็เป็นได้ เพราะที่ผ่านมาการปล่อยให้ “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี “รับเหมา” ไปบริหารจัดการนั้นชาวบ้านร้านตลาดเขาเห็นกันแล้วว่า “ล้มเหลว” หรือ “ก้าวหน้า”
ทุกวันนี้ภาพลักษ์ตำรวจเละยิ่งกว่าโจ๊ก ทั้งเรื่องการซื้อขายตำแหน่ง ปัญหาการวิ่งเต้น ปัญหาไม่ยอมทำงาน ปัญหาไม่รู้หน้าที่เพราะยังเห็นทหารไปจับบ่อน จับสถานบริการเป็นประจำ ล่าสุดเกิดเรื่องกระทบกระทั่งกับประชาชนเรื่องตั้งด่านรีดไถ มีส่วยส่วนแบ่งค่าปรับ เรื่องแบมือของเงินผู้เสียบหายคดีบ้านถูกงัด 4-5 รอบ สน.โคกคาม คดีตำรวจกระทืบขาไฮโลว์ตายคาตีน ล่าสุดมีตำรวจเมาใช้อาวุธปืนไล่ยิงเด็กอายุ 15 ปีจนบาดเจ็บและเสียชีวิตเหตุเกิด จ.บุรีรัมย์
มันสะท้อนให้เห็นอย่างชัดเจนว่า “กรมปทุมวัน” กำลังตกอยู่ในสภาพใด
อีกเรื่องหนึ่งที่ไม่หยิบมาขยายสังคมไทยคงยอมให้เป็นคลื่นกระทบฝั่งไป นั่นคือความไม่ชอบมาพากลเกี่ยวกับ “ขบวนการบุญเปื้อนบาป” หรือที่ทราบกันในหัวข้อ “กฐินมหาประลัย” ทอด ณ วัดแห่งหนึ่งในภาคอีสานตอนบนซึ่งสำนักข่าวในเครือผู้จัดการฯได้นำเสนออย่างต่อเนื่อง
“กฐินมหาประลัย” ที่ว่านี้ได้ข้อมูลมาจากตำรวจชั้นผู้น้อยของ กองบัญชาการตำรวจภูธรภาค 4 แจ้งมาว่ามีผู้หลักผู้ใหญ่บังคับแจกซองกฐินกระจายไปตามสถานีตำรวจต่างๆของภาคฯทุกจังหวัด รวม 12 กองบังคับการ ได้แก่ กาฬสินธุ์ ขอนแก่น นครพนม บึงกาฬ มหาสารคาม มุกดาหาร ร้อยเอ็ด เลย สกลนคร หนองคาย หนองบัวลำภู และอุดรราชธานี
โดยให้โรงพักละหลักหมื่นจนถึงหลักแสนบาทคาดว่าจะได้ยอดมากถึง 20 ล้านขึ้นไปเป็นอย่างน้อยโดยกำหนดทอด ณ วัดป่าอุดมสันติธรรม จ.นครพนม เมื่อวันที่ 12 พ.ย.ที่ผ่านมา
ปรากฏว่าในวันเดียวกันนั้นมีตำรวจ และประชาชนที่สนใจติดตามข่าว “กฐินมหาประลัย”เดินทางไปสังเกตยังวัดป่าอุดมสันติธรรม ได้พบป้ายขนาดใหญ่กำหนดงานฉลองกฐินระหว่างวันที่ 11-12 พ.ย.2559 มีการแสดงหมอลำราคาแพงที่สุดคือ “นกน้อย อุไรพร”
และที่เด่นเตะตาคือภาพ “บิ๊กป๊อด” พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ อดีต ผบ.ตร. น้องชายสุดเลิฟของ พล.อ.ประวิตร ในฐานะประธานผู้จัดกฐินสามัคคีในวันเวลาดังกล่าว ซึ่งตรงกับกำหนดการของตำรวจภูธรภาค 4 อย่างพอดิบพอดีฃ
จุดนี้จึงแตกประเด็นไปอีกว่าตกลง “กฐินมหาประลัย” ของตำรวจภาค 4 ที่ถูกตำรวจชั้นผู้น้อยออกมาโวยว่าเป็นการทำบุญเปื้อนบาป และโยนภาระให้กับลูกน้องต้องตากหน้าไปรีดไถผู้ประกอบการบ่อน ซ่อง คาราโอเกะ รถบรรทุก เจ้ามือหวยใต้ดิน ส่วยเงินกู้และสารพัดกิจการสีเทา นั้น ใครคือไอ้ (คุณ) โม่ง ใครคือต้นตอความคิด
ความบังเอิญแบบพอดิบพอดี จนไม่รู้ว่า อันไหนกฐินภาค 4 อันไหนกฐิน ท่านอดีต ผบ.ตร.พัชรวาท
มีข้อสรุปว่าปัจจัยที่ประธานในพิธีคือ พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ นำไปถวายวัดรวมทั้งสิ้นประมาณ 13 ล้านบาท ส่วนที่เหลืออีก 7 ล้านบาท อาจเป็นไปได้ 2 ทางคือมีการยึกยักกันเกิดขึ้นจากต้นทาง หรืออาจจะเกิดจากภาวะกระเป๋าแบนของผู้ประกอบการ (ใจบุญ) เนื่องจากทั้งบ่อน ซ่อง สถานบริการ รวมทั้งสิ่งผิดกฎหมายทุกรูปแบบถูก ท. ทหาร จัดการต่อเนื่องอย่างไม่ยอมรามือ
ไม่ว่าจะเกิดการ “อม”หรือตกหล่นระหว่างทางด้วยเหตุผลกลใดแต่การหาเงินทำบุญในรูปแบบกึ่งบอกบุญ กึ่งรีดไถนั้นตำรวจในยุคคืนความสุข ในยุคสังคมกำลังตื่นตัวเรื่องปฏิรูปพวกท่านต้องหยุดพฤติการณ์เหล่านี้กันได้แล้ว
ข้อมูลจากการร้องเรียนและความเป็นไปได้ กฐินที่มีตัวเลขมหาศาลหลัก 10 ล้านบาทหรือที่พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ เคยทำไว้เมื่อตอนขึ้นมีอำนาจใหม่ๆช่วง พ.ศ.2557 สูงถึง 87 ล้าน มันอดสงสัยไม่ได้จริงๆว่าจำนวนเงินมากมายขนาดนั้นมาจากผู้ศรัทธาคนใดกันหนอ !!??
เป็นอันว่าเขาคนนั้นคือใคร...ใครคือประธานกฐินวัดป่าอุดมสันติธรรม...ก็อยู่ระหว่าง 2 เจ้านี้แหละคือพล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ อดีตผบ.ตร.กับ พล.ต.ต.จตุพล ปานรักษา รรท.ผบช.ภ.4 ส่วนข้อเท็จจริง และคำชี้แจงว่ามันเป็นจริงตามที่ตำรวจชั้นผู้น้อยโวยมาหรือไม่ตรงนี้ไม่มีใครคาดหวัง เพราะคงเหมือนกับหลายๆเรื่องที่ปล่อยให้หายไปกลายเป็นคลื่นกระทบฝั่ง
ก่อนจบในช่วงท้ายคอลัมน์ยังมีข้อสังเกต และข้อเสนอแนะบางประการให้กับผู้เกี่ยวข้องที่ สนช.ที่กำลังร่างกฏหมายลูก หรือผู้มีอำนาจสูงสุดในขณะนี้คือ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เราคงห้ามศรัทธาใครไม่ได้ ไม่ว่าจะเป็นเจ้าของธุรกิจผิดกฏหมายหรือมหาโจรที่ไหนแต่รัฐน่าจะมีกติกาที่เหมาะสมไม่ปล่อยให้ใครบางคน บางกลุ่มใช้อำนาจหน้าที่ไปทำเรื่องไม่เหมาะไม่ควรขึ้น ปัจจุบันสังคมไทยรุดหน้าไปมากทั้งเรื่องข้อมูลข่าวสาร รวมทั้งการตรวจสอบจากภาคประชาชน
จะเป็นมหากฐิน โคตรกฐิน หรือกฐินมหาประลัย นับจากนี้ต่อไปต้องออกข้อห้ามมิให้หน่วยราชการออกไปเรี่ยไร หรือถ้าเป็นการดีต้องจำกัดวงเงินเช่นห้ามเกิน 2-5 ล้านบาทอย่างนี้ เป็นต้น
วัดบางแห่งมีเจ้าสำนักโด่งดัง มีลูกศิษย์ลูกหามีอำนาจบารมี ถ้าต้องการสร้างโบสถ์หลังงาม สร้างมหาเจดีย์ขนาดบิ๊กจัมโบ้ก็ต้องระดมทุน ระดมปัจจัยเป็นร้อย หรือเป็นพันล้านบาทซึ่งมีภาพบางๆซ้อนกัน 2 ภาพระหว่างพลังศรัทธา กับการเบียดเบียน
ประทานโทษ....ยิ่งมีตำรวจบริหารจัดการเงินบริจาคจำนวนมหาศาลขนาดนั้นจะมาจากไหน!!??
แถมยังเหมาะเจาะเพราะฤดูทอดกฐินต้องผ่านวันเข้าพรรษาไม่เกิน 1 เดือนคือระหว่างตุลาคม -พฤศจิกายน ของทุกปีอันเป็นช่วงโยกย้ายข้าราชการตำรวจทั่วประเทศ
ผลบุญของโคตรมหากฐิน อาจจะส่งผลให้เก้าอี้มั่นคง มีความก้าวหน้าในหน้าที่การงานก็เป็นได้.