ทีมโฆษก รบ. เผย “ประยุทธ์” ห่วงปราบทัวร์ศูนย์เหรียญ สั่ง รมว.ท่องเที่ยวจัดการไม่ให้เกิดผลกระทบ ด้านตัวแทน 5 บริษัทร้องขอความเป็นธรรม นายกฯ โวย จนท.บุกค้นยึดกล่าวหาเป็นทัวร์ศูนย์เหรียญ เป็นนอมินีบริษัทจีน ยกหลักฐานผู้ก่อตั้ง-ถือหุ้นเป็นคนไทย 100% เปิดมาเก่าแก่ และมีการประกอบธุรกิจอย่างอื่น บริการนักท่องเที่ยวทุกชาติ รายได้ตกถึงคนไทยจำนวนมาก
วันนี้ (13 ก.ย.) ที่ตึกนารีสโมสร ทำเนียบรัฐบาล พ.อ.อธิสิทธิ์ ไชยนุวัตร ผู้ช่วยโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงภายหลังประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ได้กล่าวแสดงความห่วงใยกรณีการดำเนินการจัดการทัวร์ศูนย์เหรียญ รวมถึงทัวร์ที่ไม่ถูกกฎหมายรายอื่นๆ โดยนายกฯ ระบุว่าภายหลังที่การดำเนินการจับกุมและยึดรถทัวร์ได้แล้วนั้น จะมีผลกระทบต่อการท่องเที่ยวในประเทศหรือไม่ จึงสั่งการให้ รมว.การท่องเที่ยวและกีฬา ไปวางแผนดำเนินการขั้นต่อไป เพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบ โดยนายกฯ ยกตัวอย่างกรณีวัดพระแก้ว ที่มีทัวร์ชาวต่างชาติเข้ามามากมาย บางรายมีการกั้นคนไทยไม่ให้เข้าไปไหว้พระภายในวัด จึงให้ไปหามาตรการการจัดระเบียบ เช่น จัดเป็นพื้นที่แยกสำหรับคนไทย ที่ต้องการไปไหว้พระ กับนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติที่ต้องการไปเดินชมวัด
ขณะที่ศูนย์บริการประชาชน ภายในสำนักงาน ก.พ. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ตัวแทนบริษัท รอยัล เจมส์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด, บริษัท รอยัล พาราไดซ์ จำกัด, บริษัท รอยัลไทยเฮิร์บ จำกัด, บริษัท บางกอก แฮนดิคราฟ เซ็นเตอร์ จำกัด และบริษัท โอเอ ทรานสปอร์ต จำกัด จำนวน 3 คน นำโดยนายโอฬาร รุ่งโรจน์รัศมี เดินทางมายื่นหนังสือถึง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เพื่อขอความเป็นธรรมกรณีที่ถูกเจ้าพนักงานบุกค้น ยึด และกล่าวหาบริษัททั้งห้าเป็นบริษัททัวร์ศูนย์เหรียญ ผ่านนายยศพงษ์ งามรัตนไพบูลย์ นิติกรประจำศูนย์บริการประชาชน ทั้งนี้เนื่องจากเมื่อวันที่ 24 และวันที่ 30 ส.ค. 59 ได้มีเจ้าหน้าที่หลายหน่วยงานเข้าตรวจค้นบริษัททั้งห้าโดยกล่าวหาว่าเป็นบริษัททัวร์ศูนย์เหรียญ เป็นบริษัทนอมินีกับจีน เป็นร้านค้าที่จำหน่ายสินค้าให้เฉพาะนักท่องเที่ยวชาวจีนที่มากับกรุ๊ปทัวร์เท่านั้น และไม่อนุญาตให้นักท่องเที่ยวชาติอื่นเข้าไปภายในร้านเพื่อซื้อสินค้าได้ รวมทั้งจำหน่ายสินค้าในราคาที่สูงกว่าความเป็นจริงหลายเท่า และในวันที่ 9 ก.ย. 59 ตำรวจท่องเที่ยวกับเจ้าหน้าที่สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.), ตำรวจรถไฟ ยังได้นำกำลังเข้าตรวจค้นอีกครั้งหนึ่ง โดยในครั้งนี้ได้ยึดรถบัสนำเที่ยวของบริษัท โอเอ ทรานสปอร์ต จำกัด พร้อมทั้งอายัดบัญชีเงินสดกว่า 90 บัญชีไปอีกด้วย
นอกจากนี้ หนังสือยังระบุว่า (1. ครอบครัวเป็นคนไทย (2. การประกอบธุรกิจได้เปิดร้านค้าขายสินค้าให้แก่นักท่องเที่ยวทั้งแรกเป็นสินค้าที่ระลึกเมื่อปี 2525 ที่ตลาดน้ำวัดไทร ชื่อว่า “ร้านเรือนไทย” ต่อมาเมื่อกิจการเจริญรุ่งเรืองได้ขยับขยายมาเปิดร้านที่ข้างโรงภาพยนตร์โอเอเมื่อปี 2527 ชื่อ “ร้านโอเอเครื่องหนัง” และต่อมาได้ย้ายมาอยู่แถววังสวนจิตรลดาชื่อ “ร้านบางกอกแฮนดิคราฟท์เซ็นเตอร์” จากนั้นปิดและไปเปิดร้านนี้ที่ถนนศรีชื่อ “ร้านบริษัทเจน คอลเลคชั่น จำกัด” ต่อมาเพื่อแก้ปัญหาการจราจรติดขัดและไม่สะดวกแก่การจัดรถบัสจึงได้ย้ายไปอยู่ที่ย่านลาดกระบังเมื่อปี 2550 (3. ไม่ได้ประกอบธุรกิจทัวร์ศูนย์ เหรียญ เพราะว่าไม่ได้มีบริษัททัวร์และทำทัวร์แต่อย่างใด แต่ทำธุรกิจร้านค้าจำหน่ายสินค้าประเภทกระเป๋าหนัง ยาสมุนไพร หมอน ที่นอนยางพารา ขนมของฝาก ของที่ระลึกและประกอบธุรกิจให้กับบริการรถขนส่งไม่ประจำทาง สำหรับคนไทยและนักท่องเที่ยวทุกชาติ นอกจากนี้ รถบัสไม่ได้รับเฉพาะนักท่องเที่ยวจีนเท่านั้น และไม่ได้จำกัดเที่ยวซื้อสินค้าจากร้านค้าของบริษัทเท่านั้น รายได้ยังตกแก่คนไทยทั้งประเทศ ทั้งนี้ได้มีการกล่าวหาว่าบริษัททั้งห้าเป็นนอมินีและทำให้รายได้จากการท่องเที่ยวไม่ตกอยู่ในมือของคนไทยและประเทศไทย
อย่างไรก็ตาม ขอเรียนนายกรัฐมนตรีดังนี้ คือ จิวเวลรี บริษัทได้สั่งซื้อเครื่องประดับจากโรงงานส่งออกซึ่งเป็นของสมาคมอัญมณีไทยและเครื่องประดับ ส่วนหมอนยางพารานั้นบริษัทไม่ได้เป็นผู้ผลิตเองเช่นกัน แต่รับซื้อสินค้ามาจากโรงงานของไทย ในหลายโครงการบริษัทซึ่งมีรายได้จากการขายน้ำยางเพื่อนำมาแปรรูป และอื่นๆ ได้รับการยอมรับจากประเทศเยอรมนี สำหรับเครื่องหนังนั้นทางบริษัทไม่ได้เป็นผู้ผลิตเองเช่นกัน แต่รับซื้อสินค้ามาจากโรงงานของไทย ส่วนขนม อาทิ ผลิตภัณฑ์จากทุเรียนทั้งหมดล้วนซื้อมาจากสวนทุเรียนของคนไทยนับหลาย 100 สวน ปีหนึ่งๆ ทางบริษัทสามารถช่วยเหลือเกษตรกรชาวสวนทุเรียนได้อย่างน้อย 3,000,000 กิโลกรัมต่อปี
สำหรับยาสมุนไพรนั้น ผลิตโดยโรงงานยาเก่าแก่ที่มีชื่อเสียงประเทศไทย และซื้อจากชุมชนหลายแห่งของประเทศไทย เป็นการกระจายรายได้ส่งเสริมให้แก่ชาวบ้านผู้ประกอบการเอสเอ็มอีในชุมชนต่างๆ ของประเทศ นอกจากนี้ในเรื่องของภาษี บริษัททั้งห้าได้ปฏิบัติหน้าที่คนขายตามกฎหมายในการเสียภาษี
“บริษัททั้งห้าให้การยืนยันต่อนายกรัฐมนตรีว่ามีผู้ก่อตั้งและถือหุ้นเป็นคนไทย 100% ทุกคนเกิดและโตที่ประเทศไทย นายกฯ สามารถตรวจสอบสถานะของแต่ละบุคคลได้ ประกอบธุรกิจด้วยสัมมาชีวะก่อร่างสร้างตัวจากกิจร้านค้าที่ตลาดน้ำวัดไทร กรุงเทพมหานคร ทั้งนี้ การถูกตั้งข้อหาจากเจ้าหน้าที่รัฐวันที่ 14 ส.ค.และ 30 ส.ค.ที่ผ่านมา อีกทั้งยังอายัดทรัพย์ของข้าพเจ้า ครอบครัวและบริษัทในเครือในวันที่ 9 ก.ย.ที่ผ่านมา เป็นการกระทำที่การเกิดความเสียหายอย่างร้ายแรง และไม่เป็นธรรมกับบริษัททั้งห้าเป็นอย่างยิ่ง พร้อมทั้งขอความเป็นธรรมต่อนายกรัฐมนตรี เนื่องจากเชื่อถือในความเป็นธรรมของท่าน และมีความเชื่อมั่นว่าท่านจะให้ความเป็นธรรมกับบริษัททั้งห้าตามกฎหมาย โดยไม่หวั่นไหวตามกระแส ที่ดูเหมือนว่าจะมีการวางแผนกันเป็นอย่างดี ทำให้บริษัททั้งห้ายินดีจะให้ข้อมูลเพิ่มเติมหากนายกฯ มีข้อสงสัย”