ผู้จัดการรายวัน 360 - คณะนิเทศฯ ม.หอการค้าไทย เผยผลสำรวจ “พฤติกรรมการรับข่าวสารและความเชื่อมั่นของประชาชนที่มีต่อสื่อมวลชน” พบข้อมูลเด่น คนไทยทุกรุ่นเสพสื่อออนไลน์และข่าวแชร์สูง แต่เชื่อถือสื่อหลักดั้งเดิมมากกว่า แนะสื่อมืออาชีพพัฒนารูปแบบและเนื้อหาเพื่อจูงใจผู้เสพข่าวมากขึ้น
ดร.มานะ ตรีรยาภิวัฒน์ คณบดีคณะนิเทศศาสตร์ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยว่า คณะนิเทศศาสตร์ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ได้ทำแบบสำรวจเรื่อง “พฤติกรรมการรับข่าวสารและความเชื่อมั่นของประชาชนที่มีต่อสื่อมวลชน” ด้วยวิธีเก็บแบบสอบถามในช่วงเดือนกรกฎาคม 2559 ในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล จำนวน 800 คน ในจำนวนนี้พบว่ามีผู้ตอบแบบสอบถามเป็นเพศชาย 44% เพศหญิง 56% มีระดับการศึกษาสูงสุดในระดับปริญญาตรี 52.8% รองลงมาคือระดับมัธยมศึกษา 22.8% ช่วงอายุของผู้ตอบแบบสอบถามแบ่งเป็น 4 ช่วง ได้แก่ เจเนอเรชัน Y อายุระหว่าง 19-36 ปี คิดเป็น 65.1% เจเนอเรชัน X อายุระหว่าง 37-51 ปี คิดเป็น 21% เบบี้บูมเมอร์ อายุระหว่าง 52-70 ปี คิดเป็น 7.5% และเจเนอเรชัน Z อายุระหว่าง 12-18 ปี คิดเป็น 6.4%
จากผลสำรวจพบว่า ประชาชน 32.6% ใช้เวลาในการรับชมข่าวสารโดยเฉลี่ยต่อวัน 1-2 ชั่วโมง รองลงมา 24.1% ใช้เวลาในการรับชมข่าวสารโดยเฉลี่ยต่อวัน 2-3 ชั่วโมง โดยข่าวสารที่รับชมบ่อยที่สุดคือข่าวบันเทิง 54.4% รองลงมาคือข่าวเหตุการณ์สำคัญ 52.3% ข่าวกีฬา 37% ข่าวการเมือง 34.9% และข่าวอาชญากรรม 32.8% ทั้งยังพบว่าประชาชนรับข่าวสารจากสื่อสังคมออนไลน์ (โซเชียลมีเดีย) บ่อยที่สุดคิดเป็นคะแนนเฉลี่ย 4.13 (จากคะแนนเต็ม 5 คะแนน) รองลงมาคือโทรทัศน์ คิดเป็นคะแนนเฉลี่ย 3.81 และเว็บไซต์ หรือแอปพลิเคชันข่าว คิดเป็นคะแนนเฉลี่ย 3.15
*** คนไทยอ่านข่าวผ่านมือถือสูงสุด ***
สำหรับพฤติกรรมการรับข่าวสารผ่านทางออนไลน์ของประชาชนส่วนใหญ่จะอ่านข่าวผ่านอุปกรณ์โทรศัพท์มือถือ คิดเป็นคะแนนเฉลี่ย 4.35 (จากคะแนนเต็ม 5 คะแนน) บ่อยกว่าอ่านจากคอมพิวเตอร์ ซึ่งคิดเป็นคะแนนเฉลี่ย 3.12 โดยประชาชนเลือกอ่านข่าวที่แชร์มาจากคนใกล้ชิดบ่อยที่สุด คิดเป็นคะแนนเฉลี่ย 3.53 (จากคะแนนเต็ม 5 คะแนน) รองลงมาคืออ่านข่าวจากสื่อที่เป็นสำนักข่าวอย่างเป็นทางการ คิดเป็นคะแนนเฉลี่ย 3.33 และสื่อที่เป็นสำนักข่าวอย่างไม่เป็นทางการ คิดเป็นคะแนนเฉลี่ย 3.28 โดยพฤติกรรมของประชาชน เมื่อเห็นข่าวแล้วจะคลิกไปอ่านยังแหล่งที่มาของข่าวมากที่สุด คิดเป็นคะแนนเฉลี่ย 3.33 รองลงมาคือ กด Like คิดเป็นคะแนนเฉลี่ย 3.03
*** “เรื่องเล่าเช้านี้” ยังครองแชมป์สื่อโทรทัศน์ ***
ส่วนพฤติกรรมการรับชมข่าวทางสถานีโทรทัศน์ในระยะเวลา 3 เดือนที่ผ่านมา พบว่า รายการข่าวช่วงเช้าที่มีผู้ชมมากที่สุดคือ “เรื่องเล่าเช้านี้” ช่อง 3HD 48.9% รองลงมาคือ “เช้านี้ที่หมอชิต” 26.4% ส่วนรายการข่าวช่วงเที่ยง ได้แก่ รายการ “เที่ยงวันทันเหตุการณ์” ช่อง 3HD และรายการ “ห้องข่าวภาคเที่ยง” ช่อง 7 HD 23% ในช่วงข่าวเย็น ได้แก่ รายการ “เรื่องเด่นเย็นนี้” ช่อง 3HD รายการ “ข่าวภาคค่ำ” ช่อง 7HD 35.5% รายการข่าวภาคดึก ได้แก่ รายการ “ข่าวสามมิติ” ช่อง 3HD 46% รายการ “ประเด็นเด็ด” 7 สี ช่อง 7HD 31.5% ข่าวเสาร์อาทิตย์ ได้แก่ รายการ “เรื่องเล่าเสาร์อาทิตย์” ช่อง 3HD 42.1% รายการ “ข่าวภาคค่ำ” ช่อง 7HD 27.9%
*** แนะสื่อหลักจูงใจผู้บริโภคข่าว ***
“จะเห็นได้ว่าพฤติกรรมในการรับข่าวสารของประชาชนนั้นได้ให้ความสำคัญต่อการรับข่าวสารผ่านทางสื่อสังคมออนไลน์ หรือโซเชียลมีเดียมากที่สุด อีกทั้งยังมีพฤติกรรมในการรับข่าวสารที่ถูกบอกต่อ หรือแชร์มาจากคนใกล้ชิดบ่อยกว่าดูข่าวตรงจากสำนักข่าวที่เป็นทางการ โดยการรับข่าวสารจากสำนักข่าวที่ไม่เป็นทางการบ่อยพอๆ กับสำนักข่าวที่เป็นทางการ จึงเป็นประเด็นที่สำนักข่าวออนไลน์ในฐานะสื่อมวลชนมืออาชีพควรจะนำมาพัฒนาวิธีการ รูปแบบ หรือเนื้อหาของข่าวสารที่สร้างความแตกต่างและความน่าสนใจที่โดดเด่นกว่าข้อมูลข่าวสารทั่วไปที่มีอยู่ในโลกออนไลน์ เพื่อจูงใจให้ประชาชนให้ความสนใจเสพรับข่าวสารจากสำนักข่าวที่เป็นทางการมากขึ้น” ดร.มานะกล่าว
*** สื่อทางการได้ระบความเชื่อมั่นสูงสุด ***
ด้าน น.ส.กนกกาญจน์ บัญชาบุษบง อาจารย์ประจำสาขาวิชาการสื่อสารเชิงกลยุทธ์ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย กล่าวเพิ่มเติมถึงผลการสำรวจด้านความเชื่อมั่นที่มีต่อสื่อมวลชน พบว่า ต้นตอข่าวออนไลน์ที่ประชาชนให้ความเชื่อถือมากที่สุดคือ สำนักข่าวอย่างเป็นทางการคิดเป็นคะแนนเฉลี่ย 3.67 (จากคะแนนเต็ม 5 คะแนน) รองลงมาคือข่าวที่แชร์มาจากคนใกล้ชิด คิดเป็นคะแนนเฉลี่ย 3.01 และสำนักข่าวอย่างไม่เป็นทางการ 2.97
ส่วนความเชื่อมั่นของประชาชนต่อสื่อมวลชนโดยภาพรวมนั้นประชาชนให้ความเชื่อถือกับการนำเสนอข่าวของสื่อมวลชนผ่านทางโทรทัศน์มากที่สุด คิดเป็นคะแนนเฉลี่ย 3.89 รองลงมาคือสื่อหนังสือพิมพ์ คะแนนเฉลี่ย 3.66 วิทยุ คะแนนเฉลี่ย 3.22 เว็บไซต์ หรือแอปพลิเคชันข่าว คิดเป็นคะแนนเฉลี่ย 3.17 และเชื่อถือข่าวจากสื่อสังคมออนไลน์น้อยที่สุด คิดเป็นคะแนนเฉลี่ย 3.06
สำหรับความคิดเห็นต่อการนำเสนอข่าวในด้านการเมืองและประเด็นสำคัญของสังคมนั้น สื่อประเภทโทรทัศน์มีการนำเสนอข้อมูลจากหลายด้านมากที่สุด 70.5% รองลงมาคือเว็บไซต์ หรือแอปพลิเคชันข่าว 56.9% หนังสือพิมพ์ 55.8% วิทยุ 55% และสื่อสังคมออนไลน์ 54.4% โดยองค์ประกอบของการนำเสนอข่าวที่ทำให้ประชาชนให้ความเชื่อถือมากที่สุดคือ เนื้อหาข่าว 48.8% รองลงมาคือสังกัด 32.6% ผู้ประกาศข่าว 10.5% และนักข่าว 8.9%
“จากผลการสำรวจในส่วนความเชื่อมั่นของประชาชนนั้นจะเห็นได้ว่า แม้พฤติกรรมในการรับข้อมูลข่าวสารของประชาชนจะเปลี่ยนแปลงไป โดยมีการใช้สื่อสังคมออนไลน์ หรือเว็บไซต์ข่าวและแอปพลิเคชั่นข่าวในการอ่านข่าวสารมากขึ้น แต่ในด้านความเชื่อมั่นนั้นประชาชนยังให้ความเชื่อถือในสื่อกระแสหลัก โดยเฉพาะสื่อโทรทัศน์ที่ประชาชนมีความเชื่อว่าจะนำเสนอข้อมูลข่าวสารที่มีความหลากหลายให้แก่ประชาชน” น.ส.กนกกาญจน์กล่าว
*** “เบบี้บูมเมอร์” เน้นพฤติกรรม “ไม่เชื่อ = ไม่เสพ” ***
นอกจากนี้ คณะผู้วิจัยยังได้ทำการวิเคราะห์ข้อมูลจากการสำรวจ โดยแบ่งกลุ่มประชาชนตามช่วงอายุออกเป็น 4 กลุ่มตามเจเนอเรชั่น ได้แก่ เบบี้บูมเมอร์ เจเนอเรชั่น X เจนเนอเรชั่น Y และเจเนอเรชั่น Z เพื่อหาลักษณะสำคัญในการรับข้อมูลข่าวสารและความเชื่อมั่นที่มีต่อสื่อมวลชน ได้ผลดังนี้
กลุ่มเบเบี้บูมเมอร์ อายุระหว่าง 52-70 ปี มีพฤติกรรมในการรับข่าวสารคือ “ไม่เชื่อ = ไม่เสพ” รับข่าวสารจากแหล่งที่ตนเองให้ความเชื่อถือ “ชอบสื่อดั้งเดิม เพิ่มเติมคือสื่อใหม่” คือยังให้ความไว้วางในสื่อดั้งเดิมแต่มีการรับข่าวสารผ่านทางสื่อใหม่มากขึ้น โดยพฤติกรรมทั่วไปในการรับข่าวสารของกลุ่มเบบี้บูมเมอร์ที่มีความน่าสนใจ มีดังนี้
1.กลุ่มเบบี้บูมเมอร์มีการรับข่าวสารทางโทรทัศน์บ่อยที่สุด รองลงมาคือหนังสือพิมพ์ สื่อสังคมออนไลน์ หรือโซเชียลมีเดีย เว็บไซต์และแอปพลิเคชั่นข่าว และวิทยุ ตามลำดับ
2.ข่าวที่กลุ่มเบเบี้บูมเมอร์รับชมมากที่สุด 65% คือ ข่าวการเมือง รองลงมาคือข่าวเหตุการณ์สำคัญ 60% และข่าวอาชญากรรม 50%
3.ช่วงเวลาที่รับชมรายการข่าวทางโทรทัศน์มากที่สุดคือ เวลา 10.30-15.30 น. โดยรายการข่าวที่รับชมได้แก่ รายการ “เที่ยงวันทันเหตุการณ์” ช่อง 3HD 30% รายการ “ข่าวเที่ยงช่อง 7” ช่อง 7HD 21.7% รายการ “ชัดข่าวเที่ยง” ช่องไทยรัฐทีวี และรายการ “ตู้ ปณ.ข่าว 3” ช่อง 3SD 15% เท่ากัน
4.70% ของเบบี้บูมเมอร์ เชื่อว่าสื่อโทรทัศน์เป็นสื่อที่นำเสนอข่าวด้านการเมืองและประเด็นสังคมในหลายด้าน โดยหากรับข่าวสารทางสื่อออนไลน์จะเลือกรับข่าวสารจากแหล่งต้นตอข่าวที่ให้ความเชื่อถือคือ สำนักข่าวที่เป็นทางการ
*** เจน X “กลัวตกข่าว” ***
เจเนอเรชั่น X อายุระหว่าง 37-51 ปี มีพฤติกรรมในการรับข่าวสารคือ FOMO (Fear of Missing Out) คนกลุ่มนี้กลัวตกข่าว จึงรับข่าวสารทางออนไลน์ผ่านสำนักข่าวที่เป็นทางการและคนใกล้ชิดมากขึ้น ติดตามข่าวทางสื่อใหม่เพื่อให้ทันกระแสสังคมแต่ไม่ได้ให้ความเชื่อถือ โดยเฉพาะข่าวทางสื่อสังคมออนไลน์ หรือโซเชียลเน็ตเวิร์คที่เจเนอเรชั่น X ให้ความเชื่อถือในระดับน้อย แต่ให้ความเชื่อถือในสื่อที่เป็นประเภทสื่อดั้งเดิมในระดับมาก
เจเนอเรชั่น X เป็นกลุ่มคนที่รับข่าวสารผ่านทางสื่อโทรทัศน์มากกว่าสื่ออื่น โดย 71% ของคนกลุ่มนี้เชื่อว่าการนำเสนอข่าวด้านการเมืองและประเด็นสำคัญของสังคมจากสื่อโทรทัศน์เป็นการนำเสนอข้อมูลในหลายด้าน ขณะที่ช่วงเวลาที่รับชมข่าวทางโทรทัศน์มากที่สุดคือ เวลา 10.30-15.30 น. โดยรายการข่าวที่รับชม ได้แก่ รายการ “เที่ยงวันทันเหตุการณ์” ช่อง 3HD 43.5% รายการ “ข่าวเที่ยวช่อง 7” ช่อง 7HD 28% และรายการ “ตู้ ปณ.ข่าว 3” ช่อง 3SD 14.9%
*** เจน Y “ใช้สื่อใหม่ ไว้ใจสื่อดั้งเดิม” ***
กลุ่มต่อมาคือ เจนเนอเรชั่น Y อายุระหว่าง 19-36 ปี “ใช้สื่อใหม่ ไว้ใจสื่อดั้งเดิม” กลุ่มนี้รับข่าวสารผ่านช่องทางสื่อสังคมออนไลน์ หรือโซเชียลมีเดียบ่อยที่สุด รองลงมาคือสื่อโทรทัศน์ เว็บไซต์ หรือแอปพลิเคชั่นข่าว หนังสือพิมพ์ และวิทยุ ตามลำดับ แม้จะรับข่าวสารทางสื่อใหม่มากแต่คนนี้ให้ความเชื่อถือในสื่อโทรทัศน์และหนังสือพิมพ์มากกว่าข่าวสารจากสื่อใหม่ แต่มีแนวโน้มที่จะเชื่อถือในสื่อใหม่มากขึ้น
สำหรับต้นตอข่าวทางออนไลน์ที่เจนเนอเรชั่น Y รับข่าวสารบ่อยคือ สำนักข่าวที่ไม่เป็นทางการและรับข้อมูลข่าวสารจากคนใกล้ชิดบ่อยครั้งกว่าสำนักข่าวที่เป็นทางการ และ 53.7% คิดว่าข่าวสารที่รับจากในสื่อใหม่นั้นมีการนำเสนอข่าวการเมืองและประเด็นสำคัญทางสังคมหลายด้าน ส่วนประเภทข่าวที่เจนเนอเรชั่น Y รับชมได้แก่ ข่าวบันเทิง 57.2% ข่าวเหตุการณ์สำคัญ 51.6% และข่าวกีฬา 37.2%
*** เจน Z “ติดสื่อใหม่ ไว้ใจสื่อดั้งเดิม” ***
กลุ่มสุดท้าย เจเนอเรชั่น Z อายุระหว่าง 12-18 ปี “ติดสื่อใหม่ ไว้ใจสื่อดั้งเดิม” เป็นกลุ่มที่มีพฤติกรรมในการรับข่าวสารทางสื่อสังคมออนไลน์ หรือโซเชียลเน็ตเวิร์คบ่อยที่สุดและมากกว่าเจนเนอเรชั่นอื่นๆ รองลงมาคือสื่อโทรทัศน์ สื่อเว็บไซต์ หรือแอปพลิเคชั่นข่าว หนังสือพิมพ์ และวิทยุ
เจเนอเรชั่น Z ยังคงให้ความเชื่อถือในสื่อโทรทัศน์มาก ต่างกับสื่ออื่นทั้งหมดที่เชื่อถือแค่ในระดับปานกลาง การรับข่าวสารทางสื่อใหม่ของคนกลุ่มนี้รับข่าวสารจากสำนักข่าวออนไลน์ที่ไม่เป็นทางการและรับข่าวที่แชร์มาจากคนใกล้ชิดบ่อยกว่าการรับข่าวสารจากสำนักข่าวออนไลน์ที่เป็นทางการ แต่ให้ความเชื่อถือในสำนักข่าวที่เป็นทางการมากกว่าต้นตอข่าวออนไลน์อื่นๆ
แนวโน้มในการรับสารของคนกลุ่มนี้มีโอกาสที่จะมีความเชื่อถือในข่าวสารจากสื่อใหม่มากขึ้น โดยจะเห็นได้ว่า เจเนอเรชั่น Z ในสัดส่วนถึง 70.6% ซึ่งสูงกว่าเจเนอเรชั่นอื่นมาก มีความคิดเห็นว่าสื่อสังคมออนไลน์ หรือโซเชียลมีเดียจะนำเสนอข่าวด้านการเมืองและประเด็นสำคัญทางสังคมหลายด้าน รองลงมา 66.7% คือเว็บไซต์ หรือแอปพลิเคชั่นข่าว และโทรทัศน์
น.ส.กนกกาญจน์ กล่าวว่า จากผลการสำรวจและการวิเคราะห์ข้อมูลตามเจเนอเรชั่น สะท้อนให้เห็นภาพแนวโน้มของการเปลี่ยนแปลงในการรับข่าวสารและความเชื่อถือที่ประชาชนมีต่อสื่อและประเภทของแหล่งต้นตอข่าวออนไลน์ โดยเจเนอเรชั่นที่อายุน้อยยิ่งมีความเชื่อถือและรับข่าวสารผ่านสื่อใหม่มากขึ้น
ประเด็นหนึ่งที่มีความสำคัญและน่าสนใจคือ ถึงแม้ผู้บริโภคข่าวสารยุคใหม่จะให้ความสำคัญกับสื่อใหม่ แต่ก็ยังคงให้ความไว้วางใจในสื่อดั้งเดิม โดยเฉพาะสื่อโทรทัศน์ว่าเป็นแหล่งต้นตอข่าวสารที่น่าเชื่อถือ รูปแบบการเปลี่ยนแปลงนี้อาจกล่าวได้ว่าเป็นพฤติกรรมการรับข่าวสารของผู้บริโภคในยุคที่มีเทคโนโลยีการสื่อสารสูงขึ้น เป็นยุคใหม่แห่งการบริโภคข่าวสาร หรือ The Modern News Consumer ที่สื่อจะต้องปรับตัวให้สอดรับการเปลี่ยนแปลงนี้ โดยผสมผสานการใช้สื่อดั้งเดิมที่ผู้บริโภคให้ความไว้วางใจ เข้ากับสื่อใหม่ที่มีความสอดคล้องกับไลฟ์สไตล์ผู้บริโภคมากขึ้น