ผู้จัดการสุดสัปดาห์ -ในระหว่างที่พสกนิกรชาวไทยทุกข์และเสียใจอย่างแสนสาหัสกับการเสด็จสวรรคตของ “พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช” พระผู้เปรียบเสมือน “พ่อของแผ่นดิน” ปวงมหาประชาชนก็มีความปลื้มปีติเกิดขึ้นอย่างเหลือคณานับเมื่อมีโอกาสได้ชื่นชมพระบารมี “สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ” พระผู้เปรียบเสมือน “แม่ของแผ่นดิน” อีกครั้งในระหว่างการเคลื่อนขบวนอัญเชิญพระบรมศพของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชจากโรงพยาบาลศิริราชมายังวัดพระศรีรัตนศาสดาราม
โดยสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ เสด็จฯ พระราชดำเนินมาในขบวนอัญเชิญพระบรมศพ พร้อมกับ “ทรงโบกพระหัตถ์” ทักทายประชาชนจากทั่วทุกสารทิศที่พร้อมใจกันมาน้อมส่งเสด็จพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชตลอดสองข้างทาง
หัวใจของปวงมหาประชาชนชุ่มชื้นราวกับมีน้ำทิพย์มาหล่อเลี้ยงในฉับพลันทันที เพราะ ใน วันที่ “ไม่มีพ่อ” แต่ทุกคนก็ยังมี “แม่” ซึ่งเป็นที่เคารพเทิดทูนและพร้อมถวายความจงรักภักดีด้วยหัวใจประดุจเดียวกัน
ขณะเดียวกันก็ตระหนักรู้ถึง “ความรัก” ที่ทั้งสองพระองค์ทรงมีต่อกันนับเนื่องตั้งแต่วันแรกของรักพบจวบจนกระทั่งปัจจุบันเป็นอย่างดี
ย้อนกลับไปในปี 2521 สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ฯ ได้พระราชทานสัมภาษณ์แก่สถานีโทรทัศน์บีบีซี กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ ในสารคดี “ขวัญของชาติ” ซึ่งพระองค์ทรงเล่าถึงเรื่องราว “รักแรกพบ” มีความตอนหนึ่งว่า “.... สำหรับข้าพเจ้าเป็นการเกลียดแรกพบมากกว่ารักแรกพบ เนื่องเพราะพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รับสั่งว่า จะเสด็จถึงเวลาบ่าย 4 โมง แต่จริงแล้ว เสด็จมาถึง 1 ทุ่ม ช้ากว่านัดหมาย ตั้ง 3 ชั่วโมง ทรงทำให้ข้าพเจ้าต้องซ้อมถอนสายบัวอยู่จนแล้วจนเล่า จึงเป็นการเกลียดเมื่อแรกพบมากกว่ารักเมื่อแรกพบ
“ข้าพเจ้าไม่ทราบมาก่อนว่าพระองค์ท่านทรงรักข้าพเจ้า เพราะเวลานั้นอายุเพิ่งย่างเข้า 15 ปี ตั้งใจไว้ว่าจะเป็นนักเปียโน แต่หลังจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงประสบอุบัติเหตุ สมเด็จพระราชชนนี ก็รีบเสด็จไปเยี่ยมทันที แต่แทนที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว จะมีพระปฏิสันถารกับพระองค์ ท่านกลับทรงหยิบรูปข้าพเจ้าออกมาจากกระเป๋า โดยที่ข้าพเจ้าไม่เคยทราบมาก่อนเลยว่าพระองค์ทรงมีรูปของข้าพเจ้าอยู่แล้ว และพระองค์ก็ตรัสให้นำตัวข้าพเจ้าเข้าเฝ้า .... พระองค์ทรงรักข้าพเจ้า ตอนนั้นข้าพเจ้าคิดถึงแต่เรื่องที่จะอยู่กับคนที่ข้าพเจ้ารักเท่านั้น ไม่ได้นึกไปไกลถึงหน้าที่และภารกิจของพระราชินีเลย…”
ในวันแรกพบของทั้งสองพระองค์ เกิดขึ้นเมื่อปี 2489 โดยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ซึ่งประทับอยู่ที่เมืองโลซาน ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ เสด็จฯไปยังประเทศฝรั่งเศส เพื่อทอดพระเนตรรถยนต์พระที่นั่งคันเดิมซึ่งทรงใช้มานาน และโปรดเกล้าฯให้ ม.จ.นักขัตรมงคล กิตติยากร เอกอัครราชทูตไทยประจำกรุงปารีส พร้อมครอบครัวเข้าเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท ในวันนั้นเองที่ทรงพบกับ ม.ร.ว.สิริกิติ์ กิติยากร ธิดาของ ม.จ.นักขัตรมงคล และ ม.ล.บัว กิติยากร ที่มารับเสด็จ วันนั้น พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จมาถึงช้ากว่ากำหนด เนื่องจากรถยนต์พระที่นั่งเกิดเสียและน้ำมันหมด ตรัสว่าทรงจำได้ดีถึงสีหน้าของ ม.ร.ว.สิริกิติ์ ที่ทั้งหิวและรอนาน
เมื่อเสด็จฯ มาถึง ราชเลขาได้เชิญแต่ผู้ใหญ่ร่วมโต๊ะเสวย แล้วให้เด็กไปรับประทานอาหารจีนอีกที่หนึ่ง ทำให้ ม.ร.ว.สิริกิติ์ เคืองอยู่นิดๆ เมื่อตรัสถึงเรื่องนี้ทั้งสองพระองค์จะทรงสรวล โดยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงล้อสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ว่า “....เดินตุปัดตุเป๋ หน้างอ คอยถอนสายบัว...” สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ทรงกราบบังคมทูลตอบว่า “....ที่หน้างอ เพราะให้แต่ผู้ใหญ่ร่วมโต๊ะเสวย เด็กกลับไล่ไปกินที่อื่น....”
ก่อนได้พบกับ ม.ร.ว.สิริกิติ์ พระองค์ทรงทราบถึงความน่ารักจากสมเด็จพระราชชนนีมาก่อนแล้ว โดยในการเสด็จเยือนปารีสครั้งแรก สมเด็จพระราชชนนี รับสั่งเป็นพิเศษว่า ให้ไปทอดพระเนตรลูกสาว ม.จ.นักขัตรมงคล ว่าจะสวยน่ารักไหม ทรงกำชับว่าเมื่อถึงปารีสแล้วให้โทร.บอกด้วย เมื่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จถึงปารีสก็ทรงโทรศัพท์หาและตรัสว่า “...เห็นแล้ว น่ารักมาก...”
ความสัมพันธ์ของทั้งสองพระองค์ก่อตัวขึ้นจากความที่ได้พบพระพักตร์กันบ่อยครั้งเนื่องจากเวลาเสด็จฯ ไปยังกรุงปารีส พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว จะประทับที่สถานทูต ทำให้ครอบครัว ม.จ.นักขัตรมงคล เป็นที่คุ้นเคยเบื้องพระยุคลบาท ทั้งยังมีความชอบในสิ่งเดียวกัน เช่น การดนตรี ประกอบกับนิสัยร่าเริง สุภาพอ่อนน้อม และขี้อายในบางครั้งทำให้ยิ่งประทับพระราชหฤทัย
นิสัยร่าเริง ยิ้มแย้ม ของสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ เป็นที่ประทับพระราชหฤทัยเสมอมา โดยครั้งหนึ่งมีนักข่าวต่างประเทศ เคยกราบบังคมทูลถามว่า "... เพราะเหตุใดพระมหากษัตริย์ไทยจึงไม่ค่อยยิ้ม พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงผายพระหัตถ์ไปทางสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ แล้วตรัสว่า "She is my smile."
ในช่วงเกิดเหตุการณ์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์นอกเมืองโลซาน เมื่อทรงฟื้นคืนพระสติครั้งแรก ทรงระลึกถึงบุคคลสองคน คือ สมเด็จพระราชชนนี และ ม.ร.ว.สิริกิติ์ ซึ่งเรื่องนี้ ท่านผู้หญิงเกนหลง สนิทวงศ์ ณ อยุธยา ได้กล่าวว่า สิ่งแรกเมื่อรู้สึกพระองค์คือ ทรงหยิบรูป ม.ร.ว.สิริกิติ์ ออกจากกระเป๋า ส่งถวายสมเด็จพระราชชนนี พร้อมกับรับสั่งว่า ".... แม่ เรียกสิริ มาที..." ซึ่งระหว่างที่ประทับรักษาพระองค์ที่ตำบลเมอร์เซส นั้น ม.ร.ว.สิริกิติ์ ได้ถวายการพยาบาลอย่างใกล้ชิด ทำให้ความสัมพันธ์ของทั้งสองพระองค์แนบแน่นยิ่งขึ้น
กระทั่งวันที่ 19 กรกฎาคม 2492 มีพระราชพิธีทรงหมั้น ซึ่งจัดขั้นเป็นการภายใน ณ โรงแรมวินด์เซอร์ จากนั้น ในค่ำวันที่ 12 สิงหาคม 2492 มีงานเลี้ยงที่สถานทูตไทยในกรุงลอนดอน พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ประกาศข่าวทรงหมั้นให้คนไทยทราบ หลังจากพระราชพิธีหมั้นผ่านไป 7 เดือน พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จนิวัติกลับประเทศไทย ทางชลมารค โดยมี ม.ร.ว.สิริกิติ์ และครอบครัว รวมถึงข้าราชบริพาร ตามเสด็จ
หลังเสร็จสิ้นพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล ประมาณหนึ่งเดือน ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้จัดการพระราชพิธีราชาภิเษกสมรสขึ้นในวันที่ 28 เมษายน 2493 ณ วังสระปทุม และทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้อาลักษณ์อ่านสถาปนา ม.ร.ว.สิริกิติ์ เป็นสมเด็จพระราชินีสิริกิติ์ พระราชทานเครื่องขัตติยราชอิสริยาภรณ์ ซึ่งเป็นเครื่องราชอิสริยาภรณ์สูงสุดแก่สมเด็จพระราชินีสิริกิติ์
และด้วยความที่ ".... ข้าพเจ้าคิดถึงแต่เรื่องที่จะอยู่กับคนที่ข้าพเจ้ารักเท่านั้น ไม่ได้นึกไปไกลถึงหน้าที่และภารกิจของพระราชินีเลย...." ทำให้มีเรื่องราวน่ารักเมื่อครั้งสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ถูกพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงกริ้ว ขณะเสด็จเยี่ยมราษฎร โดยสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ เคยมีรับสั่งเล่าถึงเมื่อตอนตามเสด็จพระราชดำเนินเยี่ยมประชาชน หลังพระราชพิธีพระบรมราชาภิเษก ตั้งแต่ประมาณเก้าโมงเช้าว่า …“ทีนี้ข้าพเจ้ารู้สึกว่า แหม นานเหลือเกิน…ก็รู้สึกแดดร้อนเปรี้ยง หนังเท้านี่รู้สึกไหม้เชียว…ก็เดินเข้าไปกระซิบท่านว่า พอหรือยัง ก็โดนกริ้ว…บอก นี่เห็นไหมราษฎรเขาเดินมาเป็นวันๆ เพื่อมาดูเราแม้แต่นิดเดียว แต่นี่เรายืนอยู่ไม่เท่าไหร่ละ ตอนนี้ทนไม่ไหวเสียแล้ว”
สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ยังทรงเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในคราวพระราชทานพระบรมราชวโรกาส ให้นักข่าวหญิงจากสโมสรนักข่าวหญิงแห่งประเทศไทย จำนวน 29 คน เข้าเฝ้าฯ รับพระราชกระแส ณ พระตำหนักจิตรลดารโหฐาน เมื่อวันที่ 28 สิงหาคม 2523 มีความตอนหนึ่งว่า
“...พระเจ้าอยู่หัวนี่ แม้แต่อยู่ลำพัง ไม่เคยเห็นท่านเคยรับสั่งอะไรที่ไม่ควร ไม่เคยโปรดเลยที่จะว่าใคร นินทาใคร ท่านไม่มีเลย ท่านไม่ชอบวิพากษ์วิจารณ์ใครเลย แม้แต่อยู่ลำพังนี่ ท่านก็จะพูดสิ่งที่สร้างสรรค์ทั้งนั้น ท่านจะสนุก อย่างเรื่องดนตรี เรื่องเรือใบ ตอนนี้ท่านก็สนุกกับการพัฒนา ท่านก็พูดแต่พัฒนาแผนที่ของท่าน ท่านไม่รับสั่งเรื่องที่ไปกระทบหรือไปใส่ร้ายหรืออะไรกับใคร ต้องคนอยู่ใกล้พระองค์นี่ถึงจะเห็น แล้วท่านทำอะไร ท่านก็ทำเองหมดเลย อย่างจะเสด็จฯภาคใต้นี่ ท่านก็แพ็คของเอง
“ในการแต่งพระองค์ก็ไม่สนพระทัยเลย ขำ เมื่อตอนท่านหนุ่มๆ บอกว่าท่านดัดผม (ทรงพระสรวล) ในหลวงดัดผม ที่แท้แม้แต่จะส่องกระจกนานๆ ก็ไม่ส่อง ไม่สนพระทัย แล้วก็อย่างกระดุม กระดุมของรัชกาลที่ ๕ ที่ทรงใส่ ๕ เม็ดนี่ สวย เป็นไพลิน งามๆ ทั้งนั้น ฉันเอามาให้ท่านไว้ใส่ ท่านก็ไม่ชอบใช้ นาฬิกา ซื้อถวายเมื่อวันเฉลิมฯ ซื้อเป็นเรือนทอง ท่านก็ไม่ชอบ เพราะท่านบอกว่า “ต้องแกะเข้าแกะออก ฉันไม่ชอบ ชอบเวลาล้างมืออะไรมันได้ทั้งนั้น” ตกลงเสด็จฯออกสเตทวิสิท (การเสด็จพระราชดำเนินเยือนต่างประเทศอย่างเป็นทางการ) ก็นาฬิกาเหล็กนั่น เสด็จฯลงเรือใบก็นาฬิกาเหล็กเรือนนั้น
“ที่แปลก คือเรื่องเสวยนี่ จะเย็นจะร้อน ท่านไม่สนพระทัยเลย เอามาตั้งนี่ ไม่เคยขอเลย เติมน้ำปลา ไม่เคยเลย นี่มหาดเล็กที่อยู่นี่ทราบเป็นพยานได้เลย ท่านไม่เอา ไม่สนพระทัยเลย”
สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ทรงเป็นคู่พระบารีของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่พสกนิกรชาวไทยเทิดทูนเป็น "แม่ของแผ่นดิน" เคียงคู่ "พ่อของแผ่นดิน" ทรงมีพระราชดำรัส เมื่อวันที่ 11 สิงหาคม 2534 ว่า "ตอนอายุสิบเจ็ดที่ได้มาเป็นพระราชินี ยังไม่มีความรู้อะไรเลย ก็ได้พระบารมีของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงดูแลสั่งสอนมาตลอดว่า สิ่งใดควรทำไม่ควรทำบ้าง ทรงสอนให้ข้าพเจ้ารู้จักว่าการที่จะเป็นพระราชินีของไทย จะต้องวางตนอย่างไรบ้าง และมีหน้าที่อย่างไรบ้าง
"ข้อสำคัญรับสั่งว่า ต้องเป็นที่ไว้เนื้อเชื่อใจของราษฎรให้เขามีความสนิทสนมที่ราษฎรออกปากเล่าความทุกข์ของเขาให้ฟังได้ และพระองค์ท่านก็ได้ปฏิบัติพระองค์เป็นตัวอย่าง ทำให้ข้าพเจ้ารู้จักการทำตนใกล้ชิดกับราษฎร เช่น เวลามีพระราชปฏิสันถารกับราษฎร ไม่โปรดทรงยืน ทรงถือขนบธรรมเนียมไทยที่จะไม่ยืนค้ำผู้เฒ่าผู้แก่ จะประทับลงรับสั่งกับราษฎรเสมอมาแม้จะเป็นตอนเที่ยงแดดร้อนเปรี้ยงก็ตาม .... "
พระองค์ยังทรงเล่าถึงการตามเสด็จพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ไปทรงเยี่ยมเยือนพสกนิกรเป็นครั้งแรก เมื่อปี 2498 และจากนั้นก็ทรงงานเคียงข้างพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มาโดยตลอด ทั้งพื้นที่ชนบทถิ่นทุรกันดาร ทรงตรากตรำพระวรกายบุกป่าฝ่าดงขึ้นเขาลงห้วย เพื่อทรงบำบัดทุกข์บำรุงสุขแก่ราษฎรตลอดเวลาหลายทศวรรษที่ผ่านมา จนอาจกล่าวได้ว่าไม่มีแห่งใดบนผืนแผ่นดินไทยที่ทั้งสองพระองค์ไม่เคยเสด็จไปถึง
ปรัชญาการทรงงานของสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ทรงทำตามและยึดแนวพระราชดำริในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เป็นหลัก โดยตั้งอยู่บนพื้นฐาน 5 ประการ คือ ทรงให้ความสำคัญกับการแก้ปัญหาในระดับพื้นฐานของประเทศ คือชนบทและเกษตรกร, ทรงเน้นการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมที่มีคนเป็นศูนย์กลาง, ทรงให้ความสำคัญกับโอกาสของราษฎรที่จะได้รับการพัฒนาและมีส่วนร่วมในการพัฒนา, ทรงเน้นการพัฒนาด้านจิตใจของคนในชาติเพื่อปลูกฝังคุณธรรมและจริยธรรมนำไปสูงการพัฒนาอย่างยั่งยืน และทรงให้ความสำคัญกับการทรงงานพัฒนาเพื่อส่งเสริมงานพัฒนาหลักของรัฐบาล โดยเป้าหมายสำคัญคือความอยู่ดีมีสุขของประชาชนและความสงบร่มเย็นของประเทศชาติ ที่พระองค์ทรงเรียกว่า "กำไรของแผ่นดิน"
การทรงงานของสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ได้ทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจที่เกื้อหนุนพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ดังปรากฏในพระราชดำรัส เมื่อ พ.ศ. 2525 ที่ทรงตั้งปณิธานว่า ".... พระเจ้าอยู่หัวเป็นน้ำ ฉันจะเป็นป่า ป่าที่ถวายความจงรักภักดีต่อน้ำ .... พระเจ้าอยู่หัวสร้างอ่างเก็บน้ำ ฉันจะสร้างป่า ...." ซึ่งพระองค์ทรงให้ความสำคัญอย่างยิ่งต่อการอนุรักษ์ธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมไว้ให้ลูกหลานไทย โดยมีแนวพระราชดำริว่า คน ป่า และสัตว์ป่า สามารถอยู่ร่วมอาศัยเกื้อกูลกัน
ในวันนี้ถึงแม้ "พ่อของแผ่นดิน" เสด็จสวรรคตแต่พระองค์ยังคงสถิตอยู่ในหัวใจของพสกนิกร และปวงชนชาวไทยยังคงมี "แม่ของแผ่นดิน" คู่พระบารมี สถิตเป็นมิ่งขวัญของปวงประชาอาณาราษฎร์