"บิ๊กตู่"ประกาศ รมต.อยู่ครบทุกตำแหน่ง ไม่มีการตั้งรมช. ยันมีอำนาจเต็ม แต่ไม่บ้าสั่ง ไม่ทะเลาะกับนักการเมือง ลั่นไม่คิดอยู่ต่อ ป้อง"ป๋าเปรม"ไม่ยุ่งแต่งตั้งโยกย้ายในกองทัพ ปัดตั้ง "บิ๊กแกละ" นั่งที่ปรึกษากลาโหมซับน้ำตา แต่ตั้งเพื่อตอบแทนคุณงามความดี หลังพลาดเก้าอี้ผบ.ทบ. พ้อสื่อไม่เสนอข่าวลุยจับทัวร์ศูนย์เหรียญ
วานนี้ (31ส.ค.) พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคสช. กล่าวถึงการปรับคครม. ที่ยังมีการคาดเดาในขณะนี้ว่า การแต่งตั้งรัฐมนตรี รัฐมนตรีช่วย เป็นเรื่องของตน ไม่ใช่เรื่องของใครทั้งสิ้น ใครอยากเสนออะไรก็เสนอมา แต่จะให้หรือไม่ให้ เป็นเรื่องของตน เพราะคือผู้รับผิดชอบ
"ผมเป็นหัวหน้ารัฐบาล เป็นหัวหน้า คสช. อำนาจเบ็ดเสร็จอยู่ที่ผม แต่ไม่ใช่จะบ้าอำนาจอะไร เพียงแต่ผมจะต้องเป็นคนตัดสินใจเอง จะทำอะไร จะได้หรือไม่ได้ แต่ทั้งหมดจะต้องมีการหารือร่วมกันมา ไม่ใช่ผมตอบเมื่อวานนี้ว่า เกษียณแล้วก็คือเกษียณ สือก็ไปเขียนว่า ผมไล่กลับบ้านไปเลี้ยงหลาน ก็สื่อถามผม ผมก็พูดว่า ให้กลับบ้านไปเลี้ยงหลานไปก่อน วันข้างหน้าจะเกิดอะไรขึ้น ยังไม่รู้ แล้วไม่ใช่พอพูดแบบนี้แล้วไปเขียนอีกว่า นายกฯ กลับคำว่า วันข้างหน้าจะให้กลับมา จะเข้า หรือไม่เข้า จะไปหรือไม่ไป ยังไม่มีใครรู้ อย่าไปทำนายล่วงหน้า เรื่องแบบนี้ทำนายกันได้อย่างไร ไปพูดว่าจะต้องตอบแทนทหารทำไม คนเขาไม่ชอบทหารกันอยู่ สื่อยิ่งพูด เขาก็ยิ่งไม่ชอบไปกันใหญ่ ยืนยันว่า ทุกคนต่างก็ทำงานเต็มที่ ไปดูได้ทุกๆ กระทรวง ไม่ว่ารัฐมนตรีจะมาจากพลเรือน หรือทหาร เขาทำงานกันอย่างเต็มที่ หลายกระทรวงมีการบริหารที่ผิดเพี้ยน ผมจึงต้องเอาทหารเข้าไป เพื่อจัดระเบียบสร้างความเข้มแข็ง สร้างกระบวนการทำงานใหม่ ความจริงข้าราชการทุกคนอยากทำงานทั้งสิ้น วันนี้เขาก็บอกแล้วว่า ดีใจที่ได้ทำงาน ในหน้าที่ และความสามารถที่มีอย่างแท้จริง โดยไม่มีอำนาจอื่นมาทับซ้อน ผมสั่งแต่ภารกิจ ไม่ได้สั่งให้ทำอะไรให้เกิดประโยชน์กับผม หรือรัฐบาล นี่คือความแตกต่างของรัฐบาลทหาร ที่ร่วมกับพลเรือนในเวลานี้ ขอร้องว่าอย่าทำให้เกิดความสับสนในทุกๆ เรื่อง มันพันกันไปหมด ผมก็ไม่ค่อยสบายใจ แล้วไม่ต้องไปเชียร์คนนี้ แล้วต่อว่าคนนั้น สามคนดี ที่เหลือไม่ดี ผมไม่สนใจ ผมไม่ได้ทำงานตามกองเชียร์ของท่าน แล้วไอ้คนที่ถูกเชียร์ ก็อาจจะผิดพลาดอีก สังคมก็จับตา กลายเป็นเรื่องการแบ่งพรรคแบ่งพวก ยืนยันว่าไม่มีการแบ่งพวก พอผมจะปรับ ก็หาว่าปัดความรับผิดชอบ ไปโยงเรื่องนั้น เรื่องนี้ ยืนยันว่าไม่มี ผมอยู่ตรงนี้ เป็นคนพิจารณาเองว่าควรจะแบ่งเบาอย่างไร แยกแยะตรงไหน ได้ปรึกษาหารือกันก็ไม่เห็นมีใครขัดข้อง ผมถึงได้สั่ง ไม่ใช่อยู่ดีๆ ผมไม่ได้ถามอะไรใคร แล้วสั่งบ้าๆ " พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว
ผู้สื่อข่าวถามว่า กระแสข่าวความขัดแย้งกันระหว่าง พล.อ.ฉัตรชัย สาริกัลยะ รมว.เกษตรฯ และ นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี ด้านเศรษฐกิจ พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า "ไม่มีใคร ไม่ต้องมาเอ่ยชื่อใครทั้งนั้น ผมไม่สนใจ ไม่ต้องมาเอ่ยชื่อ ไม่ตอบ จะชื่อใครก็ไม่ตอบ ผมยืนยันว่ารัฐมนตรีทุกคนยังอยู่ที่เดิมทั้งหมด ยังไม่มีการตั้งรัฐมนตรีช่วย จบ ไม่มีเหตุผลทั้งสิ้น ทุกอย่างเป็นเรื่องของผม" พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว
** "บิ๊กตู่"ลั่นไม่คิดเป็นนายกฯ ต่อ
นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า หลายอย่างที่ตนทำอยู่ในขณะนี้ ขอให้แยกแยะดูว่าการที่ตนทำหลายๆ เรื่องแบบนี้มันอาจจะมีข้อขัดแย้งอยู่บ้าง โดยเฉพาะนักการเมือง ตนก็ไม่ได้ไปทะเลาะกับท่าน เพียงแต่ตนขอร้องให้กลับเข้าสู่สิ่งที่ตนพูด มันจะผิด จะถูก ก็มาคุยกัน เพราะอย่างไรท่านก็ต้องบริหารประเทศต่อไปในวันหน้า อย่ามาทะเลาะเบาะแว้งด้วยเรื่องไม่เป็นเรื่อง รัฐธรรมนูญ กฎหมาย แล้วอย่างอื่นไม่สนใจกันเลย สนใจแต่เรื่องเหล่านี้ ซึ่งมันไร้สาระในตอนนี้ ถึงเวลาจะไปตีอะไรก็ไปว่ากันตรงโน้น ตนไม่อยากให้มันเกิดขึ้นทั้งนั้น วันนี้ยังขนาดนี้ แล้ววันหน้ามันจะเชื่อมั่นได้ไหม ประชาชนจะเชื่อมั่นได้ไหม การเลือกตั้งก็ต้องจัด ถ้าจัดไม่ได้จะทำอย่างไร ต้องคิด ไม่ใช่มองแต่ว่า ตนจะอยู่ต่อ
"ผมไม่เคยคิดอย่างนั้นเลยตั้งแต่ก่อนเข้ามา และผมก็ไม่คิดจะเข้ามาอีก ทหารทุกคนก็ไม่อยากเข้ามา เพราะเข้ามาก็ต้องโดนแบบที่ผมโดน นักการเมืองใหม่ก็ไม่อยากเข้ามา สิ่งที่เขาตั้งใจทำ ก็เข้าใจกันผิดไป ก็ต้องรับให้ได้ ตอนแรกผมก็รับไม่ได้ ตอนนี้ก็เริ่มรับได้แล้ว ก็ต้องทนเพื่อประโยชน์ของประเทศที่ยิ่งใหญ่กว่านั้น ผมก็ต้องทนให้ได้" พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว
**"ป้อง"ป๋า"ไม่เกี่ยวโผทหาร
พล.อ.ประยุทธ์ ยังกล่าวถึง กรณีที่ประชุมครม. มีมติแต่งตั้งประธานที่ปรึกษากระทรวงกลาโหม ในอัตราจอมพล เพื่อรองรับบุคคลมาดำรงตำแหน่งในอัตราดังกล่าว โดยแต่งตั้ง พล.อ.พิสิทธิ์ สิทธิสาร เสนาธิการทหารบก เป็นตำแหน่งซับน้ำตา หลังพลาดจากตำแหน่งผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ. ) ว่า ไม่มี มีเพียงตำแหน่งประธานที่ปรึกษา ซึ่งมันไม่มี แต่เดิมเคยมี แต่ถูกปรับลดไป เรื่องนี้อย่าไปคิดว่าเป็นการตอบแทน ให้คิดว่าเขาทำงานประสบความสำเร็จมาทั้งชีวิต แต่ตำแหน่งมีจำกัด ขอให้คิดว่าเขาทำงานเพื่อประเทศชาติ ก็ต้องให้เขามีความสุขในบันปลายชีวิต ให้ครอบครัวได้ภูมิใจ มันไม่ได้มากมายอะไร
"ผมยืนยันว่าการแต่งตั้งทั้งหมดมีการประชุมกัน ซึ่งผมจะแต่งตั้งใคร ก็ต้องมีการประชุม 5 เสือ จากนั้นก็เสนอให้ที่ประชุมกลาโหม หากจะตั้งนายทหารพันเอกพิเศษ ผบ.ทบ. เป็นคนตัดสินใจ แต่ผมต้องประชุม 5 เสืออีก โดยเอาคำสั่งการปรับย้าย ที่ทุกกองทัพและหน่วยงานเสนอเข้ามาพิจารณาในที่ประชุมว่า คนในตำแหน่งดังกล่าวเหมาะสมหรือไม่ เพราะเราก็รู้ดี ว่าใครดี ไม่ดีอย่างไร แต่ถ้าเขาโอเคอยู่แล้ว ผมก็ไม่แตะต้อง แทบจะส่วนน้อยมากที่ผมไปยุ่ง ส่วนการปรับย้ายครั้งนี้ ถือเป็นเรื่องธรรมดา ไม่มีการบีบบังคับใครทั้งสิ้น ยืนยันว่า ก่อนจะมีการออกคำสั่งได้มีการประชุมเรียบร้อยแล้ว และไม่ได้เป็นอย่างที่หลายคนวิเคราะห์กันมา ว่าจะอยู่ข้างใคร รวมถึงการไปเข้าบ้าน พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรี และรัฐบุรุษ มันเป็นคนละเรื่องกัน จะเอามาโยงกันได้อย่างไร ผมก็ตั้งของผมเอง กับพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม รวมกับการพิจารณาของ ผบ.เหล่าทัพเท่านั้น ทุกอย่างกลั่นกรองมาแล้ว ผมขอยืนยัน ผมบอกแล้วไง ไม่มีใครมาสั่งผม เพราะเป็นหน้าที่ของฝ่ายความมั่นคง และผมเป็นผู้นำเสนอ และพิจารณาขั้นสุดท้ายก่อนจะลงนามกราบบังคมทูล เราทำงานกันแบบนี้ อย่าไปคิดว่าจะต้องตั้งคนโน้น คนนี้ ข้างของคนนู้น คนนี้ มันต้องคนเดียว ยิ่งทำอะไรไม่ได้ เพราะจะเกิดความไม่เป็นธรรมในกองทัพ สุดท้ายแตกแยก แต่ทหารไม่มีเรื่องเหล่านี้ ไม่มีแน่นอน คนส่วนใหญ่เขายอมรับ ส่วนคนผิดหวัง ก็เป็นคนส่วนน้อย เป็นคนธรรมดาเขาทำอะไรไม่ได้ เพราะตัวเองไม่ทำให้เขายอมรับ การทำงานต้องไต่เต้ามาตั้งแต่เล็ก จนโต และระมัดระวังไม่ให้ผิดพลาด พอถึงเเวลาที่เหมาะสม ก็เอาเรื่องเหล่านี้มาพิจารณา ทั้งหน้าบ้าน หลังบ้าน พิจารณาหมด ไม่ใช่จะพิจารณาส่งเดช รักผม หรือไม่รักผม มันไม่ใช่ เพราะถึงไม่รักผม ผมก็รักเขา นึกถึงเขาสิ เพราะฉะนั้น อย่าเอา พล.อ.เปรม มาเกี่ยว ต้องให้เกียรติท่าน อย่าเอาท่านมาเกี่ยวข้องกับเรื่องการเมือง" นายกรัฐมนตรี กล่าว
** พ้อสื่อไม่ลงข่าวจับทัวร์ศูนย์เหรียญ
พล.อ.ประยุทธ์ ยังกล่าวถึง การปราบปรามทัวร์ศูนย์เหรียญว่า เขาจับไปเท่าไรแล้ว แต่สื่อไม่เห็นลงข่าวเลย เรื่องนี้มีมากี่ปีแล้ว ตั้งแต่รัฐบาลไหน ตนต้องมารื้อทุกเรื่อง ทัวร์ศูนย์เหรียญ นอมินี การกระทำสิ่งผิดกฎหมาย จัดระเบียบบ้านเมือง เกิดมาตั้งแต่ตอนไหน แล้วทุกคนก็มาเร่งตน วันนี้กำลังทำโครงสร้างที่บิดเบือนให้กลับเข้ามาในระเบียบด้วยกฎหมาย และมาแก้ด้วยรัฐศาสตร์ นิติศาสตร์ ขณะที่คนไทยต้องพัฒนาตัวเอง ค้าขายต้องโปร่งใส ไม่ใช่ให้ไปจับคนนั้น คนนี้ แต่ไม่ปรับปรุงตัวเอง แล้วมาบอกว่าตนไปรังแก มันยังไงกัน ประเทศไทยเป็นอย่างนี้หรือ ถ้าคิดแบบนี้ ใครก็เป็นนายกฯได้ ไม่ต้องไปหาคนนอก คนใน เอาใครสักคนตรงนี้ก็ได้
"วันนี้เหมาด่าทุกคนไปหมด ว่าเจ้าหน้าที่ ตำรวจ คสช. ผมกำลังทำให้ท่านนะ ไม่ได้ทวงบุญคุณอะไรเลย จำคำผมไว้ แล้ววันหน้าจะรู้สึกมันเกิดอะไรขึ้น ถ้ามันไม่ทำกัน"
พล.อ.ประยุทธ์ ยังกล่าวตำหนิสื่อมวลชนว่า การปรามปรามทัวร์ศูนย์เหรียญ ไม่เคยมีการเสนอข่าวเลย ไม่มีบนหน้าหนังสือพิมพ์ อยากเห็นข่าวแบบนี้ในหนังสือพิมพ์ทุกฉบับ วันนี้สนใจแต่ข่าวนายกฯ คนนอก เขียนทุกวัน ตนเบื่อหน้าตัวเองในหนังสือพิมพ์แล้ว ไม่มีแก่นสารของประเทศ มีแต่กระพี้ เปลือกนอก
** จี้"บิ๊กตู่"แถลงให้เคลียร์เรื่องตั้งพรรค
นายวิรัตน์ กัลยาศิริ หัวหน้าทีมกม.พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณีมีกระแสข่าวพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคสช. จะตั้งพรรคการเมืองว่า ถือเป็นเป็นดุลพินิจ และสิทธิส่วนตัวของท่าน แต่ตนว่าท่านควรออกมาแถลง โดยประกาศจุดยืนต่อเรื่องนี้ให้ชัดเจนไปเลยเพื่อกลบข่าวลือ ถ้าไม่แถลงให้ชัด จะมีพวกแอบอ้างออกมาให้ข่าวไปเรื่อย เพื่อหวังผลทางการเมือง
ส่วนประเด็นนายกฯ คนต่อไป จะเป็นคนใน หรือคนนอกนั้นไม่น่ามีปัญหา อยู่ที่กระบวนการรัฐสภา ตามรธน.ใหม่ ที่ให้พรรคการเมืองเป็นผู้เสนอรายชื่อคนที่จะมาเป็นนายกฯ อยู่แล้ว เชื่อว่าเมื่อถึงเวลานั้น ส.ส.แต่ละคน คงเสนอหัวหน้าพรรคตัวเองก่อนแน่ ถ้าเสนอชื่อคนอื่นที่ไม่ได้อยู่ในพรรค ประชาชนคงแปลกใจ จากนั้นถ้ายังเลือกกันไม่ได้ ค่อยมาว่ากันตามหลักเกณฑ์ ที่รธน.กำหนดไว้ ส่วนงานวุฒิสภา เป็นสภากลั่นกรองกฎหมาย ควรให้น้ำหนักเรื่องความหลากหลายจากทุกสาขาอาชีพ ให้มากที่สุด ไม่ควรจะเน้นให้ทหารเข้ามามากเกินไป
ด้านนายประสพสุข บุญเดช อดีตประธานวุฒิสภา กล่าวถึงกรณีนักการเมืองกังวลเรื่องทหารจะเข้ามามีตำแหน่ง ส.ว.จำนวนมากว่า เรื่องงานวุฒิสภาตามรธน.ใหม่ เป็นเพียงสภากลั่นกรองกฎหมาย ส่วนอำนาจการเสนอชื่อนายกฯจะเป็นคนนอกหรือคนใน ต้องมาจากเสียงข้างมากของ ส.ส.ในตะกร้า ที่พรรคการเมืองเสนอกันมาเองก่อน ดังนั้นทหารจะเข้ามามีสัดส่วน ส.ว.มาก หรือน้อย การทำงานคงราบรื่น ไม่น่ามีปัญหา เชื่อว่า ทหารที่อาจจะเข้ามาคงเป็นทหารชั้นผู้ใหญ่ ไม่น่าใช่ทหารเด็กๆ จึงอย่าไปกังวลกันมาก