ผู้จัดการสุดสัปดาห์ -ไม่มีปี่มีขลุ่ย จู่ๆก็มีกระแสข่าวเปลี่ยนตัว “ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ” (ผบ.ตร.) หลุดออกมาอีกครั้ง จนไม่รู้เป็นครั้งที่เท่าไรแล้วหลังจากที่ “บิ๊กแป๊ะ” พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ขึ้นแท่นเบอร์ 1 กรมปทุมวัน มาเพียงแค่ปีเศษเท่านั้น
แล้วก็เป็นไปตามสคริปต์ เมื่อคนที่ออกมากางปีกการันตีขาเก้าอี้ ผบ.ตร.ให้ก็ไม่ใช้ใครที่ไหน เป็น “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคงและรมว.กลาโหม ในฐานะที่กำกับดูแลสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.)
“บิ๊กป้อม” แสดงท่าทีนั่งยันนอนยันว่าไม่มีแนวคิดที่จะเปลี่ยนตัว “บิ๊กแป๊ะ” อย่างที่เม้ามอยกัน พร้อมถามกลับด้วยว่า ผบ.ตร.ทำผิดอะไร ทำไมถึงต้องเปลี่ยนตัว ซึ่งก็เป็น “ไดอะล็อค” คล้ายๆกับที่เคยออกมา “แก้ข่าว” หลายๆครั้งก่อนหน้านี้
ที่แปลกไปก็ครั้งนี้ พล.อ.ประวิตรยังโทษไปถึงการบิดเบือนข่าวสารในสังคมออนไลน์แล้วสื่อก็นำไปเขียนแบบไม่รับผิดชอบ และยังพูดเป็นนัยว่าจะให้ กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (ปอท.) ไปสืบสาวต้นตอที่มาของข่าวลืออีกด้วย
จับท่าทีเช่นนี้ดูเหมือน “บิ๊กป้อม” จะไม่ค่อยปลื้มกับข่าวลือปลด ผบ.ตร.ที่หลุดออกมา
หากแต่ใน “วงการสีกากี” มองว่า ข่าวเปลี่ยนตัว ผบ.ตร.เป็นแค่ “มุกตื้นๆ” ของเหล่า “ผู้มีอำนาจ” เวลาไม่พอใจ หรือต้องการอะไร “เป็นพิเศษ” จาก สตช.
ในขณะที่การสั่งการ ปอท.ไปสาวไส้หาต้นตอข่าวก็เป็นเพียงพิธีกรรมกลบเกลื่อน “แก้เกี้ยว” เท่านั้น เพราะว่ากันว่าสาวไปสาวมา “ตาน้ำ” ข่าวปล่อยครั้งนี้ไม่ใกล้ไม่ไกลอยู่ที่ “มูลนิธิชื่อดัง” ที่ตั้งอยู่ในกรมทหารราบที่ 1 มหาดเล็กรักษาพระองค์ หรือ ร.1 รอ. แถวๆ ถ.วิภาวดีรังสิต นี่เอง
ดังนั้นคำถามที่ควรถาม ไม่ใช่ว่า “บิ๊กแป๊ะ” ผิดอะไร แต่ต้องถามว่าปล่อยข่าวทำไมมากกว่า
แล้วก็ควรถามต่อไปว่า ในเวลานี้สถานะของ “บิ๊กป้อม” กับ “บิ๊กแป๊ะ” ใครมั่นคงกว่ากัน
จริงอยู่ถ้าย้อนไปดูเส้นทางของ “บิ๊กแป๊ะ” ที่ทะยานแบบฟาสต์แทรกขึ้นเบอร์ 1 กรมปทุมวันทั้งที่เหลืออายุราชการถึง 5 ปี ณ นาทีนั้น ทุกคนต่างเชื่อกันว่าเป็นเพราะความเป็น “น้องรักของพี่ป้อม” ที่นำพาไปถึงจุดสูงสุดของผู้พิทักษ์สันติราษฎร์
หากแต่กาลเวลาผ่านไป ภาพความเป็น “น้องรักของพี่ป้อม” เริ่มเลือนราง แต่ภาพ “สายตรงนายกฯตู่” เริ่มชัดเจนขึ้นมากกว่า ซึ่งว่ากันว่ามาจากเครือข่ายในวิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร หรือ “วปอ.คอนเนกชั่น” ที่แม้จะเรียนคนละรุ่น แต่ก็เป็นรุ่นต่อเนื่องกัน โดย “ผบ.แป๊ะ” เรียนในรุ่นปี 2549 ส่วน “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เข้าเรียนในรุ่นถัดมาเป็น วปอ.50
แถมยังมี “บิ๊กอ้อ” พล.อ.วิลาศ อรุณศรี เลขาธิการนายกรัฐมนตรี เพื่อนร่วมรุ่น วปอ.49 เป็นตัวเชื่อมให้อีกต่างหาก
ในทางกลับกันสถานะ “ผู้มากบารมี” ของ พล.อ.ประวิตรที่เคยคั่วสมญานาม “ป๋าป้อม” อยู่พักใหญ่กลับดำดิ่งอยู่ในชาวง “ขาลง” จากหลายๆกรณีที่เกิดขึ้นในห้วงเวลาที่ผ่านมา ที่ชัดๆก็ในช่วงที่มีการแต่งตั้งโยกย้ายตำรวจระดับ “นายพัน” ตำแหน่ง สารวัตร (สว.)- รองผู้บังคับการ (รอง ผบก.) วาระประจำปี 2558 ที่ชุลมุนชุลเกปิดโผไม่ลง ชะลอการประกาศหลายครั้งจนมีปัญหาข้ามปีกันเลยทีเดียว
ถ้า “ผู้นำสีกากี” อยู่ในอาณัติของ “บิ๊กป้อม” จริง โผนายพันตำรวจน่าจะลงตัวอย่างง่ายดาย แต่ตลอดระยะเวลาของการทำโผกลับมีข่าวว่า “ตั๋วทะลัก” เกินเก้าอี้ว่างในแต่ละกองบัญชาการ จนเกิดรายการงัดข้อกันระหว่าง “แป๊ะเล็ก” พล.ต.ท.ศานิตย์ มหถาวร ผู้บัญชาการประจำสำนักงาน ผบ.ตร. รักษาการผู้บัญชาการตำรวจนครบาล (ผบช.น.) ตำแหน่งในตอนนั้น กับ “เดอะโจ๊ก” พล.ต.ต.สุรเชษฐ์ หักพาล ผู้บังคับการตำรวจท่องเที่ยว (ตำแหน่งในตอนนั้น)
ฝ่ายแรกถูกมองว่าเป็น “สายตรงบิ๊กตู่” ขณะที่ฝ่ายหลังถูกมองว่าเป็น “สายตรงบิ๊กป้อม” โดยมี “ผบ.แป๊ะ” กลืนไม่เข้าคลายไม่ออกอยู่ตรงกลาง โดยการงัดข้อยกแรกนั้นฝ่าย “เดอะโจ๊ก” ต้องล่าถอยกลับไปตั้งหลัก ก่อนที่ “พี่ใหญ่บูรพาพยัคฆ์” ต้องส่งมือดีอีก 2 หน่อออกมายันศึก
คนหนึ่งคือ “บิ๊กกี่” พล.อ.นพดล อินทปัญญา เพื่อนรักเตรียมทหารรุ่น 6 ของ พล.อ.ประวิตร ส่วนอีกคนก็ “บิ๊กป๊อด” พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ อดีต ผบ.ตร. น้องในไส้ของ พล.อ.ประวิตร
สุดท้ายแม้ระดมสรรพกำลัง ขนขุนศึกเอกเข้าชน แต่ก็เอาไม่อยู่ พังพาบเสียเชิงไปก็ไม่น้อย เมื่อฝ่าย “บิ๊กป้อม” สมใจไปแค่บางส่วน ขณะที่ตำแหน่งหลักส่วนใหญ่เป็นไปตาม “โผตึกไทยคู่ฟ้า” และกลายเป็นจุดแตกหัก เปลี่ยนภาพของ พล.อ.จักรทิพย์ จาก “น้องรักของพี่ป้อม” มาเป็น “สายตรงนายกฯตู่” เต็มตัว
ต่อเนื่องมาถึงการแต่งตั้งโยกย้าย ผู้บังคับการ (ผบก.) ถึงรองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (รอง ผบ.ตร.) วาระประจำปี 2559 หรือ “โผนายพลตำรวจ” จำนวน 321 ตำแหน่ง เมื่อปลายเดือน ก.ย.ที่ผ่านมา โดยในวันที่ประกาศโผอย่างเป็นทางการ พล.อ.ประวิตร ในฐานะประธานคณะกรรมการข้าราชการตำรวจ (ก.ตร.) ก็ได้ไปเป็นเป็นประธานในการประชุม ก.ตร.ด้วยตัวเอง แต่ผลที่ออกมาเหมือนตบหน้า “หัวโต๊ะ” อย่างแรง เมื่อ “เด็กปั้น” หลายคนไม่ได้รับการจัดวางตามที่ “รีเควส” ไป
ที่พอรับได้อาจจะมีเพียง “เดอะโจ๊ก” ที่กระโดดจากตำรวจท่องเที่ยวไปคุมกองบังคับการสายตรวจและปฏิบัติการพิเศษ (สปพ.) หรือตำรวจ 191 เท่านั้น
ถัดมาที่การแต่งตั้งโยกย้ายนายทหารชั้นนายพลประจำปี 2559 ที่สะท้อนได้เป็นอย่างดีว่าบารมีของ “ป๋าป้อม” เข้าขั้นวิกฤต เมื่อ “บิ๊กเจี๊ยบ” พล.อ.เฉลิมชัย สิทธิสาท นายทหารจากหน่วยบัญชาการสงครามพิเศษ หรือ “เบเร่ต์แดงรบพิเศษ” ได้ขึ้นเป็นผู้บัญชาทหารบก (ผบ.ทบ.) หักด่าน “บูรพาพยัคฆ์” ของ พล.อ.ประวิตร ไปอย่างหน้าตาเฉย เพราะในวันนั้น พล.อ.ประวิตร ส่ง “บิ๊กแกละ” พล.อ.พิสิทธิ์ สิทธิสาร เข้าประกวด แต่ก็ยากจะต้านทานแรงผลักดันแบบสามัคคีจากผู้ใหญ่ในบ้านเมือง รวมทั้ง “น้องตู่” ที่หนุนหลัง พล.อ.เฉลิมชัย ด้วย
ไม่เพียงแต่ตำแหน่ง ผบ.ทบ.เท่านั้น ตำแหน่งหลักกำลังรบหลายส่วน โดยเฉพาะการที่ “บิ๊กแดง” พล.ท.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ ซึ่งว่ากันว่าเป็น สายตรง พล.อ.ประยุทธ์ ได้ขึ้นเป็นแม่ทัพภาค 1 คุมกำลังในเขตพระนคร เบียด “บิ๊กตู่เล็ก” พล.ต.กู้เกียรติ ศรีนาคา เด็กสร้างของ พล.อ.ประวิตร ไปแบบไม่หักปากกาเซียน แต่หักหน้า พล.อ.ประวิตรมากกว่า
ทราบมาว่าในความเป็นจริง “บิ๊กป้อม” ก็ไม่ได้สนับสนุน พล.ต.กู้เกียรติเท่าไร เพียงแค่ไม่อยากให้แม่ทัพภาคที่ 1 ชื่อ พล.ท.อภิรัชต์ มากกว่า เพราะ พล.อ.ประวิตร ไม่ปลาบปลื้มนายทหารที่มีพื้นเพมาจาก กรมทหารราบที่ 11 รักษาพระองค์ หรือสาย “วงศ์เทวัญ” เข้าขั้นรุนแรง ซึ่งอาจหมายรวมไปถึง “บิ๊กต๊อก” พล.อ.ไพบูลย์ คุ้มฉายา รมว.ยุติธรรม มือทำงานคนสำคัญของ พล.อ.ประยุทธ์ ในตอนนี้ด้วย
หรือกระทั่งการผลักดัน “เสธ.อาร์ต” พล.ท.ปิยะวัฒน์ นาควานิช น้องชาย “บิ๊กหมู” พล.อ.ธีรชัย นาควานิช อดีต ผบ.ทบ. ขึ้นเป็นแม่ทัพภาคที่ 4 แต่ก็ถูก “ปาดหน้าเค้ก” โดยการตั้ง “ครม.ส่วนหน้า” หรือคณะผู้แทนพิเศษของคณะกรรมการขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ (คปต.) ในการแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ ซึ่งมี “บิ๊กโด่ง” พล.อ.อุดมเดช สีตบุตร รมช.กลาโหม เป็นหัวหน้าคณะ มาครอบ มทภ.4 อีกชั้นหนึ่ง
การขยับตำแหน่งทั้งสีกากี หรือสีเขียวแต่ละดอก ทำเอา “ป๋าป้อม” ได้แต่ “น้ำท่วมปาก” เมื่อเห็นสัญญาณความง่อนแง่นของอนาคตตัวเอง
เหตุเพราะเมื่อขอคำชี้แจงจาก “น้องตู่” ก็ได้รับคำชี้แจงแบบนิ่มๆว่า ไม่อยากให้เกิดความขัดแย้งขึ้นมในกองทัพ จากข้อครหาที่ ผบ.ทบ.ต้องเป็น “บูรพาพยัคฆ์” เท่านั้น จึงต้องคืนความชอบธรรมให้กับกองทัพ เพื่อให้เกิดเอกภาพ อีกทั้งยังมีเหตุผล “ด้านความมั่นคง” จากเหตุการณ์ความรุนแรงหลายครั้งที่เกิดขึ้น ที่เข้าข่ายการ “ก่อวินาศกรรม” อย่างเหตุระเบิดหน้าศาลพระพรหมเอราวัณ แยกราชประสงค์ ที่มีผู้บาดเจ็บ-เสียชีวิตจำนวนมาก หลังจากการจัดกิจกรรมสำคัญ “Bike for MOM” เพียงแค่วันเดียว
หรือล่าสุดกับการก่อวินาศกรรมหลายจุดในพื้นที่ภาคใต้ เมื่อวันที่ 12 สิงหาคม 2559 ซึ่งเป็น “วันสำคัญ” เช่นกัน โดยเฉพาะใน “พื้นที่พิเศษ” อย่าง “หัวหิน” ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความล้มเหลวในการบริหารงานทางด้านความมั่นคงภายใต้การนำของ พล.อ.ประวิตร ตามมาด้วย “สัญญาณพิเศษ” ที่ทำให้บทบาทของ “บิ๊กป้อม” เริ่มเงียบหายไป
แถมยังเจอหมัดเด็ดสอยเข้าที่ปลายคาง จากเอฟเฟ็คต์ของ “ทริปอะโลฮ่า ฮาวาย” ที่ “บิ๊กป้อม” และคณะ ใช้บริการเครื่องบินเช่าเหมาลำจากการบินไทย ไปร่วมประชุมรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมอาเซียน-รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ อย่างไม่เป็นทางการ ณ เมืองโฮโนลูลู มลรัฐฮาวาย สหรัฐอเมริกา สนนราคาที่เป็นตัวเลขกลมๆ กว่า 21 ล้านบาท
เรื่องงบประมาณก็ส่วนหนึ่ง แต่เรื่องที่ถูกขุดคุ้ยหนักกลับเป็นรายชื่อ “ผู้ร่วมคณะ” เมื่อปรากฎชื่อ “สาวทิพย์” ชลรัศมี งาทวีสุข ผู้ประกาศข่าวและผู้ดำเนินรายการของ ททบ.5 อยู่ในรายชื่อคณะที่จะเดินทางไปด้วย แต่อาจบางอย่างขัดข้องทางเทคนิค ทำให้ “สาวทิพย์” ไม่ได้ขึ้นเครื่องไปด้วยในวันนั้น
และในระหว่างที่สื่อและสังคมออนไลน์กำลังไล่บี้ “ป้อม อะโลฮ่า” อย่างเมามัน ก็เกิดเหตุการณ์สำคัญขึ้น กลายเป็นระฆังหมดยกไปเสียก่อน มิเช่นนั้น อาจโดนน็อคกลางอากาศไปแล้วก็ได้
หลังจากนั้นเป็นต้นมา จะสังเกตได้ว่า พล.อ.ประวิตรก็ทำตัวโลว์โปรไฟล์ ไม่ค่อยเห็นหน้าคร่าตาเหมือนปกติ โผล่มาอีกทีก็ดันมาทำตัว “ล่อเป้า” พูดจาไม่สมกับฐานะรองนายกฯ เบอร์ 2 ของประเทศ เมื่อบอกให้ชาวนาไปขายปุ๋ยแทนการขายข้าวที่ราคาตกต่ำ
ก่อนจะมีแก้ตัวเป็นพัลวันว่า ไม่ได้ตั้งใจหมายความอย่างที่พูด แต่เป็นการหยอกล้อกับผู้สื่อข่าวเท่านั้น
ทำไปทำมาจาก “แคนดิเดตนายกฯคนนอก” หลังรัฐบาล คสช.ผละอำนาจ ดันกลายมาเป็น “จุดอ่อน” ที่รอเวลากำจัดทิ้ง เหมือนน้ำเสียที่รอการระบาย ที่สำคัญบทบาทของ พล.อ.ประวิตร ที่ถูกดึงมาร่วมก่อการรัฐประหารในนาม คสช.นั้น ก็เพื่ออาศัยบารมี “พี่ใหญ่” ในการรวบรวมสรรพกำลังจากน้องๆในกองทัพ และเมื่อมาเป็นรัฐบาลก็ใช้บารมีที่มีอยู่กำกับดูแลหน่วยงานความมั่นคง โดยเฉพาะกองทัพอย่างต่อเนื่อง
หากแต่ถึงนาทีนี้บทบาทความสำคัญของ “บิ๊กป้อม” อาจเข้าข่าย “ไม่จำเป็น” ไปเสียแล้ว เพราะขุมข่ายอำนาจกำลังพลต่างๆก็ถูกจัดวางก็ฉีกออกจากไลน์ที่ พล.อ.ประวิตรวางไว้พอสมควร เสมือนการกัน “บิ๊กป้อม” ให้หลุดวงโคจรไปเรื่อยๆ
ยิ่งไปกว่านั้นหากเทียบกันปอนด์ต่อปอนด์แล้ว บารมีของ “น้องตู่” วันนี้ทิ้ง “พี่ป้อม” ไปไกลหลายขุม ทั้งในแง่ของการควบคุมน้องๆในกองทัพ หรือกระแสความนิยมที่มวลชนมีให้
จะว่า “บิ๊กป้อม” หมดประโยชน์แล้วก็คงไม่ผิดนัก
จึงต้องย้อนกลับมาที่กระแสข่าวการปลด “ผบ.แป๊ะ” ที่โดยตำแหน่งแล้ว “บิ๊กป้อม” ก็ต้องออกมากางปีกปกป้อง แต่ความเป็นจริงนั้นสิทธิ์ขาดการตัดสินใจอยู่ที่ “นายกฯตู่” มากกว่า เมื่อเป็นแบบนี้แล้วก็การันตีได้เลยว่าขาเก้าอี้ ผบ.ตร.แข็งโป๊ก นั่งต่อไปได้ยาวๆ
“กรมข่าวลือ” แถวๆ ร.1 รอ.คงต้องหานิยายเรื่องอื่นมาปล่อยสร้างกระแสกันต่อไป
ในทางกลับกัน หากเป็นคิวของ “บิ๊กป้อม” บ้าง อาจจะไม่มีข่าวลือข่าวปล่อยมาล่วงหน้า จู่ๆอาจโดนเด้งดึ๋งด้วย “สัญญาณพิเศษ” ชนิดไม่รู้เนื้อรู้ตัว แบบที่ใครหน้าไหนก็มากางปีกปกป้องไม่ทัน
สุดท้าย “ป้อม” หรือ “แป๊ะ” ใครจะอยู่ยืดกว่ากัน น่าติดตาม!!