เมืองไทย 360 องศา
"วันนี้ประเทศกำลังอยู่ในระหว่างสองทางแยก คือจะล้มเหลวต่อไปหรือไม่ หรือว่าจะมีอนาคตที่รุ่งโรจน์ ขึ้นอยู่กับช่วงเวลานี้ เราจึงจำเป็นที่จะต้องมาพูดคุยกันเพื่อกำหนดทิศทาง ในการเดินหน้าประเทศ การทำงานฝ่ายการเมือง รัฐบาลนี้เข้ามาทำงานในแบบของเรา แต่ก็กลายเป็นการเมือง แต่เป็นการเมืองในแบบของเรา เราจำเป็นต้องมีประชาธิปไตยในแบบของเรา ที่ไม่มีความขัดแย้ง มีความสมดุลกับต่างประเทศ ทั้งหมดต้องสร้างความเข้าใจ และรักษาสิ่งที่เราต้องการไว้ให้ได้มากที่สุด เพราะเราเป็นประเทศที่มีความภาคภูมิใจมาโดยตลอด เป็นประเทศที่มีอิสระ เสรี แม้บางครั้งจะมากไป แต่ก็ต้องค่อยๆ แก้ เพราะไม่มีใครผิดหรือถูก เว้นแต่กฎหมายจะชี้ชัดออกมา"
"ประเทศเราอยู่ได้ด้วยการบริหารราชการแผ่นดิน รัฐบาลและธรรมาภิบาล โดยมีข้าราชการนำไปสู่การปฏิบัติ รัฐบาลต้องบริหารงานให้สอดคล้องกับความต้องการและงบประมาณของแผ่นดิน ซึ่งบางอย่างต้องปรับแก้ แต่ต้องสร้างความรับรู้ให้ประชาชนและสังคม วันนี้ต่างประเทศมองดูว่าประเทศไทยจะเดินไปอย่างไร และเราขัดแย้งกับประชาธิปไตยสากลไม่ได้ เพราะเราเป็นประเทศประชาธิปไตย เราต้องทำให้ประชาธิปไตยของไทยเข้มแข็ง ซึ่งจะต้องเป็นความเข้มแข็งทั้งในแบบสากลและแบบของไทย อย่างที่ประเทศไทยต้องการ โดยต้องไม่มีความขัดแย้ง ปัญหาต่างๆ จะเกิดขึ้นอีกไม่ได้นับแต่นี้เป็นต้นไป"
"การทำงานวันนี้ จะต้องมองอนาคตตามยุทธศาสตร์ 20 ปี การจัดสรรงบประมาณต้องเป็นไปตามข้อมูลข้อเท็จจริง เพราะร้อยละ 40 ถึง 50 เป็นประชาชนผู้มีรายได้น้อย ดังนั้นจึงต้องพิจารณาให้รอบคอบ เพื่อจัดสรรงบประมาณลงไปให้ถูกต้อง วันนี้เอาแค่ 1 ปีก่อน ในช่วงเวลาของตนที่อยู่ตามโรดแมปจนถึงปี 2560 เพราะ 2 ปีที่ผ่านมา เป็นการปูพื้นฐาน เราต้องวางแผนปฏิรูปต่อไปถึง 20 ปี การปฏิรูปคือ การทำใหม่ทั้งหมด อะไรไม่ดีก็ต้องแก้ไข สิ่งที่ยังไม่เริ่มก็ต้องเริ่ม ส่วนของที่เป็นโบราณก็ต้องแก้ไข ถึงจะถือเป็นการปฏิรูปประเทศ แต่ไม่ใช่ว่าสั่งวันนี้แล้วทุกอย่างจะเสร็จ สิ่งที่เป็นปัญหาให้ทำงานกันไม่ได้ คือความไม่ไว้เนื้อเชื่อใจของประชาชนและสังคม ที่รัฐบาลนี้อยู่เพราะไม่ต้องการให้เกิดปัญหาเหมือนเดิม ความจริงประเทศไทยวันนี้ต้องก้าวหน้าไปไหนสักดวงดาว แต่ทำไมยังอยู่ที่เดิม เราได้ใช้ศักยภาพที่มีอยู่ทั้งหมดครบถ้วนหรือยัง จึงต้องกลับมาสู่การบูรณาการ ทุกคนต้องเรียนรู้ "
คำกล่าวของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ เมื่อวันที่ 21 ตุลาคม ที่อิมแพคเมืองทองธานี ตอนหนึ่งระหว่างเป็นประธานในพิธีเปิดการประชุมสัมมนา และมอบนโยบายในการจัดทำงบประมาณในลักษณะบูรณาการเชิงยุทธศาสตร์ประจำปี พ.ศ.2561
ประเด็นสำคัญที่นายกรัฐมนตรีต้องการสื่อออกมาก็คือ ประเทศไทยและคนไทยในเวลานี้กำลังเดินมาถึงทางแยกสำคัญนั่นคือ จะล้มเหลวถอยหลังหรือว่าจะเดินหน้ารุ่งโรจน์และที่สำคัญก็คือมีเป้าหมายในอนาคตจะต้อง "สร้างประชาธิปไตยในแบบของเรา" ไม่มีความขัดแย้ง รักษาความสมดุลกับต่างประเทศ โดยเขาประกาศว่าภายในระยะเวลาที่เหลืออยู่อีก 1 ปี ตามโรดแมปของรัฐบาลชุดปัจจุบันในการวางรากฐานสำหรับยุทธศาสตร์ของชาติในอีก 20 ปีข้างหน้า
แน่นอนว่าในเรื่องของอนาคตวันข้างหน้าของประเทศไทยว่าจะเดินไปทางไหน ยังไม่อาจสรุปได้ว่าจะไปทางไหน แต่เมื่อพิจารณาจากแนวโน้มที่เห็นชัดจาก"พลังที่เป็นหนึ่งเดียว" ของคนไทยในเวลานี้ก็มั่นใจเหลือเกินว่าประเทศไทยต้องเดินหน้าและรุ่งโรจน์แน่นอน
แม้ว่าในเวลานี้คนไทยทุกคนกำลังอยู่ในอารมณ์เศร้าอาลัยกับการเสด็จสวรรคตของ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช แต่ขณะเดียวกันก็ได้เห็นพลังอันมหาศาลของคนไทยที่มีความมุ่งมั่น "เดินตามรอยพ่อ" ทำให้มั่นใจได้ว่าไทยต้องไม่เดินถอยหลังอย่างแน่นอน
ขณะเดียวกัน เมื่อพิจารณาจากคำพูดของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ย้ำว่า "จะมีประชาธิปไตยในแบบของเขา" และการเมืองในแบบของเรา ทำให้ได้เห็นถึงแนวทางการเมืองในอนาคตที่ชัดเจนได้ว่า เรากำลังเดินไปในรูปแบบ "ประชาธิปไตยแบบไทยๆ" ซึ่งนี่คือเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว ที่คิดว่าเหมาะสมกับคนไทยแล้ว
แม้ว่าที่ผ่านมาแนวทางประชาธิปไตยแบบไทยๆ ดังกล่าวจะบรรจุและกำหนดในร่าง
รัฐธรรมนูญฉบับใหม่ คือฉบับปี พ.ศ.2559 ดังที่ปรากฏให้เห็นมาแล้ว โดยเฉพาะในบทเฉพาะกาล ที่เกี่ยวกับนายกฯคนนอกในช่วงเปลี่ยนผ่าน 5 ปีแรก แม้ว่าตามหลักการในแบบประชาธิปไตยสากลอาจจะไม่เต็มร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่สำหรับการเมืองในประเทศไทย นี่อาจเป็น "ทางเลือกที่เป็นทางออก" อีกทางหนึ่ง ที่เราเคยผ่านประสบการณ์จริง ผ่านปัญหาที่เคยเกิดขึ้นจริงในช่วงที่ผ่านมาแล้ว
ขณะเดียวกันในช่วงเวลาอันสำคัญนี้เราก็ได้เห็นพลังอันยิ่งใหญ่ของคนไทยที่แสดงออกเป็นหนึ่งเดียวโดยเฉพาะความมุ่งมั่นในการ "เดินตามรอยเท้าของพ่อ" การยึดแนวทางปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงเป็นแนวทางในการดำเนินชีวิต มันก็ยิ่งมั่นใจหนทางข้างหน้าของไทยต้องมีความรุ่งโรจน์มากกว่าเดินถอยหลังแน่นอน เหมือนกับการแปรเปลี่ยนให้เป็นพลังเดินไปข้างหน้าอย่างมั่นคง !!
"วันนี้ประเทศกำลังอยู่ในระหว่างสองทางแยก คือจะล้มเหลวต่อไปหรือไม่ หรือว่าจะมีอนาคตที่รุ่งโรจน์ ขึ้นอยู่กับช่วงเวลานี้ เราจึงจำเป็นที่จะต้องมาพูดคุยกันเพื่อกำหนดทิศทาง ในการเดินหน้าประเทศ การทำงานฝ่ายการเมือง รัฐบาลนี้เข้ามาทำงานในแบบของเรา แต่ก็กลายเป็นการเมือง แต่เป็นการเมืองในแบบของเรา เราจำเป็นต้องมีประชาธิปไตยในแบบของเรา ที่ไม่มีความขัดแย้ง มีความสมดุลกับต่างประเทศ ทั้งหมดต้องสร้างความเข้าใจ และรักษาสิ่งที่เราต้องการไว้ให้ได้มากที่สุด เพราะเราเป็นประเทศที่มีความภาคภูมิใจมาโดยตลอด เป็นประเทศที่มีอิสระ เสรี แม้บางครั้งจะมากไป แต่ก็ต้องค่อยๆ แก้ เพราะไม่มีใครผิดหรือถูก เว้นแต่กฎหมายจะชี้ชัดออกมา"
"ประเทศเราอยู่ได้ด้วยการบริหารราชการแผ่นดิน รัฐบาลและธรรมาภิบาล โดยมีข้าราชการนำไปสู่การปฏิบัติ รัฐบาลต้องบริหารงานให้สอดคล้องกับความต้องการและงบประมาณของแผ่นดิน ซึ่งบางอย่างต้องปรับแก้ แต่ต้องสร้างความรับรู้ให้ประชาชนและสังคม วันนี้ต่างประเทศมองดูว่าประเทศไทยจะเดินไปอย่างไร และเราขัดแย้งกับประชาธิปไตยสากลไม่ได้ เพราะเราเป็นประเทศประชาธิปไตย เราต้องทำให้ประชาธิปไตยของไทยเข้มแข็ง ซึ่งจะต้องเป็นความเข้มแข็งทั้งในแบบสากลและแบบของไทย อย่างที่ประเทศไทยต้องการ โดยต้องไม่มีความขัดแย้ง ปัญหาต่างๆ จะเกิดขึ้นอีกไม่ได้นับแต่นี้เป็นต้นไป"
"การทำงานวันนี้ จะต้องมองอนาคตตามยุทธศาสตร์ 20 ปี การจัดสรรงบประมาณต้องเป็นไปตามข้อมูลข้อเท็จจริง เพราะร้อยละ 40 ถึง 50 เป็นประชาชนผู้มีรายได้น้อย ดังนั้นจึงต้องพิจารณาให้รอบคอบ เพื่อจัดสรรงบประมาณลงไปให้ถูกต้อง วันนี้เอาแค่ 1 ปีก่อน ในช่วงเวลาของตนที่อยู่ตามโรดแมปจนถึงปี 2560 เพราะ 2 ปีที่ผ่านมา เป็นการปูพื้นฐาน เราต้องวางแผนปฏิรูปต่อไปถึง 20 ปี การปฏิรูปคือ การทำใหม่ทั้งหมด อะไรไม่ดีก็ต้องแก้ไข สิ่งที่ยังไม่เริ่มก็ต้องเริ่ม ส่วนของที่เป็นโบราณก็ต้องแก้ไข ถึงจะถือเป็นการปฏิรูปประเทศ แต่ไม่ใช่ว่าสั่งวันนี้แล้วทุกอย่างจะเสร็จ สิ่งที่เป็นปัญหาให้ทำงานกันไม่ได้ คือความไม่ไว้เนื้อเชื่อใจของประชาชนและสังคม ที่รัฐบาลนี้อยู่เพราะไม่ต้องการให้เกิดปัญหาเหมือนเดิม ความจริงประเทศไทยวันนี้ต้องก้าวหน้าไปไหนสักดวงดาว แต่ทำไมยังอยู่ที่เดิม เราได้ใช้ศักยภาพที่มีอยู่ทั้งหมดครบถ้วนหรือยัง จึงต้องกลับมาสู่การบูรณาการ ทุกคนต้องเรียนรู้ "
คำกล่าวของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ เมื่อวันที่ 21 ตุลาคม ที่อิมแพคเมืองทองธานี ตอนหนึ่งระหว่างเป็นประธานในพิธีเปิดการประชุมสัมมนา และมอบนโยบายในการจัดทำงบประมาณในลักษณะบูรณาการเชิงยุทธศาสตร์ประจำปี พ.ศ.2561
ประเด็นสำคัญที่นายกรัฐมนตรีต้องการสื่อออกมาก็คือ ประเทศไทยและคนไทยในเวลานี้กำลังเดินมาถึงทางแยกสำคัญนั่นคือ จะล้มเหลวถอยหลังหรือว่าจะเดินหน้ารุ่งโรจน์และที่สำคัญก็คือมีเป้าหมายในอนาคตจะต้อง "สร้างประชาธิปไตยในแบบของเรา" ไม่มีความขัดแย้ง รักษาความสมดุลกับต่างประเทศ โดยเขาประกาศว่าภายในระยะเวลาที่เหลืออยู่อีก 1 ปี ตามโรดแมปของรัฐบาลชุดปัจจุบันในการวางรากฐานสำหรับยุทธศาสตร์ของชาติในอีก 20 ปีข้างหน้า
แน่นอนว่าในเรื่องของอนาคตวันข้างหน้าของประเทศไทยว่าจะเดินไปทางไหน ยังไม่อาจสรุปได้ว่าจะไปทางไหน แต่เมื่อพิจารณาจากแนวโน้มที่เห็นชัดจาก"พลังที่เป็นหนึ่งเดียว" ของคนไทยในเวลานี้ก็มั่นใจเหลือเกินว่าประเทศไทยต้องเดินหน้าและรุ่งโรจน์แน่นอน
แม้ว่าในเวลานี้คนไทยทุกคนกำลังอยู่ในอารมณ์เศร้าอาลัยกับการเสด็จสวรรคตของ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช แต่ขณะเดียวกันก็ได้เห็นพลังอันมหาศาลของคนไทยที่มีความมุ่งมั่น "เดินตามรอยพ่อ" ทำให้มั่นใจได้ว่าไทยต้องไม่เดินถอยหลังอย่างแน่นอน
ขณะเดียวกัน เมื่อพิจารณาจากคำพูดของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ย้ำว่า "จะมีประชาธิปไตยในแบบของเขา" และการเมืองในแบบของเรา ทำให้ได้เห็นถึงแนวทางการเมืองในอนาคตที่ชัดเจนได้ว่า เรากำลังเดินไปในรูปแบบ "ประชาธิปไตยแบบไทยๆ" ซึ่งนี่คือเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว ที่คิดว่าเหมาะสมกับคนไทยแล้ว
แม้ว่าที่ผ่านมาแนวทางประชาธิปไตยแบบไทยๆ ดังกล่าวจะบรรจุและกำหนดในร่าง
รัฐธรรมนูญฉบับใหม่ คือฉบับปี พ.ศ.2559 ดังที่ปรากฏให้เห็นมาแล้ว โดยเฉพาะในบทเฉพาะกาล ที่เกี่ยวกับนายกฯคนนอกในช่วงเปลี่ยนผ่าน 5 ปีแรก แม้ว่าตามหลักการในแบบประชาธิปไตยสากลอาจจะไม่เต็มร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่สำหรับการเมืองในประเทศไทย นี่อาจเป็น "ทางเลือกที่เป็นทางออก" อีกทางหนึ่ง ที่เราเคยผ่านประสบการณ์จริง ผ่านปัญหาที่เคยเกิดขึ้นจริงในช่วงที่ผ่านมาแล้ว
ขณะเดียวกันในช่วงเวลาอันสำคัญนี้เราก็ได้เห็นพลังอันยิ่งใหญ่ของคนไทยที่แสดงออกเป็นหนึ่งเดียวโดยเฉพาะความมุ่งมั่นในการ "เดินตามรอยเท้าของพ่อ" การยึดแนวทางปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงเป็นแนวทางในการดำเนินชีวิต มันก็ยิ่งมั่นใจหนทางข้างหน้าของไทยต้องมีความรุ่งโรจน์มากกว่าเดินถอยหลังแน่นอน เหมือนกับการแปรเปลี่ยนให้เป็นพลังเดินไปข้างหน้าอย่างมั่นคง !!