“สอดแนมการเมือง”
โดย “ชัชวาลย์ ชาติสุทธิชัย”
ทุกรัฐบาลอยู่ได้ด้วยความชอบธรรมกับความดี มิใช่ซื้อด้วย“เงิน”และบังคับด้วย“ปืน”!
วิกฤติเหตุการณ์พฤษภาคม 2535 เมื่อรัฐบาลมาจากการเลือกตั้ง “พล.อ.ชาติชาย ชุณหะวัณ” สิ้นความชอบธรรม เพราะถูกครหาว่ามีการคอร์รัปชั่นมากมาย
แถม “ขุนทหาร จปร.รุ่น5” ที่คุมกำลังในกองทัพ ได้ขัดแย้งกับรัฐบาล “น้าชาติ” อย่างหนัก จากข่าวลือจะมีการโยกย้ายนายทหารครั้งใหญ่ “ขุนทหารฯ”จึงรัฐประหารโค่นรัฐบาล“น้าชาติ”ลง ในวันที่ 13 พฤษภาคม 2534
คณะรัฐประหาร “รสช.” ได้ตั้ง “นายอานันท์ ปันยารชุน” อดีตนักการทูตที่ชาติตะวันตกพอใจ เป็นนายกรัฐมนตรีของรัฐบาลเผด็จการทหาร “รสช.”
ต้องยอมรับว่า.. “อานันท์” บริหารชาติไทย ยุคทหารครองเมืองได้ดีพอควร แต่อิสระเกินความต้องการของทหารที่มีอำนาจในห้วงนั้น
“นายทหาร รสช.” ที่มุ่งจะสืบทอดอำนาจต่อ จึงก่อตั้ง “พรรคสามัคคีธรรม” ของตนขึ้น ซื้อตัวอดีตนักการเมืองหน้าเดิมๆ อีกทั้งร่วมกับ “พ่อค้าบางคน” ใช้อำนาจรัฐแสวงหาเงินทอง มาให้นักการเมืองเหล่านั้น ซื้อเสียงเลือกตั้งในวันที่ 22 มีนาคม 2535 จนชนะพรรคคู่แข่งเข้ายึดอำนาจในรัฐสภาไว้ได้
โดย “กลุ่มทหาร รสช.” พยายามจะผลักดัน “ณรงค์ วงศ์วรรณ” หัวหน้าพรรคของตนเป็นนายกฯ แต่นายณรงค์ถูก “มาร์การ์เร็ต แท็ตไวเลอร์” โฆษก กต. มะกัน ประกาศว่า “เป็นผู้หนึ่งที่ไม่สามารถขอวีซ่าเดินทางเข้าสหรัฐฯได้” ด้วยใกล้ชิดกับพ่อค้ายาเสพติด นายณรงค์จึงชวดตำแหน่งนายกฯ
ท่ามกลางกระแสเรียกร้อง ให้นายกฯต้องมาจากการเลือกตั้ง แต่“กลุ่มทหาร รสช.”กลับแต่งตั้ง“พล.อ.สุจินดา คราประยูร” ที่ไม่ผ่านการเลือกตั้ง และได้ประกาศจะไม่รับตำแหน่งใดๆทั้งสิ้นทางการเมือง ขึ้นเป็น“นายกฯ-ตระบัดสัตย์”
ทำให้“นายกฯบิ๊กสุ”เจอการขับไล่ไปทั่ว ทั้ง“พล.ต.จำลอง ศรีเมือง” ทั้งขบวนนักศึกษาและประชาชน ทั้งกองทัพสื่อมวลชน พร้อมใจกันชักธงรบ โดยเฉพาะเครือ“ผู้จัดการ”ของ“สนธิลิ้ม”
แถมมีพลพรรค“ความหวังใหม่” นำโดย“พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ” กับพลพรรค“ปชป.” นำโดย“ชวน หลีกภัย” ก็ออกมาผสมโรงในศึกครั้งนี้ด้วย
ส่วน“ทุนสามานย์เหลี่ยม”ใช้แผน“สายลับสองหน้า”! หน้าหนึ่ง-หนุน“กลุ่มทหาร รสช.”จนได้สวาปาม“สัมปทานดาวเทียม”! อีกหน้าหนึ่ง-ส่งอดีตนักเคลื่อนไหว“เดือนตุลา”ในสังกัดของตน เข้าร่วมกับ“มหาจำลอง”ขับไล่รัฐบาล“บิ๊กสุ”!
วันนั้น..รัฐบาล“บิ๊กสุ”สิ้นความชอบธรรมลงแล้ว แต่ด้วย“นายกฯบิ๊กสุ”มีญาติและเพื่อนพ้อง คุมกำลังในสามเหล่าทัพ สนับสนุนแบบเต็มร้อย เหตุการณ์จึงบานปลายเป็นความรุนแรง ถึงขั้นกำลังทหารได้ใช้อาวุธสงคราม ออกมาเข่นฆ่าผู้ชุมนุมที่มีเพียงสองมือเปล่า จนบาดเจ็บล้มตายไปมากมาย
ทว่า..ขบวนการนักศึกษาและประชาชน กลับมิได้เกรงกลัวต่อความตายแม้แต่น้อย การชุมนุมขับไล่รัฐบาล“บิ๊กสุ”จึงขยายตัวไปทั่วกรุงเทพฯอย่างรวดเร็ว
แม้จะมีคนตายไปแล้วถึง 40 คน บาดเจ็บอีกกว่า 600 คน แต่วิกฤติการเมืองวันนั้น..ยังมีแนวโน้มว่า “ไทย-จะฆ่า-ไทย”ต่อไป ห้วงนั้นชาวไทยและชาวโลกต่างเชื่อมั่นว่า ไทยกำลังเดินหน้าสู่“สงครามกลางเมือง”อย่างแน่นอน จึงมีสื่อมวลชนจากทั่วโลก ยกทัพมาทำข่าวในไทยกันอย่างมากมาย
โชคดี-ที่คนไทยมี“ในหลวงรัชกาลที่เก้า” ผู้ทรงครองแผ่นดินโดยธรรม อีกทั้งทรงทศพิธราชธรรมยิ่งนัก รวมทั้งพระองค์ทรงรักประชาชนอย่างเปี่ยมท้น
20 พฤษภาคม 2535 พล.อ.สุจินดา คราประยูร นายกรัฐมนตรี และ พล.ต.จำลอง ศรีเมือง ผู้นำการชุมนุม ได้นั่งสงบอยู่เบื้องพระพักตร์ โดย“ในหลวงรัชกาลที่เก้า”ทรงมีพระราชดำรัสว่า
“คงเป็นที่แปลกใจ ทำไมถึงเชิญให้ท่านมาพบกันอย่างนี้ เพราะทุกคนก็ทราบว่า เหตุการณ์มีความยุ่งเหยิงอย่างไร และทำให้ประเทศชาติล่มจมได้ แต่ที่จะแปลกใจก็อาจมีว่า ทำไมเชิญ พลเอกสุจินดา คราประยูร และ พลตรีจำลอง ศรีเมือง เพราะว่าอาจมีผู้ที่แสดงเป็นตัวละครมากกว่านี้ แต่ว่าที่เชิญมาเพราะว่า ตั้งแต่แรกที่มีเหตุการณ์ สองท่านเป็นผู้ที่เผชิญหน้ากัน แล้วก็ในที่สุดเป็นการต่อสู้ หรือการเผชิญหน้ากว้างขวางขึ้น ถึงได้เชิญสองท่านมา
การเผชิญหน้าตอนแรก ก็จะเห็นจุดประสงค์ของทั้ง 2 ฝ่ายได้ชัดเจนพอสมควร แต่ต่อมาภายหลัง 10 กว่าวัน ก็เห็นแล้วว่าการเผชิญหน้านั้น เปลี่ยนโฉมหน้าไปอย่างมาก จนกระทั่งออกมาอย่างไรก็ตาม เสียทั้งนั้น เพราะว่าทำให้มีความเสียหาย ในทางชีวิตเลือดเนื้อของคนจำนวนมากพอสมควร แล้วก็ความเสียหายทางวัตถุ ซึ่งเป็นของส่วนราชการและส่วนบุคคลเป็นมูลค่ามากมาย
นอกจากนี้ก็มีความเสียหายในทางจิตใจ และในทางเศรษฐกิจของประเทศชาติ อย่างที่จะนับพรรณนาไม่ได้ ฉะนั้นการที่จะเป็นไปอย่างนี้ต่อไป จะเป็นเหตุผลหรือต้นตออย่างไรก็ช่าง เพราะเดี๋ยวนี้เหตุผลเปลี่ยนไป ถ้าหากว่าเผชิญหน้ากันแบบนี้ต่อไป เมืองไทยมีแต่ล่มจมลงไป แล้วก็จะทำให้ประเทศไทยที่เราสร้างเสริมขึ้นมาอย่างดีเป็นเวลานาน จะกลายเป็นประเทศที่ไม่มีความหมาย หรือมีความหมายในทางลบเป็นอย่างมาก ซึ่งก็เริ่มปรากฏผลแล้ว
ฉะนั้นจะต้องแก้ไข โดยดูว่ามีข้อขัดแย้งอย่างไร แล้วก็พยายามที่จะแก้ไขตามลำดับ เพราะว่าปัญหาที่มีอยู่ทุกวันนี้ สองสามวันนี้มันเปลี่ยนไป ปัญหาไม่ใช่เรื่องของเรียกว่าการเมือง หรือเรียกว่าของการดำรงตำแหน่ง เป็นปัญหาของการสึกหรอของประเทศชาติ ฉะนั้นจะต้องช่วยกันแก้ไข..
..ฉะนั้นก็ขอให้โดยเฉพาะสองท่าน คือ พลเอกสุจินดา และ พลตรีจำลอง ช่วยกันคิด คือ หันหน้าเข้าหากัน ไม่ใช่เผชิญหน้ากัน เพราะว่าเป็นประเทศของเรา..”
สุดท้าย“องค์มหาราชรัชกาลที่เก้า”ได้ตรัสสรุปว่า..
“ท่านประธานองคมนตรี ท่านองคมนตรีเปรม ก็เป็นผู้ใหญ่ผู้พร้อมที่จะให้คำปรึกษาหารือกัน ด้วยความเป็นกลาง ด้วยความรักชาติ เพื่อสร้างสรรค์ประเทศ ให้เข้าสู่ความปลอดภัยในเร็ววัน ขอฝากให้ช่วยกันสร้างชาติ”
เหลือเชื่อ!..อัศจรรย์บังเกิด พระบารมี“ในหลวงรัชกาลที่เก้า”อันยิ่งใหญ่ เพียงมีพระราชดำรัส ก็ยุติเหตุวิกฤติ“ไทยฆ่าไทย-ตายเป็นเบือ”ได้ฉับพลัน
โดย พล.อ.สุจินดา คราประยูร นายกฯที่มีกองทัพไทย-หนุนหลัง พลตรีจำลอง ศรีเมือง ที่มีกองทัพประชาชน-สนับสนุน ซึ่งทั้งสองฝ่ายพร้อมเดินหน้าปะทะกัน พลันหันหน้าเข้าหากันทันที..
รัฐบาล“บิ๊กสุ”ปล่อยตัว“มหาจำลอง”และคณะ ก่อนประกาศลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี!
แต่เรื่องราวการเมืองไทยไม่จบ เพราะ“คณะนายทหาร รสช.”บางคน กับนักการเมืองหน้าเดิม ยังมุ่งมั่นจะสืบทอดอำนาจรัฐอธรรมต่อไป โดยใช้วิธีคุมตัว“ประธานสภาฯ ดร.อาทิตย์ อุไรรัตน์” ไปเก็บตัวไว้ที่ จ.เชียงราย เพื่อกดดันให้ตั้ง“พล.อ.อ.สมบุญ ระหงษ์” ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรี ท่ามกลางเสียงต่อต้านของผู้รักชาติรักประชาธิปไตย
แต่งานนี้..ฟ้าให้“สมบุญ”มาเกิด ไฉนให้“ดร.อาทิตย์”มาเป็นประธานรัฐสภาฯด้วยเล่า?
เพราะ“ประธานสภาฯ”ผู้กล้าหาญและรักชาติผู้นี้ ได้ปล่อยให้“นายกรัฐมนตรี รสช.ตั้ง” “สมบุญ”ที่ “บุญไม่ถึง” แต่งชุดขาวรอเก้อ ด้วยขบวนอัญเชิญพระบรมราชโองการแต่งตั้งนายกฯ กลับมุ่งหน้าไปยังบ้าน “อานันท์ ปันยารชุน”แทน
เล่นเอา“คณะทหาร รสช.”และนักการเมืองหน้าเดิมๆ-ซึมจ๋อยกันเป็นแถว! ก่อนจะปล่อยข่าวให้ร้ายป้ายสี “ดร.อาทิตย์-ประธานสภาฯ”ต่างๆนานา ถึงขนาด“ใครบางคน”ให้ร้ายป้ายสีว่า ที่“ดร.อาทิตย์”ไม่ตั้ง “สมบุญ”เป็นนายกฯ เพราะ“สมบุญ”ไม่ยอมจ่ายเงิน 150 ล้านบาทว่ะ..ว้าว! โกหกได้หน้าตาเฉยจริงๆ
แต่งานนี้..ประชาชนคนไทยทั้งชาติ พากันชื่นชมการปฏิบัติหน้าที่“ประธานสภาฯ” ของ“ดร.อาทิตย์ อุไรรัตน์” ถึงขนาดยกย่องให้เป็น“วีรบุรุษประชาธิปไตย”ของชาติไทยเลยทีเดียว
โชคดีจริงๆใช่ไหม..ที่ชาติและคนไทย มี“พระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่เก้า”ผู้ครองแผ่นดินโดยธรรม ทรงแก้ไขวิกฤติการเมืองอันเลวร้าย ในเหตุการณ์“พฤษภคม 2535” ให้รอดพ้นจากเหตุการณ์“ไทยฆ่าไทย-ตายเป็นเบือ”ได้อย่างหวุดหวิด..
ชัดไหม..ถ้าไม่มี“องค์มหาราชในหลวงรัชกาลที่เก้า” หลายคราชาติไทยคง“เลือดนองท้องช้าง-ตายเป็นเบือ”ไปแล้ว..!!!
โดย “ชัชวาลย์ ชาติสุทธิชัย”
ทุกรัฐบาลอยู่ได้ด้วยความชอบธรรมกับความดี มิใช่ซื้อด้วย“เงิน”และบังคับด้วย“ปืน”!
วิกฤติเหตุการณ์พฤษภาคม 2535 เมื่อรัฐบาลมาจากการเลือกตั้ง “พล.อ.ชาติชาย ชุณหะวัณ” สิ้นความชอบธรรม เพราะถูกครหาว่ามีการคอร์รัปชั่นมากมาย
แถม “ขุนทหาร จปร.รุ่น5” ที่คุมกำลังในกองทัพ ได้ขัดแย้งกับรัฐบาล “น้าชาติ” อย่างหนัก จากข่าวลือจะมีการโยกย้ายนายทหารครั้งใหญ่ “ขุนทหารฯ”จึงรัฐประหารโค่นรัฐบาล“น้าชาติ”ลง ในวันที่ 13 พฤษภาคม 2534
คณะรัฐประหาร “รสช.” ได้ตั้ง “นายอานันท์ ปันยารชุน” อดีตนักการทูตที่ชาติตะวันตกพอใจ เป็นนายกรัฐมนตรีของรัฐบาลเผด็จการทหาร “รสช.”
ต้องยอมรับว่า.. “อานันท์” บริหารชาติไทย ยุคทหารครองเมืองได้ดีพอควร แต่อิสระเกินความต้องการของทหารที่มีอำนาจในห้วงนั้น
“นายทหาร รสช.” ที่มุ่งจะสืบทอดอำนาจต่อ จึงก่อตั้ง “พรรคสามัคคีธรรม” ของตนขึ้น ซื้อตัวอดีตนักการเมืองหน้าเดิมๆ อีกทั้งร่วมกับ “พ่อค้าบางคน” ใช้อำนาจรัฐแสวงหาเงินทอง มาให้นักการเมืองเหล่านั้น ซื้อเสียงเลือกตั้งในวันที่ 22 มีนาคม 2535 จนชนะพรรคคู่แข่งเข้ายึดอำนาจในรัฐสภาไว้ได้
โดย “กลุ่มทหาร รสช.” พยายามจะผลักดัน “ณรงค์ วงศ์วรรณ” หัวหน้าพรรคของตนเป็นนายกฯ แต่นายณรงค์ถูก “มาร์การ์เร็ต แท็ตไวเลอร์” โฆษก กต. มะกัน ประกาศว่า “เป็นผู้หนึ่งที่ไม่สามารถขอวีซ่าเดินทางเข้าสหรัฐฯได้” ด้วยใกล้ชิดกับพ่อค้ายาเสพติด นายณรงค์จึงชวดตำแหน่งนายกฯ
ท่ามกลางกระแสเรียกร้อง ให้นายกฯต้องมาจากการเลือกตั้ง แต่“กลุ่มทหาร รสช.”กลับแต่งตั้ง“พล.อ.สุจินดา คราประยูร” ที่ไม่ผ่านการเลือกตั้ง และได้ประกาศจะไม่รับตำแหน่งใดๆทั้งสิ้นทางการเมือง ขึ้นเป็น“นายกฯ-ตระบัดสัตย์”
ทำให้“นายกฯบิ๊กสุ”เจอการขับไล่ไปทั่ว ทั้ง“พล.ต.จำลอง ศรีเมือง” ทั้งขบวนนักศึกษาและประชาชน ทั้งกองทัพสื่อมวลชน พร้อมใจกันชักธงรบ โดยเฉพาะเครือ“ผู้จัดการ”ของ“สนธิลิ้ม”
แถมมีพลพรรค“ความหวังใหม่” นำโดย“พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ” กับพลพรรค“ปชป.” นำโดย“ชวน หลีกภัย” ก็ออกมาผสมโรงในศึกครั้งนี้ด้วย
ส่วน“ทุนสามานย์เหลี่ยม”ใช้แผน“สายลับสองหน้า”! หน้าหนึ่ง-หนุน“กลุ่มทหาร รสช.”จนได้สวาปาม“สัมปทานดาวเทียม”! อีกหน้าหนึ่ง-ส่งอดีตนักเคลื่อนไหว“เดือนตุลา”ในสังกัดของตน เข้าร่วมกับ“มหาจำลอง”ขับไล่รัฐบาล“บิ๊กสุ”!
วันนั้น..รัฐบาล“บิ๊กสุ”สิ้นความชอบธรรมลงแล้ว แต่ด้วย“นายกฯบิ๊กสุ”มีญาติและเพื่อนพ้อง คุมกำลังในสามเหล่าทัพ สนับสนุนแบบเต็มร้อย เหตุการณ์จึงบานปลายเป็นความรุนแรง ถึงขั้นกำลังทหารได้ใช้อาวุธสงคราม ออกมาเข่นฆ่าผู้ชุมนุมที่มีเพียงสองมือเปล่า จนบาดเจ็บล้มตายไปมากมาย
ทว่า..ขบวนการนักศึกษาและประชาชน กลับมิได้เกรงกลัวต่อความตายแม้แต่น้อย การชุมนุมขับไล่รัฐบาล“บิ๊กสุ”จึงขยายตัวไปทั่วกรุงเทพฯอย่างรวดเร็ว
แม้จะมีคนตายไปแล้วถึง 40 คน บาดเจ็บอีกกว่า 600 คน แต่วิกฤติการเมืองวันนั้น..ยังมีแนวโน้มว่า “ไทย-จะฆ่า-ไทย”ต่อไป ห้วงนั้นชาวไทยและชาวโลกต่างเชื่อมั่นว่า ไทยกำลังเดินหน้าสู่“สงครามกลางเมือง”อย่างแน่นอน จึงมีสื่อมวลชนจากทั่วโลก ยกทัพมาทำข่าวในไทยกันอย่างมากมาย
โชคดี-ที่คนไทยมี“ในหลวงรัชกาลที่เก้า” ผู้ทรงครองแผ่นดินโดยธรรม อีกทั้งทรงทศพิธราชธรรมยิ่งนัก รวมทั้งพระองค์ทรงรักประชาชนอย่างเปี่ยมท้น
20 พฤษภาคม 2535 พล.อ.สุจินดา คราประยูร นายกรัฐมนตรี และ พล.ต.จำลอง ศรีเมือง ผู้นำการชุมนุม ได้นั่งสงบอยู่เบื้องพระพักตร์ โดย“ในหลวงรัชกาลที่เก้า”ทรงมีพระราชดำรัสว่า
“คงเป็นที่แปลกใจ ทำไมถึงเชิญให้ท่านมาพบกันอย่างนี้ เพราะทุกคนก็ทราบว่า เหตุการณ์มีความยุ่งเหยิงอย่างไร และทำให้ประเทศชาติล่มจมได้ แต่ที่จะแปลกใจก็อาจมีว่า ทำไมเชิญ พลเอกสุจินดา คราประยูร และ พลตรีจำลอง ศรีเมือง เพราะว่าอาจมีผู้ที่แสดงเป็นตัวละครมากกว่านี้ แต่ว่าที่เชิญมาเพราะว่า ตั้งแต่แรกที่มีเหตุการณ์ สองท่านเป็นผู้ที่เผชิญหน้ากัน แล้วก็ในที่สุดเป็นการต่อสู้ หรือการเผชิญหน้ากว้างขวางขึ้น ถึงได้เชิญสองท่านมา
การเผชิญหน้าตอนแรก ก็จะเห็นจุดประสงค์ของทั้ง 2 ฝ่ายได้ชัดเจนพอสมควร แต่ต่อมาภายหลัง 10 กว่าวัน ก็เห็นแล้วว่าการเผชิญหน้านั้น เปลี่ยนโฉมหน้าไปอย่างมาก จนกระทั่งออกมาอย่างไรก็ตาม เสียทั้งนั้น เพราะว่าทำให้มีความเสียหาย ในทางชีวิตเลือดเนื้อของคนจำนวนมากพอสมควร แล้วก็ความเสียหายทางวัตถุ ซึ่งเป็นของส่วนราชการและส่วนบุคคลเป็นมูลค่ามากมาย
นอกจากนี้ก็มีความเสียหายในทางจิตใจ และในทางเศรษฐกิจของประเทศชาติ อย่างที่จะนับพรรณนาไม่ได้ ฉะนั้นการที่จะเป็นไปอย่างนี้ต่อไป จะเป็นเหตุผลหรือต้นตออย่างไรก็ช่าง เพราะเดี๋ยวนี้เหตุผลเปลี่ยนไป ถ้าหากว่าเผชิญหน้ากันแบบนี้ต่อไป เมืองไทยมีแต่ล่มจมลงไป แล้วก็จะทำให้ประเทศไทยที่เราสร้างเสริมขึ้นมาอย่างดีเป็นเวลานาน จะกลายเป็นประเทศที่ไม่มีความหมาย หรือมีความหมายในทางลบเป็นอย่างมาก ซึ่งก็เริ่มปรากฏผลแล้ว
ฉะนั้นจะต้องแก้ไข โดยดูว่ามีข้อขัดแย้งอย่างไร แล้วก็พยายามที่จะแก้ไขตามลำดับ เพราะว่าปัญหาที่มีอยู่ทุกวันนี้ สองสามวันนี้มันเปลี่ยนไป ปัญหาไม่ใช่เรื่องของเรียกว่าการเมือง หรือเรียกว่าของการดำรงตำแหน่ง เป็นปัญหาของการสึกหรอของประเทศชาติ ฉะนั้นจะต้องช่วยกันแก้ไข..
..ฉะนั้นก็ขอให้โดยเฉพาะสองท่าน คือ พลเอกสุจินดา และ พลตรีจำลอง ช่วยกันคิด คือ หันหน้าเข้าหากัน ไม่ใช่เผชิญหน้ากัน เพราะว่าเป็นประเทศของเรา..”
สุดท้าย“องค์มหาราชรัชกาลที่เก้า”ได้ตรัสสรุปว่า..
“ท่านประธานองคมนตรี ท่านองคมนตรีเปรม ก็เป็นผู้ใหญ่ผู้พร้อมที่จะให้คำปรึกษาหารือกัน ด้วยความเป็นกลาง ด้วยความรักชาติ เพื่อสร้างสรรค์ประเทศ ให้เข้าสู่ความปลอดภัยในเร็ววัน ขอฝากให้ช่วยกันสร้างชาติ”
เหลือเชื่อ!..อัศจรรย์บังเกิด พระบารมี“ในหลวงรัชกาลที่เก้า”อันยิ่งใหญ่ เพียงมีพระราชดำรัส ก็ยุติเหตุวิกฤติ“ไทยฆ่าไทย-ตายเป็นเบือ”ได้ฉับพลัน
โดย พล.อ.สุจินดา คราประยูร นายกฯที่มีกองทัพไทย-หนุนหลัง พลตรีจำลอง ศรีเมือง ที่มีกองทัพประชาชน-สนับสนุน ซึ่งทั้งสองฝ่ายพร้อมเดินหน้าปะทะกัน พลันหันหน้าเข้าหากันทันที..
รัฐบาล“บิ๊กสุ”ปล่อยตัว“มหาจำลอง”และคณะ ก่อนประกาศลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี!
แต่เรื่องราวการเมืองไทยไม่จบ เพราะ“คณะนายทหาร รสช.”บางคน กับนักการเมืองหน้าเดิม ยังมุ่งมั่นจะสืบทอดอำนาจรัฐอธรรมต่อไป โดยใช้วิธีคุมตัว“ประธานสภาฯ ดร.อาทิตย์ อุไรรัตน์” ไปเก็บตัวไว้ที่ จ.เชียงราย เพื่อกดดันให้ตั้ง“พล.อ.อ.สมบุญ ระหงษ์” ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรี ท่ามกลางเสียงต่อต้านของผู้รักชาติรักประชาธิปไตย
แต่งานนี้..ฟ้าให้“สมบุญ”มาเกิด ไฉนให้“ดร.อาทิตย์”มาเป็นประธานรัฐสภาฯด้วยเล่า?
เพราะ“ประธานสภาฯ”ผู้กล้าหาญและรักชาติผู้นี้ ได้ปล่อยให้“นายกรัฐมนตรี รสช.ตั้ง” “สมบุญ”ที่ “บุญไม่ถึง” แต่งชุดขาวรอเก้อ ด้วยขบวนอัญเชิญพระบรมราชโองการแต่งตั้งนายกฯ กลับมุ่งหน้าไปยังบ้าน “อานันท์ ปันยารชุน”แทน
เล่นเอา“คณะทหาร รสช.”และนักการเมืองหน้าเดิมๆ-ซึมจ๋อยกันเป็นแถว! ก่อนจะปล่อยข่าวให้ร้ายป้ายสี “ดร.อาทิตย์-ประธานสภาฯ”ต่างๆนานา ถึงขนาด“ใครบางคน”ให้ร้ายป้ายสีว่า ที่“ดร.อาทิตย์”ไม่ตั้ง “สมบุญ”เป็นนายกฯ เพราะ“สมบุญ”ไม่ยอมจ่ายเงิน 150 ล้านบาทว่ะ..ว้าว! โกหกได้หน้าตาเฉยจริงๆ
แต่งานนี้..ประชาชนคนไทยทั้งชาติ พากันชื่นชมการปฏิบัติหน้าที่“ประธานสภาฯ” ของ“ดร.อาทิตย์ อุไรรัตน์” ถึงขนาดยกย่องให้เป็น“วีรบุรุษประชาธิปไตย”ของชาติไทยเลยทีเดียว
โชคดีจริงๆใช่ไหม..ที่ชาติและคนไทย มี“พระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่เก้า”ผู้ครองแผ่นดินโดยธรรม ทรงแก้ไขวิกฤติการเมืองอันเลวร้าย ในเหตุการณ์“พฤษภคม 2535” ให้รอดพ้นจากเหตุการณ์“ไทยฆ่าไทย-ตายเป็นเบือ”ได้อย่างหวุดหวิด..
ชัดไหม..ถ้าไม่มี“องค์มหาราชในหลวงรัชกาลที่เก้า” หลายคราชาติไทยคง“เลือดนองท้องช้าง-ตายเป็นเบือ”ไปแล้ว..!!!