xs
xsm
sm
md
lg

ถ้าไม่มี “ในหลวง” คง “ตายเป็นเบือ”! (ตอนหนึ่ง)

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


“สอดแนมการเมือง”
โดย “ชัชวาลย์ ชาติสุทธิชัย”

“ความสุข ความสวัสดีของข้าพเจ้าจะเกิดขึ้นได้ ก็ด้วยบ้านเมืองของเรามีความเจริญ มั่นคง เป็นปกติสุข”

พระราชดำรัส “ในหลวงของปวงชนชาวไทยรัชกาลที่เก้า” องค์นี้ สะท้อนให้เห็นได้อย่างชัดแจ้งว่า “ความสุข” ของ “พระมหากษัตริย์ผู้ทรงครองแผ่นดินโดยธรรม” นั้น พระองค์ทรงยึดถือความสุขของชาติบ้านเมือง และพสกนิกรชาวไทยทุกคนบนผืนแผ่นดินนี้เป็นหลัก

เพราะ “ในหลวงรัชกาลที่เก้า-พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มหิตลาธิเบศรรามาธิบดี จักรีนฤบดินทร สยามินทราธิราช บรมนาถบพิตร” พระองค์ทรงมีชาติบ้านเมืองและพสกนิกรชาวไทย อยู่ในพระราชหฤทัยทุกเวลานาที..

ดังนั้น วิกฤติการเมืองครั้งใหญ่ในชาติไทยหลายครั้ง หากไม่มี “ในหลวงรัชกาลที่เก้า” เสด็จลงมา “ดับวิกฤติชาติ” ชาวไทยและชาวโลกคงได้เห็น เหตุการณ์ทางการเมืองบานปลาย จนถึงขั้น “ไทย-ฆ่า-ไทย” ชนิด “เลือดนองท้องช้าง” ประชาชนจะต้องบาดเจ็บล้มตายกันเป็นเบือ และอาจลุกลามเป็นสงครามกลางเมืองได้อีกด้วย

เหตุการณ์ “14 ตุลาคม 2516” เวลา 04.30 น. พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ได้พระราชทานพระบรมราโชวาท โดยมี พ.ต.อ.วสิษฐ เดชกุญชร เป็นผู้อัญเชิญมาอ่านต่อกรรมการศูนย์กลางนิสิตฯ จำนวนเก้าคน ที่เข้าเฝ้าฯ รวมถึงผู้ชุมนุมในครั้งนั้น มีใจความตอนหนึ่งว่า

“..เมื่อนิสิตนักศึกษาได้ดำเนินการมาตรงเป้าหมายและได้รับผลตามสมควร ก็ขอให้กลับคืนสู่สภาพปกติ เพื่อยังความสงบเรียบร้อยให้เกิดแก่ประชาชนทั่วไป”

หลังรับฟังพระบรมราโชวาทแล้ว กลุ่มผู้ชุมนุมที่รักประชาธิปไตยกำลังจะสลายตัว แต่ก็เกิดการปะทะกับทหารและตำรวจขึ้น ที่บริเวณริมวังสวนจิตรลดาฯ ท่ามกลางเหตุการณ์อันเลวร้ายในวันนั้น ประตูวังสวนจิตรลดาฯของ “ในหลวง-พ่อของแผ่นดิน-รัชกาลที่เก้า” ผู้เป็นเสมือนดั่งดวงใจของผองชนชาวไทย ได้เปิดให้บรรดานิสิต-นักศึกษา-ประชาชน ที่มีเพียงสองมือเปล่า ให้เข้าไปหลบภัยจากการปะทะกัน

เหตุการณ์ดังกล่าว..ได้กลายเป็น “น้ำผึ้งหยดเดียว” ที่ทำให้เหตุการณ์ “14 ตุลาคม 2516” ลุกลามบานปลาย จนถึงขั้นมีการใช้กำลังทหารและอาวุธสงคราม เข้าปราบปรามประชาชนอย่างกว้างขวาง เพราะห้วงนั้น..รัฐบาลของ “จอมพลถนอม กิตติขจร” มีเครือญาติกุมกำลังกองทัพไว้ในกำมือ การปราบปรามนิสิต-นักศึกษา-ประชาชน จึงมีแนวโน้มจะทวีความรุนแรงยิ่งขึ้น อันจะส่งผลให้นิสิต-นักศึกษา-ประชาชน ต้องบาดเจ็บล้มตายเพิ่มจำนวนขึ้นเรื่อยๆอย่างแน่นอน

ทว่า “โชคดี” ที่ประเทศไทย มี “ในหลวงรัชกาลที่เก้า” ของปวงชนชาวไทย ผู้ทรงครองแผ่นดินโดยธรรม และทรงทศพิธราชธรรมยิ่งนัก อีกทั้งทรงรักพสกนิกรของพระองค์อย่างเปี่ยมท้น ได้ทรงกอบกู้วิกฤติของชาติไทย ให้คืนกลับสู่ความสงบศานติได้อีกครา

โดย “จอมพลถนอม กิตติขจร” จำต้องประกาศลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี คนที่ 10 ของประเทศไทย ในเวลา 17.15 น. จึงทำให้สถานการณ์ความรุนแรงยุติลงได้โดยปริยาย

19.15 น. พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระราชดำรัสผ่านโทรทัศน์และวิทยุ ว่า

“วันที่ 14 ตุลาคม เป็นวันมหาวิปโยคที่น่าเศร้าสลดอย่างยิ่งในประวัติศาสตร์ชาติไทย.. เราขอให้ทุกฝ่ายจงระงับเหตุแห่งความรุนแรงด้วยการตั้งสติยังยั้ง เพื่อให้ชาติบ้านเมืองกลับคืนสู่สภาพปกติโดยเร็วที่สุด ยังความสงบสุขเจริญรุ่งเรืองให้บังเกิดแก่ประเทศ และประชาชนชาวไทยโดยทั่วกัน”

วันที่ 27 ตุลาคม 2516 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่เก้า มีพระบรมราโชวาทพระราชทานแก่นักเรียน นักศึกษา ครู และอาจารย์ ในโอกาสเข้าเฝ้าฯ ความตอนหนึ่งว่า

“..ประเทศไทยแม้จะมีความยุ่งยากก็ยังอยู่ได้ มั่นคงได้ อันนี้เป็นความลับ ฉะนั้นทุกคนจะเป็นนักเรียน จะเป็นนักศึกษา จะเป็นครูในสถาบันใดก็ตาม ตลอดจนประชาชนทั่วไปก็จะต้องสำนึกถึงข้อนี้ซึ่งสำคัญ คือ คนไทยทุกคนไม่ว่าจะอยู่ในวัยใด มีศาสนาใด มีอาชีพใด ย่อมต้องช่วยซึ่งกันและกัน ช่วยกันอุ้มชูชาติบ้านเมือง คือส่วนรวมให้อยู่ได้

ข้อนี้ได้พูดมาเสมอและคงได้ยินจากหลายคน ที่ให้คำแนะนำให้โอวาทว่า ทุกคนต้องนึกถึงส่วนรวมเป็นที่ตั้ง ที่ต้องเห็นแก่ส่วนรวมเป็นที่ตั้งก็เพราะเหตุว่า แต่ละคน แต่ละบุคคลต้องอาศัยส่วนรวมเป็นที่อยู่อาศัย ถ้าส่วนรวมอยู่เย็นเป็นสุข แต่ละบุคคลก็อยู่เย็นเป็นสุข ฉะนั้นทุกคนมีหน้าที่ที่จะสร้างให้ส่วนรวมมีความมั่นคงและความสงบ..

..การสร้างสรรค์ตนเอง การสร้างบ้านเมืองก็ตาม มิใช่ว่าสร้างในวันเดียว ต้องใช้เวลา ต้องใช้ความเพียร ต้องใช้ความอดทนเสียสละ แต่สำคัญที่สุดคือความอดทน คือไม่ย่อท้อ ไม่ย่อท้อในสิ่งที่ดีงาม..

..อย่าไปท้อบอกว่า วันนี้เราทำแล้วก็ไม่ได้ผล พรุ่งนี้เราจะต้องทำอีก วันนี้เราทำ พรุ่งนี้เราก็ทำ อาทิตย์หน้าเราก็ทำ เดือนหน้าเราก็ทำ ผลอาจได้ปีหน้าหรืออีกสองปีหรือสามปีข้างหน้า..

..เคยพูดมาหลายแห่งแล้ว หลายเรื่องอย่างเช่นความเลวต่างๆที่มีอยู่ในเมืองไทย ความทุจริตคอรัปชั่นนั้นมี ถ้าแต่ละคนมีปณิธานที่จะไม่คอรัปชั่น ที่จะไม่ทุจริต และสะสมกำลังของตน สร้างตัวเองให้มีความรู้ ให้มีความแข็งแกร่ง.. ความมีปณิธานที่จะสามารถสร้างความดี สำหรับส่วนรวมและสำหรับส่วนตัว รักษาความเหนียวไว้ในความดีนี้ ภายภาคหน้าความดีนั้นเกิดขึ้น เราต้องรักษาความดีนั้นไปตลอด..

..ถ้าเรารักษาความดีวันนี้จริงๆ คือรักษาความดีที่สุจริต บริสุทธิ์แท้ๆ รักษาไว้ได้ สิบปีข้างหน้าท่านทั้งหลายเป็นผู้ที่มีหน้าที่สำคัญ งานการสำคัญ ผู้ที่อยู่ในหน้าที่การงานสำคัญ จะเป็นคนสุจริต จะเป็นที่ไม่คอรัปชั่น เป็นที่มีวิชาความรู้ก็สร้างบ้านเมืองได้ มีอิทธิพล ยิ่งยี่สิบปีข้างหน้า คนที่มีความบริสุทธิ์ใจที่รักษาไว้ เหนียวไว้จะมีมากขึ้น แล้วคนเลวก็ต้องถอย เมืองไทยก็จะมีแต่คนบริสุทธิ์ใจ แต่ก็เป็นความหวัง จึงขอวิงวอนเป็นครั้งสุดท้ายว่า ต้องเรียนต้องหาวิชาต้องสร้างตัวเอง มีความคิดพิจารณาที่รอบคอบ และเหนียวไว้ในความดี ความบริสุทธิ์จึงจะทำให้งานที่ทำ ปณิธานที่ตั้งไว้ในระยะนี้เป็นผล เกิดเห็นประโยชน์ ก็ขอพูดแค่นี้..”

เหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516 ที่ประชาชนชาวไทยกว่าห้าแสนคน ออกมาเรียกร้องรัฐธรรมนูญ จากรัฐบาลเผด็จการ “ถนอม-ประภาส” ผ่านเลยมานานถึง 43 ปีแล้ว แต่ประวัติศาสตร์การเมืองประชาธิปไตยไทย ไม่เคยลืมพระปรีชาสามารถอันล้นพ้น ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่เก้า ที่ได้ทรงพระกรุณาแก้วิกฤติของชาติและประชาชน ให้ผ่านพ้นไปได้ราวปาฏิหาริย์..

เหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516 ครั้งนั้น วีรชนคนกล้าเสียชีวิต 77 ราย บาดเจ็บ 857 ราย มีผู้สูญหายไปอีกจำนวนมาก

เหตุการณ์ครั้งนั้น หากไม่มี “ในหลวงรัชกาลที่เก้า-ผู้ทรงทศพิธราชธรรม” ประชาชนคนกล้าในการต่อสู้ครั้งนั้น จะต้องบาดเจ็บล้มตายเพิ่มขึ้นอีกเท่าไหร่..?

พระคุณอันยิ่งใหญ่ไพศาลในเหตุการณ์คราครั้งนั้น พสกนิกรชาวไทยจะจดจำไปชั่วกาลนาน..

ณ ห้วงเวลาอาลัยใหญ่หลวงในปัจจุบัน ปวงชนชาวไทยจึงขอร่วมรวมใจ ส่งเสด็จดวงพระวิญญาณ “องค์มหาราช-พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช” สู่สวรรคาลัย.


กำลังโหลดความคิดเห็น