ผู้จัดการสุดสัปดาห์ -ผ่อนคลายกันต่อเนื่อง ล่าสุดถึงคิวคําสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ที่ 55/2559 ยกเลิกคดีความที่ต้องขึ้นศาลทหาร โดยให้โอนกลับไปให้ศาลยุติธรรมปกติพิจารณาเหมือนเดิม
ประกอบด้วย ความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา ความผิดต่อองค์พระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาท และผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ตั้งแต่มาตรา 107 ถึงมาตรา 112
ความผิดต่อความมั่นคงของรัฐภายในราชอาณาจักร ตั้งแต่มาตรา 113 ถึงมาตรา 118 ยกเว้นความผิดซึ่งการกระทำผิดเกิดขึ้นในเขตพื้นที่ที่มีการประกาศใช้พระราชบัญญัติการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร 2551 หรือพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน 2548 ตลอดจนความผิดคดีอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน หรือวัตถุระเบิด ที่ใช้เฉพาะแต่การสงคราม
เรียกว่า คดีความมั่นคงที่ต้องขึ้นศาลทหารตั้งแต่วันที่ 22 พฤษภาคม 2557 ต่อไปให้ศาลยุติธรรมพิจารณา แต่คดีก่อนหน้านี้ ยังอยู่ในศาลทหารเหมือนเดิม
ถือเป็นการปลด “กฎเหล็ก” ข้อสำคัญออกทีเดียว หลังใช้มายาวนานตั้งแต่ช่วงแรกๆที่ คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เข้าควบคุมอำนาจการบริหารประเทศจากรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นับถึงวันนี้ก็ปาเข้าไป 2 ปีเศษเข้าให้แล้ว
จะว่าไป “กฎเหล็ก” หลายชิ้นที่ คสช. มีไว้กำราบนักการเมืองและแก๊งป่วนเมืองแทบจะหมดเกลี้ยงแล้ว เหลือเพียงอาญาสิทธิ์ตาม “มาตรา 44” เท่านั้น
ปฏิเสธไม่ได้ว่าปัจจัยหนึ่งที่ทำให้ “บิ๊ก คสช.” ตัดสินใจลดดีกรีการใช้กระบวนการยุติธรรมผ่าน “ศาลทหาร” ส่วนหนึ่งก็มาจากแรงกดดันภายนอกประเทศ ตลอดช่วง 2 ปีที่ผ่านมา นานาชาติ ทั้งในระดับประเทศ หรือระดับองค์กร ต่างตั้งคำถามถึงเรื่องสิทธิมุนษยชนในไทย ภายใต้การปกครองของ “รัฐบาลเผด็จการ” มาอย่างต่อเนื่อง
แม้ “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้า คสช.มักยืนยันมาตลอดว่านานาชาติมีความเข้าใจสถานการณ์ในประเทศไทย ที่จำเป็นต้องมีกฎเกณฑ์เงื่อนไขพิเศษเพื่อจัดระเบียบและควบคุมสถานการณ์ภายในประเทศ
แต่ในความเป็นจริง “บิ๊กตู่” หรือบรรดารัฐมนตรีที่ต้องไปพบปะเจรจากับ คนต่างด้าว ท้าวต่างแดน ก็พูดได้ไม่เต็มเสียง ตอบได้ไม่เต็มปาก ว่า ไม่มีการละเมิดสิทธิมนุษยชนในไทย เหตุเพราะมีหลักฐานทนโท่ว่า การบังคับใช้กฎหมายในไทยหลายกรณี ผิดเพี้ยนไปจาก “กติกาสากล”
โดยเฉพาะกระบวนการที่ต้องนำผู้ที่ถูกกล่าวหาว่ากระทำความผิดเกี่ยวกับความมั่นคงไปขึ้น “ศาลทหาร” ซึ่งเป็นที่เข้าใจในต่างประเทศว่า เป็นเครื่องมือที่ใช้สำหรับการปราบปรามฝ่ายตรงข้าม เฉกเช่นเดียวในต่างประเทศที่หลายครั้งใช้ศาลทหารตัดสินลงโทษด้วยความรุนแรงและเข้าข่ายทารุณกรรม
สำทับกับที่ ดอน ปรมัตถ์วินัย รมว.ต่างประเทศ พยายามอธิบายความต่างของศาลทหารไทย หับของต่างประเทศ ในทำนองว่าของไทยมีไว้เพื่อความรวยเร็วในการตัดสินคดี ที่พิจารณาตามเนื้อผ้าไม่ต่างจากศาลพลเรือน โดยระบุว่า “ศาลทหารของไทย ถ้าเทียบกับศาลทหารของประเทศที่เขาทำรัฐประหารกัน คนละเรื่องกันเลย เพราะศาลทหารของเราเปรียบเสมือนศาลพลเรือนโดยทั่วไป โดยจะดูคดีความที่เกี่ยวกับทหาร ไม่ได้แปลว่าต้องรุนแรง ไม่ได้ออกมาในเชิงทารุณกรรม เป็นการว่าความ หรือดำเนินคดีดังศาลพลเรือน"
ถามว่าต่างชาติให้น้ำหนักกับคำชี้แจงของ “ทูตดอน” หรือไม่ ก็ต้องตอบว่าไม่ เพราะตามรายงานสถานการณ์สิทธิมนุษยชนของไทยตามกลไก Universal Periodic Review (UPR) อันเป็นกลไกหนึ่งของคณะมนตรีสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ (UNHRC) เพื่อการตรวจสอบสิทธิมนุษยชนในประเทศต่างๆ ซึ่งส่งมาถึงประเทศไทยด้วยนั้น มีข้อเสนอจากประเทศสมาชิกสหประชาชาติถึงไทยเรารวม 249 ข้อ ข้อสำคัญข้อหนึ่งก็ถือเรื่อง “ศาลทหาร” รวมอยู่ด้วย โดยเป็นหนึ่งในข้อเสนอที่ฝ่ายไทยไม่สามารถตอบได้ทันที ต้องรับกลับมาพิจารณา
และว่ากันว่า เมื่อเร็วๆนี้ที่ “บิ๊กตู่” ควบกะไปร่วมประชุมสุดยอดผู้นำกลุ่มประเทศเศรษฐกิจชั้นนำของโลก 20 ประเทศ (G 20) ที่ประเทศจีน ต่อเนื่องด้วยการประชุมสุดยอดผู้นาอาเซียน ครั้งที่ 28 - 29 ที่ สปป.ลาว “บิ๊กตู่” ต้องตอบคำถามเรื่องสิทธิมนุษยชนในไทยปากเปียกปากแฉะ ทั้งการประชุมในรอบ-นอกรอบ โดยเฉพาะรายของ บัน คี มูน เลขาธิการ UN ที่ไปร่วมเวที G20 ด้วยนั้น แสดงความเป็นห่วงต่อสถานการณ์สิทธิมนุษยชนของไทยไม่ขาดปาก
ประจวบกับที่คิวที่ “นายกฯตู่” จะนำคณะไปร่วมประชุมสมัชชา UN ครั้งที่ 71 ที่นครนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา ในวันที่ 18 - 24 กันยายนนี้ ที่สำคัญหนนี้ “นายกฯตู่” แบกตำแหน่งประธานกลุ่ม G 77 ที่ต้องขึ้นกล่าวสุนทรพจน์ในที่ประชุมใหญ่ของ UN เสียด้วย เลยถือโอกาศปลดล็อกเรื่องศาลทหารไปเปราะหนึ่ง จะได้เดินขึ้นเวทีได้อย่างเชิดหน้าชูตา เพราะสิ่งที่ต่างชาติกดดันหนักได้รับการตอบสนองแล้ว
แต่จะว่าไปปัจจัยเรื่องที่ต่างชาติกดดันบีบคั้นนั้นคงเป็นเพียง “ผลพลอยได้” มากกว่า เพราะหากสถานการณ์ในประเทศยังไม่นิ่ง คสช.ก็คงไม่กล้าถอด “หมัดเหล็ก” เฉกเช่นนี้ โดยเฉพาะหลังผ่านพ้นการทำประชามติร่างรับธรรมนูญ ที่เสียงสนับสนุนร่างรัฐธรรมนูญมีมากกว่าฝ่ายที่คัดค้านแบบไม่เห็นฝุ่น ส่งให้เรตติ้ง คสช.พุ่งทะยานแบบฉุดไม่อยู่ ผนวกกับการที่ คสช.ได้จัดระเบียบ-เคลียร์คัทไปแล้วหลายเรื่อง
หลายปัจจัยชี้ชัดว่า เมืองไทยไร้ทางเลือกต้องพึ่ง “ทอปบูต” นำพาบ้านเมืองในห้องเวลานี้อย่างไม่มีกำหนด
ไล่ตั้งแต่การวางขุนศึกไว้ประจำการตามจุดต่างๆ เพื่อรักษาสถานการณ์ไว้หมดแล้ว โดยเฉพาะบัญชีรายชื่อแต่งตั้งโยกย้ายนายทหารประจำปี ตั้งแต่ “บิ๊กเจี๊ยบ”พล.อ.เฉลิมชัย สิทธิสาท น้องรัก “บิ๊กแอ้ด” พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ และเป็นคนที่ “ป๋าเปรม” พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ สนับสนุน ซึ่งแหวกม่านกองบูรพาพยัคฆ์ที่ครองอำนาจมาร่วมสิบปี ขึ้นเป็นผู้บัญชาทหารบก (ผบ.ทบ.) ได้สำเร็จ มีอายุราชการ 2 ปี เรื่องความไว้เนื้อเชื้อใจ ทั้งฝ่ายอำนาจใจปัจจุบันอย่างพี่น้องบูรพาพยัคฆ์ “บิ๊กตู่” เองหรือ “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม และ “บิ๊กป๊อก” พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทย กับ “บ้านน้อยเสา” เห็นตรงกันว่า “รบพิเศษ” เหมาะสมกับ “สถานการณ์พิเศษ” เช่นนี้
ขณะที่กองกำลังคุม “พระนคร” งานนี้ “บิ๊กตู่” เชื่อใจน้องรักจากสายวงศ์เทวัญ “บิ๊กแดง” พล.ท.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ ลูกชาย “บิ๊กจ๊อด” พล.อ.สุนทร คงสมพงษ์ อดีตหัวหน้าคณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ (รสช.) ให้คุมกองทัพภาค 1
ขณะที่ภาคต่างๆ ก็ล้วนแต่เป็นคนที่คสช. บรรจงวางเอาไว้ ไม่เว้นแม้แต่กองทัพภาคที่ 4 ที่ดึงเอาน้องชาย “บิ๊กหมู” พล.อ.ธีรชัย นาควานิช ผบ.ทบ.อย่าง “บิ๊กอาร์ท” พล.ท.ปิยวัฒน์ นาควานิช รับภาคกิจคุมไฟใต้
เรียกว่า ขุนพลตามจุดต่างๆ เรียบร้อยดีไม่มีอะไรต้องกังวล
ขณะที่ขุมกำลังจากสีกากีก็ล็อกเก้าอี้ยาวไปแล้วในราย “บิ๊กแป๊ะ” พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) ที่เหลืออายุราชการอีกหลายปี ต่อให้มีเหตุต้องไปก่อนกำหนด ก็ยังมีคนที่อยู่ในขุมข่ายอย่าง “บิ๊กปู” พล.ต.อ.ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล รองผบ.ตร. รอเสียบได้ทันที
ด้านการเคลื่อนไหวของภาคการเมืองตอนนี้ แม้จะไม่มีศาลทหารให้ต้องขนลุกขนพองแล้ว แต่นักการเมืองก็ยังไม่กล้าขยับอะไรมาก เพราะแม้จะยกเลิกคดีความมั่นคงที่ต้องขึ้นศาลทหารในรายใหม่ แต่พวกรายเก่ายังต้องขึ้นศาลทหารเหมือนเดิม ซึ่งต่างเป็นพวกตัวแสบทั้งนั้น โดยเฉพาะกรณีของ บุญเลิศ บูรณุปกรณ์ อดีตนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) เชียงใหม่ กับพวกที่เป็นผู้ต้อหาในคดีความมั่นคง จากกระทำความผิดเกี่ยวกับการบิดเบือนร่างรัฐธรรมนูญ เมื่อช่วงการทำประชามติ จนกลายเป็นเคส “เชือดไก่” ที่ทำเอาพรรคพวกหัวตั้งกันเป็นแถบๆ ที่เหลือๆ อยู่ก็เป็นพวกแถวสองแถวสามที่ไม่กล้าเปรี้ยวอะไรมาก เนื่องจากตอนนี้ดูสัญญาณจากฝั่ง คสช.แล้วกำลังไล่หวด-ไล่เช็กบิลกันสนุกมือ
ยิ่งเมื่อเกิด “ปรากฏการณ์สนธิ” ที่ สนธิ ลิ้มทองกุล อดีตแกนนำกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย (พันธมิตรฯ) เดินทางไปฟังคำพิพากษา ก่อนเข้ารับใช้โทษจำคุก 20 ปี ตามที่ศาลฎีกาพิพากษาให้มีความผิดตามพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ทั้งที่ก่อนนัดอ่านคำพิพากษา มีบางฝ่ายค่อนขอดว่า “สนธิ” คงหลบหนีเฉกเช่นเดียวกับผู้หลักผู้ใหญ่หลายคนในบ้านเมืองที่หลบหนีไปต่างประเทศ
เมื่อ “สนธิ” ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของ “พันธมิตรฯ” หรือ “คนเสื้อเหลือง” เข้าคุกได้ ก็เท่ากับเป็นการสร้างบรรทัดฐานใหม่ และทำให้กระบวนยุติธรรมมีความศักดิ์สิทธิ์ ลบคำครหาเรื่อง “สองมาตรฐาน” จนแทบจะหมดจด หลังจากนี้ไม่ว่าสีเสื้อใด ใหญ่มาจากไหน หากมีความผิดก็ต้องรับโทษเป็นไปตาม “กฎแห่งกรรม”
ก่อนหน้านี้ก็มีบุคคลระดับ “วีไอพี” หลายรายที่ถูกพิพากษาให้มีความผิด ทั้งจำคุก ยึดทรัพย์ และตัดสิทธิ์ทางการเมือง โดยเฉพาะในซีกของ “เพื่อไทย - คนเสื้อแดง” ที่โดนกันตั้งแต่ระดับหัวแถว ไปจนระดับหางแถว ทั้ง “หมอเลี้ยบ” สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ไอซีที) ในยุครัฐบาลทักษิณ ถูกศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองพิพากษาจำคุกเป็นเวลา 1 ปี ไม่รอลงอาญา ในคดีตกเป็นจำเลยอนุมัติให้แก้ไขสัญญาสัมปทานกิจการดาวเทียมภายในประเทศ เอื้อประโยชน์ให้กับบริษัท ชิน คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) และบริษัท ชินแซทเทลไลท์ จำกัด (มหาชน) ก่อนหน้านั้นก็ ชูชีพ หาญสวัสดิ์ - วิทยา เทียนทอง รัฐมนตรีและเลขานุการรัฐมนตรีกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ยุครัฐบาลทักษิณ ถูกตัดสินจำคุกคนละ 6 ปี โดยไม่รอลงอาญา ฐานฮั้วประมูลจัดซื้อปุ๋ยอินทรีย์เมื่อปี 2544-2545 มูลค่ากว่า 300 ล้านบาท
เบญจา หลุยเจริญ อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง สมัยรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ถูกศาลอาญาพิพากษาจำคุก 3 ปี พร้อมอดีตผู้บริหารระดับสูงกรมสรรพากรอีก 3 ราย รวมทั้ง ปราณี เวชพฤกษ์พิทักษ์ เลขานุการส่วนตัว “หญิงอ้อ” คุณหญิงพจมาน ณ ป้อมเพชร อดีตภรรยาทักษิณ ที่ถูกสั่งจำคุก 2 ปี กรณีทำให้รัฐเสียประโยชน์ จากการช่วยเหลือ “ลูกโอ๊ค” พานทองแท้ ชินวัตร และ “ลูกเอม” พินทองทา ชินวัตร ซื้อหุ้นบริษัท ชินคอร์ปอเรชัน จำกัด ร่วม 8 พันล้านบาท โดยไม่เสียภาษี เมื่อปี 2549 ซึ่งคดีอยู่ในระหว่างการอุทธรณ์ต่อสู้คดี
ส่วนคนเสื้อแดง ก็มีรายของ ขวัญชัย สาราคำ หรือ ขวัญชัย ไพรพนา อดีตประธานชมรมคนรักอุดร กลุ่มคนเสื้อแดง ถูกศาลจังหวัดอุดรธานีพิพากษาจำคุก 2 ปี โดยไม่รอลงอาญา และปรับ 350,000 บาท ในคดีเป็นแกนนำพากลุ่มคนเสื้อแดงเข้ารุมทำร้ายกลุ่มพันธมิตรฯ
ยังมี ประชา ประสพดี อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย และอดีต ส.ส.สมุทรปราการ ที่ถูกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ลงมติถอดถอนออกจากตำแหน่ง จากการแทรกแซงการทำงานขององค์การตลาด กระทรวงมหาดไทย ปิดเทอมทางการเมืองยาวไป แล้วยังมีคิวของ “บิ๊กโอ๋” พล.อ.อ.สุกำพล สุวรรณทัต อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ที่กำลังรอขึ้นเขียง สนช. กรณีแทรกแซงการแต่งตั้งปลัดกระทรวงกลาโหม ต่อด้วยเพื่อนๆต่อแถวรอฟังคำลงทัณฑ์จาก สนช.อีก 1 ล็อต ประกอบด้วย “ขุนค้อน” สมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ อดีตประธานสภาผู้แทนราษฎร อุดมเดช รัตนเสถียร อดีต ส.ส.นนทบุรี และ นริศร ทองธิราช อดีต ส.ส.สกลนคร พรรคเพื่อไทย กรณีปลอมร่างรัฐธรรมนูญประเด็นที่มา ส.ว. และกรณีเสียบบัตรลงคะแนนแทนกัน หลังถูกคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ชี้มูลกราวรูด
หรือกรณีที่เพิ่งไปหมาดๆ หลัง คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) ภายใต้การนำของ พล.ต.อ.ชัยยะ ศิริอำพันธ์กุล ที่โชว์ฟอร์ม “มือปราบโกง” เล่นงานก๊วนกังฉินกราวรูด ล่าสุดสั่งอายัดทรัพย์ 7 พันล้านบาท ของ “เสี่ยเปี๋ยง” นายอภิชาต จันทร์สกุลพร กรณีทุจริตการระบายข้าวแบบรัฐต่อรัฐ (จีทูจี) ซึ่งอาจจะโยงใยพัวพันมาถึง บุญทรง เตริยาภิรมย์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิย์ หรือกระทั่งผู้อยู่เบื้องหลังอย่าง “เจ๊ ด.” ได้ไม่ยาก
เอาเป็นว่า คนเพื่อไทย-เสื้อแดง ทยอยโดนไม่มีหยุดหย่อน ซึ่งมันก็สอดคล้องกับคำพูดของ “บิ๊กตู่” ก่อนหน้านี้ที่ว่า บรรดาคดีต่างๆ เริ่มจะทยอยออกมาแล้ว!
ว่ากันว่า พอโดนติดๆ กันหลายคน ทำเอาบรรดาลิ่วล้อภายในพรรคเพื่อไทย หวั่นๆ ว่าจะมาถึงคิวตัวเอง โดยเฉพาะพวกที่มีชนักปักหลัง ไม่กล้าเสี่ยงออกมาปั่นป่วนกวนใจ “ทอปบูต” เลย จะมีก็แต่พวกที่ไม่มีคดี ไม่แผล ที่ยังซ่าได้เรื่อยๆ
และที่เป็น “จุดสลบ” ทำเอา “พ่อแม้ว” ทักษิณ ชินวัตร กลายเป็น “เด็กดี” ไม่ขยันเดินสายโจมตี คสช.ไปเลย ก็มีทั้งคดีจำนำข้าวของ “น้องปู” ที่กำลังอยู่ในชั้นศาลฎีกาแผนกผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง โดยล่าสุดก็ตั้งท่าว่าจะมีการยึดทรัพย์ผู้เกี่ยวข้องในเร็วๆนี้ จากคำสั่งตามมาตรา 44 ที่ให้กรมบังคับคดีทำหน้าที่ทวงถามทรัพสินย์จากผู้ที่เกี่ยวข้อง หากมีการประกาศคำสั่งทางการปกครองให้ยึดทรัพย์จากกระทรวงพาณิชย์ออกมา
แล้วยังมี “กล่องดวงใจ” อย่าง “ลูกโอ๊ค” ที่มีข้อหารับของโจร-ฟอกเงิน ในคดีธนาคารกรุงไทยปล่อยกู้เครือกฤษดามหานคร คาหลังอยู่
เครือข่ายแนวร่วมสำคัญอย่าง “วัดจานบิน” วัดพระธรรมกาย ก็ถูกขึงพรืดดิ้นไม่ออกเมื่อ “เจ้าลัทธิ” อย่าง พระเดชพระคุณหลวงพ่อธัมมชโย ติดบ่วงมีคดีเป็นหางว่าว ถูกตรึงอยู่ในที่ตั้ง ออกมาวาดลวดลายไม่ได้ กระทั่ง “ธุดงค์ธรรมชัย” อีเว้นท์ใหญ่ประจำปี เดินพาเลซเหยียบดอกดาวรวย ก็เงียบกริบไม่มีการพูดถึงแต่อย่างใด รอก็แต่เพียงเจ้าหน้าที่รัฐโดย กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) จะเข้าเผด็จศึกจับตัว “ธัมมชโย” มาเข้ากระบวนการยุติธรรมได้เมื่อใด
ขณะที่ภารกิจหนักๆ อย่างร่างรัฐธรรมนูญของ คสช. ก็ผ่านพ้นไปแล้ว ผ่านบันไดหนึ่งขั้น ไม่จำเป็นต้องกำ “กฎเหล็ก” เอาไว้ให้ “โลกนินทา” หรือฝ่ายตรงข้ามเอาไปบิดเบือนโจมตี
ที่สำคัญเลย ท้ายคำสั่งหัวหน้า คสช.ฉบับล่าสุด สังเกตดูให้ดีว่า ยังให้อำนาจเจ้าพนักงานสามารถควบคุมตัวได้อยู่ ยังห้ามชุมนุมเกิน 5 คนอยู่ ดังนั้น ถ้ามีใครแหลม สามารถล็อกตัวไปได้อยู่ดี เรียดมาปรับทัศนคติเข้าคอร์ส 7 วันในค่ายทหารได้เหมือนเดิม เพียงแต่เมื่อจบคอร์สก็นำตัวมาส่ง “ศาลยุติธรรม” แทนที่ “ศาลทหาร” แค่นั้น
ที่สำคัญยิ่งกว่า ยังหมายเหตุอีกว่า “หัวหน้า คสช.” สามารถเปลี่ยนแปลงคำสั่งได้ตลอดเวลา ฉะนั้น จะเอากลับมาใช้เมื่อไหร่ก็ได้ หรือไม่ใช้ก็ยังมี “มาตรา 44” ไว้กำราบในรูปแบบใดก็ได้ แล้วแต่จะออกคำสั่งมา
คำสั่ง 55/2559 จึงเป็นภาพลวงตาว่า “หย่อน” แต่จริงๆ “หนัก” เหมือนเดิม
และก็ยังมีกติกาประเทศใหม่ หรือร่างรัฐธรรมนูญที่กำลังจะประกาศใช้ ซึ่งมี “ยาแรง” เตรียมไว้กรอกปากนัการเมือง-นักเลือกตั้งหลายขนาน
เงื่อนไข-ปัจจัยพร้อมสรรพ ฟ้าฝน ทิศทางลม อะไรก็เป็นใจหมดแล้ว อยู่ที่ว่า “บิ๊กตู่ ณ คสช.” จะสะบัดธงให้อาณัติสัญญาณรบ ดีเดย์กวาดล้างฝ่ายตรงข้ามเมื่อไหร่เท่านั้นเอง
ถึงขนาดนี้แล้วจะมัว “ลับ ลวง พราง” ให้ “เสียของ” ไปวันๆทำไม ปัดโธ่!!.