ผู้จัดการสุดสัปดาห์ -ถึงแม้สภาพเศรษฐกิจของไทยจะยังพอไปได้จากอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวที่ยังเฟื่องฟู แต่เนื้อในของเม็ดเงินที่อวดโอ่กันว่าสะพัดปีละไม่ต่ำกว่าล้านล้านบาทนั้นแท้จริงแล้วใช่เป็น เพียง ภาพลวงตาหรือไม่ เพราะกลุ่มนักท่องเที่ยวหลักที่เข้ามามากเป็นอันดับหนึ่งคือ จีน นั้นต่างมาจากการใช้บริการ “ทัวร์ศูนย์เหรียญ” ซึ่งเนื้อแท้คือการหลอกเพื่อนชาติเดียวกันมาฟันที่เมืองไทย
ภารกิจทลายล้างเครือข่ายทัวร์ศูนย์เหรียญที่ใหญ่ที่สุด จึงจำเป็นต้องทำแม้จะเจ็บเพราะสะเทือนทั้งอุตสาหกรรม แต่เพื่ออนาคตการท่องเที่ยวไทยและผลประโยชน์ที่ประเทศไทยและจีนจะได้รับอย่างแท้จริง นี่เป็นสิ่งที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้
และงานนี้รัฐบาลจีนในฐานะประเทศต้นทางก็เชียร์ให้รัฐบาล “บิ๊กตู่” จัดการกับทัวร์ศูนย์เหรียญซึ่งมีสภาพคล้าย “ซอมบี้” ที่ไม่มีวันตาย ฆ่าเท่าไหร่ก็ไม่มีวันหมด เพื่อยกระดับคุณภาพการท่องเที่ยวของทั้งสองชาติ ไม่ใช่เห็นแค่ตัวเลขกองทัพนักท่องเที่ยวจีนแล้วพากันฝันหวานถึงเงินทองที่หลั่งไหลเข้ามาเหมือนอย่างที่การท่องเที่ยวฯ ชอบทึกทักสร้างผลงานเอาหน้า
ก่อนอื่นขออธิบายสักเล็กน้อยกับคำว่า “ทัวร์ศูนย์เหรียญ” หลอกเพื่อนชาติเดียวกันมาฟันอย่างไร สรุปสั้นๆ ง่ายๆ ก็คือ บริษัททัวร์ของคนจีนซึ่งมีเครือข่ายทั้งที่ต้นทางคือเมืองจีนและปลายทางคือเมืองไทย เชิญชวนชาวจีนมาเที่ยวไทยในราคาทัวร์ชนิดที่ว่าถูกสุดๆ กระทั่งเป็นที่มาของคำว่า “ทัวร์ศูนย์เหรียญ” เมื่อมาถึงไทยเครือข่ายทัวร์จีนครบวงจรที่อยู่ในไทยแทนที่จะจัดโปรแกรมให้ลูกทัวร์ท่องเที่ยวอย่างสุขสบายอุรา ก็เน้นจัดส่งลูกทัวร์เข้าชอปปิงร้านค้าในเครือข่าย เพื่อให้ซื้อของ กิน เที่ยว ด้วยสารพัดกลยุทธ์เพื่อทำยอดรายได้ตามเป้า
ปัญหาก็คือ ลูกทัวร์ถูกหลอกฟัน ซื้อของในราคาแพง ถูกบังคับซื้อทางอ้อม หากทำได้ไม่ถึงเป้าลูกทัวร์อาจถูกปล่อยทิ้งซึ่งเคยเกิดขึ้นบ่อยครั้ง ส่วนรายได้จากการท่องเที่ยวของทัวร์จีนก็ไม่ได้ตกอยู่กับผู้ประกอบการชาวไทย ประเทศชาติไม่ได้ผลประโยชน์ เพราะเข้ากระเป๋าเครือข่ายบริษัททัวร์จีน ซึ่งมักแอบตั้งบริษัทโดยผิดกฎหมาย หลีกเลี่ยงภาษี ฯลฯ
ฉะนี้แล้ว การหลั่งไหลเข้ามาของทัวร์จีน ซึ่งการท่องเที่ยวฯ นำไปคิดคำนวณว่านักท่องเที่ยวชาวจีนเข้ามาใช้จ่ายต่อหัวต่อวันเท่าไหร่คูณเข้าไปแล้วออกมาเป็นตัวเลขรายได้เข้าประเทศไทย จึงเป็นเพียงเรื่องลวงๆ แท้จริงแล้วหาใช่ทัวร์คุณภาพที่ยั่งยืนและปลอดภัย
เรื่องนี้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) คงมองทะลุปรุโปร่งไม่เช่นนั้นคงไม่มีมติคณะรัฐมนตรีออกมาและตามด้วยการสนธิกำลังปฏิบัติการกวาดล้างกันขนานใหญ่ มีการจับกุมและยึดทรัพย์เครือข่ายทัวร์ศูนย์เหรียญอันดับหนึ่งอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน
สำหรับปฏิบัติการล่าสุดคือการยึดทรัพย์เครือข่ายทัวร์ศูนย์เหรียญอันดับหนึ่งนั้น พล.ต.อ.ชัยยะ ศิริอำพันธ์กุล เลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) พร้อมคณะ แถลงเมื่อวันที่ 9 กันยายน 2559 ที่ผ่านมาว่า ปปง. บูรณาการร่วมกับกองบังคับการตำรวจท่องเที่ยว กรมการท่องเที่ยว กรมการพัฒนาธุรกิจการค้า กรมการขนส่งทางบก และเจ้าหน้าที่ทหาร เข้าตรวจค้นบริษัท ฝูอัน ทราเวล จำกัด และ บริษัท ซินหยวน ทราเวล จำกัด เป็นบริษัทนำเที่ยวภายในประเทศไทยต่ำกว่าทุนหรือทัวร์ศูนย์เหรียญ ที่มีนางถวัล แจ่มโชคชัย และนายสมเกียรติ คงเจริญ (ชาวจีนที่ลักลอบสวมบัตรประชาชนของนายสมเกียรติ คงเจริญ คนไทยซึ่งเสียชีวิตไปตั้งแต่ปี 2550 ที่ผ่านมา) เป็นกรรมการผู้จัดการและมีหุ้นอยู่ในบริษัทฝูอัน
จากการตรวจสอบเพิ่มเติมของ ปปง. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง พบว่า ทั้ง 2 บริษัทดังกล่าวใช้บริการรถบัสโดยสารของ บริษัท โอเอ ทรานสปอร์ต จำกัด มี นางนิสา โรจน์รุ่งรังสี, นายวสุรัตน์ โรจน์รุ่งรังสี กับพวก เป็นประธานกรรมการและกรรมการ โดยไม่ต้องจ่ายค่าเช่ารถบัสโดยสาร แต่มีข้อตกลงและเงื่อนไขจะต้องพานักท่องเที่ยวไปซื้อสินค้าตามร้านหรือสถานที่ตามที่บริษัท โอเอ ทรานสปอร์ต จำกัด กำหนดไว้ 4 แห่ง คือ
1. บริษัท รอยัล เจมส์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด 2. บริษัทรอยัล พาราไดซ์ จำกัด 3. บริษัท รอยัล ไทย เฮิร์บ จำกัด 4.บริษัท บางกอก แฮนดิคราฟท์ เซ็นเตอร์ จำกัด รวมถึง มัคคุเทศก์ใช้วิธีบังคับ ล่อลวง ขู่เข็ญนักท่องเที่ยว ให้ซื้อสินค้าในราคาสูงเกินจริง โดยบริษัท โอเอ ทรานสปอร์ต จำกัด จ่ายเงินค่าตอบแทนจำนวน 20-30 เปอร์เซ็นต์ จากยอดขายที่นักท่องเที่ยวซื้อสินค้า และหากไม่เป็นไปตามข้อตกลง บริษัท ฝูอัน ทราเวล จำกัด และบริษัท ซินหยวน ทราเวล จำกัด จะต้องถูกปรับค่าเสียหาย
หลังการตรวจสอบและตรวจค้น ปปง. จึงมีมติยึดและอายัดทรัพย์สินเครือข่ายทัวร์ศูนย์เหรียญ จำนวน 3 ครั้ง ดังนี้ ครั้งที่ 1 เงินฝากในบัญชีธนาคารของผู้เกี่ยวข้องกับบริษัท ฝูอัน รวม 25 รายการ รวมกว่า 28 ล้านบาท ครั้งที่ 2 เงินฝากในบัญชีธนาคารของผู้เกี่ยวข้องกับบริษัท ฝูอัน สลากออมสิน รวม 2 รายการ รวม 3.1 ล้านบาท
และครั้งที่ 3 เงินฝากในบัญชีธนาคารของผู้เกี่ยวข้องกับบริษัท โอเอ ทรานสปอร์ต รวม 2,247 รายการ แบ่งเป็นเงินในบัญชีเงินฝากธนาคาร 92 บัญชี เป็นเงิน 4,200 ล้านบาท และรถบัสโดยสารจำนวน 2,155 คัน มูลค่า 9,000 ล้านบาท รวมทรัพย์สินทั้งหมด 2,274 รายการ เป็นเงินทั้งสิ้นกว่า 13,000 ล้านบาท
นอกจากนี้แล้ว เจ้าพนักงานสอบสวน ยังได้จับกุมสองผู้บริหาร คือ นายวสุรัตน์ โรจน์รุ่งรังสี อายุ 26 ปี กรรมการผู้จัดการ บริษัท โอเอ ทรานสปอร์ต จำกัด และนางนิสา โรจน์รุ่งรังสี อายุ 61 ปี กรรมการผู้จัดการ บริษัท รอยัลพาราไดซ์ จำกัด มารดาของนายวสุรัตน์ ตามหมายจับศาลอาญาลงวันที่ 23 สิงหาคม 2559 คดีร่วมกันทำผิด พ.ร.บ.ธุรกิจนำเที่ยวฯ จัดทัวร์ศูนย์เหรียญ ขายสินค้าแพง สร้างความเสียหายแก่อุตสาหกรรมท่องเที่ยวและฟอกเงินมายื่นคำร้องฝากขังครั้งแรกเมื่อวันที่ 13 กันยายน 2559 และค้านการประกันตัวด้วยซึ่งศาลอนุญาต
ตามคำร้องฝากขังระบุพฤติการณ์ สรุปว่า เมื่อวันที่ 28 สิงหาคม 2559 พนักงานสอบสวน ได้แจ้งข้อกล่าวหาผู้ต้องหาทั้งสองว่ากระทำผิดฐานร่วมกันเป็นอั้งยี่, ร่วมกันประกอบธุรกิจนำเที่ยว, กระทำการอันจะก่อให้เกิดความเสียหายแก่อุตสาหกรรมท่องเที่ยว แหล่งท่องเที่ยว หรือนักท่องเที่ยว โดยชั้นสอบสวนผู้ต้องหาทั้งสองให้การปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหา
ต่อมา เมื่อวันที่ 9 กันยายนที่ผ่านมา ปปง.ได้ร้องทุกข์กล่าวโทษให้ดำเนินคดีต่อนายวสุรัตน์ กรรมการผู้จัดการบริษัท โอเอ ทรานสปอร์ต ผู้ต้องหาที่ 1 และนางนิสา กรรมการผู้จัดการ บริษัท รอยัลพาราไดซ์, บริษัท รอยัลเจมส์ อินเตอร์เนชั่นแนล, บริษัท ไทยเฮิร์บ และ บริษัท บางกอก แฮนดิคราฟท์ เซ็นเตอร์ จำกัด ในความผิดฐานร่วมกันฟอกเงินเพิ่มเติมอีกข้อหาหนึ่งอีกด้วย
ความผิดฐานฟอกเงินนั้น สืบเนื่องจากระหว่างเดือน กุมภาพันธ์ - กรกฎาคม 2559 พบมีการโอนเงิน 98,932,810 บาท จากเครือญาติของผู้ต้องหาทั้งสอง ที่ได้จากการกระทำผิดไปยังกรรมการผู้จัดการ บริษัท ฝูอัน ทราเวล และผู้เกี่ยวข้องที่ถูกจับกุมและฝากขังศาลอาญาแล้ว
คำร้องฝากขัง ยังระบุพฤติการณ์ ผู้จัดการบริษัท ฝูอัน ทราเวล และ บริษัท ซินหยวน ทราเวล จะทำหน้าที่รับนักท่องเที่ยวจากบริษัททัวร์ประเทศจีนแล้วบริษัทผู้ต้องหาที่ 1 จะจัดหารถทัวร์รับนักท่องเที่ยวฟรี แต่มีข้อตกลงว่าจะรับนักท่องเที่ยวไปจอดแวะที่ร้านจำหน่ายสินค้าจิวเวลรี กระเป๋าหนัง ยา งู ที่นอนยางพารา ผ้าไหม ของฝากที่ระลึกต่างๆ ซึ่งบริษัทผู้ต้องหาที่ 2 ที่เป็นมารดาของผู้ต้องหาที่ 1 ดำเนินการ โดยไม่อนุญาตให้นักท่องเที่ยวชาติอื่นหรือคนไทยเข้าไปภายในร้าน มีการจำหน่ายสินค้าราคาที่สูงกว่าความเป็นจริง โดยบริษัทผู้ต้องหาที่ 1 จะรวบรวมเงินจากการจำหน่ายสินค้าแล้วแบ่งปันผลประโยชน์ให้แก่บริษัทนำเที่ยว 20-30% ส่วนมัคคุเทศก์จะได้ 3-4%
ต่อมาวันที่ 13 กันยายน 2559 พนักงานสอบสวนได้แจ้งข้อกล่าวหาเพิ่มเติมกับผู้ต้องหาทั้งสองว่าร่วมกันเป็นสมาชิกอั้งยี่, ร่วมกันประกอบธุรกิจนำเที่ยวกระทำการก่อให้เกิดความเสียหายแก่อุตสาหกรรมท่องเที่ยว แหล่งท่องเที่ยวหรือนักท่องเที่ยว และร่วมกันฟอกเงิน ตามความผิดประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 209 วรรคแรก, พ.ร.บ.ธุรกิจนำเที่ยวและมัคคุเทศก์ พ.ศ. 2551 มาตรา 24, 100 และ พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. 2542 มาตรา 3 (10), 5, 60 ชั้นสอบสวนผู้ต้องหาทั้งสองให้การปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหา
ส่วนการคัดค้านการให้ประกันตัว เนื่องจากผู้ต้องหาทั้งสองเกี่ยวพันกับขบวนการนำนักท่องเที่ยวศูนย์เหรียญจากประเทศจีนเข้ามาในประเทศไทยนับล้านคน โดยมีรถทัวร์พานักท่องเที่ยวมาถึง 2,000 คัน มีเงินหมุนเวียนนับหมื่นล้านบาท ดำเนินการลักษณะปกปิด มีอิทธิพลเหนือผู้ประกอบการรายอื่น พฤติการณ์ขูดรีดขายสินค้าราคาแพง และห้ามผู้ประกอบรายอื่นขายสินค้าชนิดเดียวกันกับผู้ต้องหา ทำให้ภาพลักษณ์การท่องเที่ยวของไทยได้รับความเสียหาย อีกทั้ง ปปง. ได้ยึดอายัดทรัพย์สินในเครือของผู้ต้องหานับหมื่นล้านบาท โดยพยานบุคคลยังเกิดความเกรงกลัวไม่กล้าหรือหลบเลี่ยงไม่มาให้ปากคำต่อพนักงานสอบสวน และคดีมีอัตราโทษสูงจึงกลัวว่าจะหลบหนี
นโยบายกวาดล้างทัวร์ศูนย์เหรียญครั้งใหญ่ของ “รัฐบาลบิ๊กตู่” ทางการจีนได้ให้การสนับสนุนไทยอย่างเต็มที่ ผ่านการยืนยันของนางจาง ซิงหง ผู้อำนวยการองค์การส่งเสริมการท่องเที่ยวแห่งชาติจีนประจำประเทศไทย (ซีเอ็นทีเอ) ประจำประเทศไทยว่า การท่องเที่ยวไทย-จีนกำลังอยู่ในจุดที่เติบโตสูงสุด และต่างฝ่ายต่างตั้งความหวังว่ามาตรการนี้จะทำให้ธุรกิจการท่องเที่ยวพัฒนาอย่างมีคุณภาพและยั่งยืนมากขึ้น เพราะจะทำให้เกิดการตั้งราคาทัวร์ที่สมเหตุสมผล นำมาซึ่งบริการที่ดีมีคุณภาพ นักท่องเที่ยวได้รับความปลอดภัยและมีความสุข
แต่ที่มาพร้อมปฏิบัติการกวาดล้าง ก็มีเสียงที่แสดงความห่วงใยเกรงว่าจะเกิดผลกระทบต่อการท่องเที่ยวโดยรวม นั่นคือ รศ. ดร.สังศิต พิริยะรังสรรค์ คณบดีวิทยาลัยนวัตกรรมสังคม มหาวิทยาลัยรังสิต ที่สะท้อนผ่านบทความเรื่อง “วิกฤตินักท่องเที่ยวจากจีน” ว่า
“..... ช่วงนี้ทัวร์จีนยกเลิกการมาเมืองไทยเพิ่มขึ้น โรงแรมแถวสะพานหัวช้าง ที่เคยมีคนจีนแน่นขนัด ขณะนี้คนจีนหายไปเกือบหมดแล้วครับ คนในวงการท่องเที่ยวได้รับผลกระทบนับหมื่นคน สัญญาณนี้เป็นการบอกให้รัฐบาลไทยต้องตื่นขึ้นมาดูการทำงานของบรรดาข้าราชการประจำว่าพวกเขาทำงานกันอย่างไร พวกเขากำลังช่วยเหลือรัฐบาลหรือกำลังจะก่อวินาศกรรมทางเศรษฐกิจให้กับรัฐบาล”
อย่างไรก็ตาม นางกอบกาญจน์ วัฒนวรางกูร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ยืนยันว่า อาจจะกระทบเฉพาะบางพื้นที่ในช่วงสั้นๆ โดยดูจากจำนวนนักท่องเที่ยวโดยรวมยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยตั้งแต่วันที่ 1-11 กันยายน 2559 นักท่องเที่ยวจีนมีจำนวนเพิ่มขึ้นร้อยละ 33.74 เมื่อเทียบกับเมื่อปีที่แล้ว และตั้งแต่ 1 มกราคม เป็นต้นมา นักท่องเที่ยวจีนเพิ่มขึ้นร้อยละ 19.34 ในขณะที่จำนวนนักท่องเที่ยวโดยรวมเพิ่มขึ้นร้อยละ 12.10
กระทรวงการท่องเที่ยวฯ ประเมินแนวโน้มจำนวนนักท่องเที่ยวจีนตลอดเดือน กันยายน 2559 ว่า ภายใต้สถานการณ์ปกติ ไม่มีมาตรการปราบปรามทัวร์ศูนย์เหรียญ จะมีจำนวน 8.25 แสนคน แต่แนวโน้มหลังจากการปราบปราม คาดว่าจะมีจำนวนนักท่องเที่ยวเหลือ 6.9 แสนคน ลดลงราว 16.39%
ที่ผ่านมา กรมการท่องเที่ยว ได้สรุปสถานการณ์ท่องเที่ยวไทยปี 2558 โดยประเมินจากข้อมูลเบื้องต้น ณ วันที่ 1 มกราคม 2559 พบว่าในปีที่ผ่านมา มีนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางมาเที่ยวไทยมากถึง 29.88 ล้านคน ขยายตัว 20.44% สร้างรายได้ 1.44 ล้านล้านบาทขยายตัว23.53% ถือว่ามีการเติบโตสูงที่สุดเป็นประวัติการณ์ โดยเพิ่มขึ้นจากปี 2557 มากถึง 2.7 แสนล้านบาท
สำหรับนักท่องเที่ยวต่างชาติ 5 อันดับแรกที่มีการเดินทางเที่ยวไทยสูงสุด ได้แก่ จีน ประมาณ 7.8 ล้านคน รองลงมาคือ มาเลเซีย ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ และลาว ตามลำดับ ส่วนประเทศที่สร้างรายได้มากที่สุด 5 อันดับแรก ได้แก่ จีน ประมาณ 3.7 แสนล้านบาท รองลงมา ได้แก่ มาเลเซีย รัสเซีย อังกฤษและออสเตรเลีย ตามลำดับ
ส่วนทิศทางการท่องเที่ยวปี 2559 กรมการท่องเที่ยว วางเป้าหมายว่าประเทศไทยจะมีรายได้จากการท่องเที่ยวอยู่ที่ 2.3 ล้านล้านบาท เป็นรายได้จากนักท่องเที่ยวต่างชาติ 1.5 ล้านล้านบาท และรายได้จากการท่องเที่ยวในประเทศ 8 แสนล้านบาท
หลังการตรวจค้น ยึดทรัพย์ จับกุม ตัวแทน 5 บริษัทที่ถูกเจ้าหน้าที่บุกค้นยึดทรัพย์ ได้ยื่นหนังสือถึงนายกรัฐมนตรี ผ่านศูนย์บริการประชาชน ทำเนียบรัฐบาล เพื่อขอความเป็นธรรม โดยยืนยันว่าเป็นบริษัทคนไทยร้อยเปอร์เซ็นต์ ก่อร่างสร้างตัวจากกิจร้านค้าที่ตลาดน้ำวัดไทร กรุงเทพมหานคร ไม่ได้ทำธุรกิจทัวร์ศูนย์เหรียญ แต่เป็นร้านค้าจำหน่ายสินค้าประเภทกระเป๋าหนัง ยาสมุนไพร หมอน ที่นอนยางพารา ขนมของฝาก ของที่ระลึก ซึ่งสั่งซื้อจากผู้ประกอบการชาวไทยและเกษตรกรชาวสวนทุเรียนของไทย ส่วนบริการรถขนส่งไม่ประจำทาง ก็ให้บริการทั้งคนไทยและนักท่องเที่ยวทุกชาติ และเสียภาษีถูกต้องตามกฎหมาย
เจอปฏิบัติการกวาดล้างหนักหน่วงขนาดนี้ ต้องรอดูต่อไปว่าทัวร์ศูนย์เหรียญ ซอมบี้ที่ไม่มีวันตาย จะสูญหายไปจากวงการท่องเที่ยวไทย-จีน หรือไม่