เรียกได้ว่ากลายเป็นสาวน้อยหน้าหวานที่กำลังเฉิดฉายบนเส้นทางบันเทิง “ครีม-วริศรา ศรีเพชร” ผู้คว้าตำแหน่งมิสทีนไทยแลนด์ปี 2015 ด้วยความเป็นตัวของตัวเองและความน่ารักสดใสที่ต้องบอกเลยว่าดูรวมๆ แล้วมีเสน่ห์เหลือเกิน เธอพร้อมบอกเล่าชีวิตวัยเรียนที่กำลังมุ่งมั่นเข้าคณะที่ใฝ่ฝัน รวมถึงเรื่องราวชีวิตที่เปลี่ยนไปหลังคว้ามงกุฏ และยังแอบเผยเคล็ดลับให้กับสาวๆ วัยใสที่มีความฝันอยากเข้าวงการบันเทิงอีกด้วย
“หน้าที่ของตัวเองสำคัญที่สุด”
“ตอนแรกอยากเป็นหมอค่ะ แต่พอเราได้มาทำงานจริงๆ แล้วมันค่อนข้างหนัก” เธอให้คำตอบหลังจบคำถามว่าทำไมถึงเรียนสายวิทย์-คณิต ทว่าความคิดแรกของเธอคืออยากเป็นหมอ ซึ่งคงเหมือนกับเด็กหลายคนที่ใฝ่ฝันเอาไว้ แต่แล้วความชอบก็เปลี่ยนไปเมื่อเธอค้นพบเส้นทางที่เหมาะกับเธอมากกว่า
“ตอนนี้เรียนอยู่ที่โรงเรียนสามร้อยยอดวิทยาคม จ.ประจวบฯ ค่ะ เหมือนความที่ยังเป็นเด็กมันก็เปลี่ยนได้เรื่อยๆ อย่างตอนเด็กๆ ใครๆ ก็อยากเป็นหมอ พอโตมาเริ่มรู้แนวทางของตัวเองที่เราถนัดน่าจะเป็นงานด้านวงการบันเทิงมากกว่าค่ะ ครีมดูคณะนิเทศศาสตร์กับคณะวารสารศาสตร์ ที่จุฬาฯ เอาไว้”
แน่นอนว่าเธอเองต้องเรียนและทำงานไปด้วย ซึ่งทำให้เวลาเรียนอาจน้อยกว่าเพื่อนร่วมห้องคนอื่นๆ เราจึงถามวิธีการทบทวนบทเรียนของเธอว่าทำอย่างไรให้เรียนตามเพื่อนๆ ในห้องทัน เธอขยายความให้ฟังว่าได้มีเรียนพิเศษในวันเสาร์-อาทิตย์ ส่วนวิชาที่ตามไม่ทันเธอให้เพื่อนทบทวนให้ รวมถึงเปิดยูทูปหาข้อมูลเพิ่มเติมเองอีกด้วย
“มีเรียนพิเศษวันเสาร์-อาทิตย์ค่ะ เพราะหนูต้องทำงานไปด้วย เรียนไปด้วย เวลาเรียนเราเลยน้อยกว่าคนอื่นๆ เพื่อนก็จะมีเก็บงาน เก็บเล็คเชอร์ไว้ให้ ส่วนวิชาที่เราตามไม่ทัน อย่างวิชาคณิตถ้าขาดไปคาบเดียวก็ไม่เข้าใจแล้ว กลับมาต้องถามเพื่อนว่าเรียนถึงตรงไหน เพื่อนจะมีสอนหรือเปิดยูทูปดูเอาบ้าง ไม่ก็ถามอาจารย์ที่เรียนพิเศษด้วยเพื่อทบทวนตัวเองค่ะ”
เธอบอกอีกว่ายังมีวิธีที่มีส่วนกระตุ้นให้เธอรู้สึกขยันเรียนสุดๆ เลย นั่นคือการเรียนแข่งกันกับเพื่อนในห้องว่าใครจะได้คะแนนวิชาไหนดีกว่ากัน ทว่าไม่เพียงแต่แข่งกันเรียนระหว่างเพื่อนว่าใครจะทำคะแนนดีกว่าเท่านั้น แต่เพื่อนในห้องยังช่วยกันสอนและทบทวนเนื้อหาบทเรียนแบ่งปันกันอีกด้วย
“เพื่อนในห้องจะแข่งกันเรียนค่ะ อย่างคนนี้แกขยัน ฉันก็ต้องขยัน เอาเพื่อนในห้องมาเรียนแข่งกันค่ะ แต่แข่งกันแบบขำๆ มากกว่านะคะ (หัวเราะ) หรือมีอะไรเราก็จะสอนกัน แบ่งกัน ไม่ได้มาหวงความรู้กัน”
ด้วยความที่เธอทำงานในระหว่างเรียน เราจึงอดถามไม่ได้ว่าทางครอบครัวเข้มงวดเรื่องการเรียนกับเธอบ้างหรือไม่ เพราะยิ่งใกล้ช่วงสอบเข้ามหา'ลัยเข้ามาทุกทีแล้ว เธอยอมรับกับทีมงานว่าคุณแม่ไม่ได้เข้มงวดเรื่องเรียน เพียงแต่ให้คำสอนที่ว่าจงทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุด นี่คือสิ่งที่เธอยึดใช้มาตลอดในเรื่องของการเรียนและการใช้ชีวิต
“แม่เขาจะบอกเสมอค่ะว่าให้เรียนให้จบ ให้ตั้งใจเรียน ให้ทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุด หนูชอบบ่นว่าหนูเหนื่อย แม่ก็จะบอกว่าหนูเหนื่อยแต่คนที่หาเงินเลี้ยง หาเงินส่งหนูเรียนเหนื่อยกว่า เราก็เลยฮึด (หัวเราะ) เขาก็สอนให้เราทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุด”
ก้าวแรกสู่ความฝัน
“ตอนแรกที่มาประกวดมิสทีนไทยแลนด์คือ พี่สนับสนุนให้มา” สาวน้อยคนเก่งเล่าให้เราฟังถึงการตัดสินใจแรกในการมาประกวดเวทีมิสทีนไทยแลนด์ ก่อนเธอจะขยายความต่อไปว่าการได้เข้ามาประกวดในเวทีครั้งนั้น ทำให้เธอได้เรียนรู้หลายๆ สิ่งที่ใช้ในการพัฒนาตัวเธอเองมากขึ้น
“พอเข้ามาแล้วเราก็อยากถ่ายแบบ เดินแบบ เป็นนักแสดงมากกว่าค่ะ เวทีมิสทีนไทยแลนด์นี่เป็นเวทีแรกที่หนูมาเลย เราได้เรียนรู้หลายๆ อย่างจากการประกวดในครั้งนั้น เพื่อนๆ ก็ช่วยกันสอนว่าต้องเดินยังไง โพสท์ท่ายังไง การวางตัวในคลาสตอนเก็บตัวเขาก็มีสอนค่ะ”
เธอเล่าต่อไปว่าเวทีการประกวดมิสทีนไทยแลนด์ถือได้ว่าเป็นก้าวแรกที่พลาดไม่ได้สำหรับสาววัยทีนที่ใฝ่ฝันทำงานด้านวงการบันเทิง ซึ่งเธอเองยอมรับกับเราว่าเป็นเวทีแรกที่มาสมัคร แต่ด้วยความสดใสและเป็นตัวของตัวเอง นี่อาจเป็นสิ่งที่เข้าตากรรมการ จนทำให้เธอคว้าตำแหน่งชนะเลิศมิสทีนไทยแลนด์มาครอง
“วันนั้นที่จำได้ดีคือเหมือนหนูเป็นความหวังของพ่อแม่ เหมือนทุกคนคาดหวังในตัวหนู แล้วหนูก็ทำให้มันเป็นจริงได้ วันนั้นมีคนเข้ามาให้กำลังใจ อยากเจอเรามากอดเรา เราก็ภูมิใจค่ะ เพราะก่อนหน้านี้ไม่เคยประกวดที่ไหนด้วย
ความรู้สึกตอนนั้นที่อยู่บนเวทีตัดสินไม่มีอะไรในหัวเลย มันตื่นเต้นไปหมด ถ้าการที่เขาเลือกเรา หนูคิดว่าหนูเป็นตัวของตัวเอง มีความสดใสวัยทีนธรรมดา ไม่แก่จนเกินไป อยู่ในวัยที่มีรอยยิ้มเป็นของตัวเอง ตลก เฮฮา ตามประสาเด็กๆ ค่ะ”
นอกจากนี้เธอยังแนะนำถึงสาวๆ ที่สนใจเข้าร่วมประกวดเวทีมิสทีนไทยแลนด์ด้วยว่า อยากให้ลองพกพาความมั่นใจ ความเป็นตัวของตัวเอง ความเป็นเอกลักษณ์มาขึ้นเวที เพราะสิ่งเหล่านี้จะทำให้ทุกเห็นถึงความเป็นธรรมชาติและความสดใสของเรามากที่สุด
“เวทีนี้เป็นเวทีที่เปิดโอกาสให้สาววัยทีนอายุ 15-18 ปีได้เข้าสู่วงการบันเทิงได้ง่ายกว่าค่ะ เหมือนเป็นก้าวแรกของวัยรุ่นที่ได้เข้าไปสู่วงการบันเทิง เวทีนี้แค่เอารอยยิ้มที่เป็นเอกลักษณ์ของตัวเอง การเป็นตัวของตัวเอง ความสามารถ และความมั่นใจมาเท่านั้นเองค่ะ”
สำหรับชีวิตหลังจากที่เธอได้รับตำแหน่งมิสทีนไทยแลนด์ เธอบอกกับเราว่าทุกอย่างเปลี่ยนไปมาก และเธอเองก็ดีใจกับความสำเร็จในครั้งนั้น รวมถึงได้หันมาดูแลตัวเองและพัฒนาบุคลิกภาพให้ดีขึ้น เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับวงการบันเทิงอีกด้วย
“ชีวิตหลังจากได้รับตำแหน่งเปลี่ยนจากหลังมือเปนหน้ามือเลยค่ะ หนูดีใจมากกับความสำเร็จครั้งนี้ หนูมีโอกาสได้เข้าทำงานในวงการบันเทิง หนูต้องรู้จักวางตัวที่ดีในสังคม เป็นแบบอย่างที่ดี หนูมีความรับผิดชอบมากขึ้น มีความคิดที่เป็นผู้ใหญ่มากขึ้น หันมาใส่ใจและดูแลตัวเองมากขึ้น เข้าฟิตเนตรักษาสุขภาพบ้าง รักษาหุ่นและควบคุมอาหาร พูดง่ายๆ คือใส่ใจทุกรายละเอียดที่ทำค่ะ”
โซเชียลมีเดีย “เล่นให้พอดี-ชีวิตดี”
ในฐานะที่เธอเป็นสาววัยทีนที่เติบโตมาพร้อมๆ กับยุคที่เทคโนโลยีกลายเป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญ ในการดำรงชีวิตไปเสียแล้ว เธอเองให้ความเห็นในเรื่องของการใช้โซเชียลมีเดียของวัยรุ่นปัจจุบันว่า ส่วนใหญ่มักใช้สื่อออนไลน์ในการระบายความรู้สึกโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์ว่าสิ่งเหล่านั้นอาจส่งผลเสียต่อตัวเอง เธอยังแนะนำอีกว่าควรแบ่งเวลาเล่นให้พอเหมาะที่ทำให้ไม่ส่งผลเสียต่อเรื่องการเรียน
“ในความคิดหนู หนูว่าวัยรุ่นบางคนอาจชอบใช้โซเชียลเน็ตเวิร์คในการระบายคำพูด โพสท์ในทางที่ไม่ดี หนูคิดว่าบางทีเรามีอะไรไม่จำเป็นต้องออกสื่อให้คนอื่นรับรู้ก็ได้ เพราะสื่อมันเป็นเหมือนตัวขยาย มันไม่มีความเป็นส่วนตัวอยู่แล้วถ้าคิดจะโพสท์อะไรก็ตามลงโลกออนไลน์
เด็กบางคนติดเล่นโซเชียลมากเกินจนไม่สนใจเรียนหนังสือ ครีมอยากให้เล่นให้พอเหมาะ และไม่ควรโพสท์อะไรที่เป็นคำหยาบ หรือสื่อออกไปในทางที่ไม่ดี ซึ่งมันส่งผลเสียมาต่อตัวเราเอง ทางที่ดีไม่ควรหมกมุ่นกับมันมากจนเกินไป เพราะอาจทำให้เสียการเรียนได้”
นอกจากนี้ เธอยังบอกอีกว่าการวางตัวเป็นสิ่งสำคัญ ทั้งการเป็นแบบอย่างที่ดีให้กับเยาวชน การคิดก่อนทำว่าสิ่งที่ทำไปนั้นจะส่งผลเสียต่อใครหรือไม่ รวมถึงการไม่ตัดสินคนอื่นๆ จากการเสพสื่อเพียงด้านเดียวเท่านั้น
“จริงๆ แล้ว โซเชียลเน็ตเวิร์คเป็นสังคมออนไลน์ที่กว้างมาก ในสังคมมีคนที่ชอบและไม่ชอบเรา เพราะฉะนั้นเราควรวางตัวให้ดีในสังคม เป็นแบบอย่างที่ดีให้เยาวชนเห็น ควรคิดก่อนทำว่าจะส่งผลเสียกับตัวเราและคนรอบข้างไหม และไม่ควรใช้สื่อไปในทางที่ผิดๆ ไม่ควรไปต่อว่าคนอื่นเขา ถ้าเรายังรู้จักเขาไม่ดีพอ”
สำหรับด้านดีของการใช้โซเชียลฯ ในฐานะที่เธออยู่ในวัยเรียน แน่นอนว่าเธอใช้มันในการหาความรู้ในสิ่งที่สนใจ รวมถึงข้อมูลในการเตรียมตัวเข้ามหาวิทยาลัยอีกด้วย
“ถ้าพูดถึงข้อดีมันก็มีเยอะนะคะ อย่างตัวหนูเองใช้หาความรู้ในสิ่งที่สนใจ หาข้อมูลที่เกี่ยวกับมหาวิทยาลัย มันก็เป็นแนวทางให้เราได้ มันมีทั้งข้อดีและข้อเสียก็อยู่ที่เราจะเลือกใช้ เลือกเสพอะไรที่ดีกับตัวเรามากกว่าค่ะ”
ภาพ : Missteenthailand