ผู้จัดการสุดสัปดาห์ -หลังจากกระแสสังคมกดดันมานาน ผนวกกับการตรวจสอบทุจริตที่สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน(สตง.) ฟันโชะออกมาเป็นระลอกๆ ในที่สุดเวลาของ “คุณชายหมู-ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร” ในเก้าอี้ “ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร(กทม.)” ผู้มีแบ็กดีเพราะเป็น “ศิษย์เทพเทือก” และ “น้องรักพี่ป็อก” ก็หมดลงเสียทีเมื่อ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) มีคำสั่ง “ระงับการปฏิบัติหน้าที่” เมื่อวันที่ 25 สิงหาคม 2559 ที่ผ่านมา
แถมยังได้เกียรติพักงานในคำสั่งเดียวกับ “พี่หมอเปรม-นพ.เปรมศักดิ์ เพียยุระ” นายกเทศมนตรีเมืองบ้านไผ่ อ.บ้านไผ่ จ.ขอนแก่น ที่เป็นผลมาจากกรณี “ผูกข้อมือเด็ก ม.5” อีกต่างหาก(5555)
“ข้อ 1 ให้หม่อมราชวงศ์สุขุมพันธุ์ บริพัตร ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ระงับการปฏิบัติราชการหรือหน้าที่ในกรุงเทพมหานครเป็นการชั่วคราวโดยยังไม่พ้นจากตําแหน่ง จนกว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงคําสั่ง โดยไม่ได้รับค่าตอบแทนในระหว่างนี้”
นั่นคือคำสั่ง คสช.ที่ 50/59 เฉพาะในส่วนของ ม.ร.ว.สุขุมพันธ์ ซึ่งลงนามโดย พล.อ.ประยุทธ์
วันนี้ ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์เจ้าของวลีที่โดนใจชาวกรุงมากมาย อาทิ น้ำรอการ ระบาย ไม่อยากเจอน้ำท่วมก็ให้ไปอยู่บนดอย ก็คงได้ “พักผ่อน” สมใจเสียที ดังที่เคยประกาศเมื่อคราวถูกถามถึงความสัมพันธ์อันย่ำแย่กับพรรคประชาธิปัตย์เอาไว้ว่า “ผมขอพักผ่อนได้ไหมครับ ผมมีอยู่พัก(พรรค) เดียวครับ คือพักผ่อนครับ”
ทั้งนี้ เหตุผลที่อยู่เบื้องหลังคำสั่งระงับการปฏิบัติหน้าที่ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร(กทม.) ของคุณชายหมูนั้น ย่อมหนีไม่พ้นข้อหาทุจริตสารพัดที่ผู้ว่าฯ จากพรรคประชาธิปัตย์ที่ถาโถมเข้าใส่เป็นระยะๆ ทั้งที่มีการสรุปว่า “ฮั้ว” เป็นที่เรียบร้อยแล้ว และที่ยังอยู่ระหว่างการตรวจสอบ
แต่โครงการที่สร้างความสั่นสะท้านเข้าไปถึงขั้วหัวใจของคุณชายหมูและน่าจะเป็นเหตุผลหลักในการพักงานก็คือ “โครงการค่าใช้จ่ายในการประดับตกแต่งไฟฟ้าเพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยว(Motif of Light) ของ กทม.” หรือ “โครงการอุโมงค์ไฟ” ซึ่งใช้งบประมาณทั้งสิ้น 39.5 ล้านบาท เพราะ สตง.ฟันธงเปรี้ยงออกมาเมื่อวันที่ 3 พฤษภาคม 2559 ว่า ไม่เป็นไปตามระเบียบแบบแผนของทางราชการ มีการทุจริตตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ พ.ศ.2542 หรือ พ.ร.บ.ฮั้ว
พร้อมทั้งมีมติเห็นชอบที่จะดำเนินการเอาผิดต่อผู้กระทำความผิดทั้งหมด 9 รายคือ ม.ร.ว.สุขุมพันธ์ บริพัตร ผู้ว่าฯ กทม. นางปราณี สัตยประกอบ ผู้อำนวยการสำนักวัฒนธรรม กีฬาและการท่องเที่ยว กทม. นายธวัชชัย จันทร์งาม ผู้อำนวยการกองการท่องเที่ยว กทม. นายยศศักดิ์ คงมาก ผู้อำนวยการสำนักงบประมาณ กทม. ส่วนที่เหลืออีก 5 คนเป็นคณะกรรมการทีโออาร์ประกอบด้วย นายสิโรฒม์ แสงเจริญ น.ส.วันทนา เตชะสุวรรณ นายพงษ์พันธ์ ธัญญเจริญ นายมรกต ภูมิพานิชและนายสิทธิโชค อภิบาล
กระนั้นก็ดี ถ้าจะว่าไปแล้ว คำสั่งหัวหน้า คสช.ตามมาตรา 44 ของ พล.อ.ประยุทธ์นั้น อาจใช้คำว่า “ล่าช้า” พอสมควร เพราะในความเป็นจริงตามหลักธรรมาภิบาลและการบริหารราชการแผ่นดินแล้ว เมื่อหน่วยงานของรัฐอย่าง สตง.มีความเห็นชัดแจ้งว่ากระทำผิดกฎหมายตาม พ.ร.บ.ฮั้ว หน่วยงานต้นสังกัดอย่างกระทรวงมหาดไทยที่มี พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดาเป็นรัฐมนตรีว่าการก็จะต้องเร่งจัดการในทันที แต่นี่กลับปล่อยให้มีการทอดเวลาออกไปจนสังคมฟันธงเปรี้ยงไปแล้วว่า คุณชายหมูน่าจะรอด
สตง.และคตง.มีมติว่าผิดมาตั้งแต่เดือนพฤษภาคม แต่กว่าคำสั่งพักงานคุณชายหมูจะออกมาก็เป็นวัน 25 สิงหาคม หรือใช้เวลานานร่วม 4 เดือนกันเลยทีเดียว
จะอย่างไรก็ดีแม้จะช้าแต่ ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ก็มีวันนี้เข้าจนได้ ซึ่งก็ต้องถือเป็นวิบากกรรมที่ยากยิ่งจะหลุดพ้นจากคดีความได้ เพราะคดีย่อมมิได้หยุดอยู่ตรงแค่ สตง.หรือคำสั่งระงับการปฏิบัติงานของหัวหน้า คสช.เท่านั้น หากแต่ยังจะต้องนำส่งไปยังคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.) รวมถึงถ้า ป.ป.ช.ชี้มูลความผิด เรื่องก็ไปถึงศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองอีกต่างหาก
กล่าวสำหรับโครงการประดับไฟตกแต่งเพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวของ กทม.บริเวณลานคนเมืองนั้น ได้จัดทำเป็นซุ้มอุโมงค์ไฟประดับแอลอีดีจำนวน 5 ล้านดวง เพื่อเฉลิมฉลองเทศกาลปีใหม่ 2559 โดยเริ่มเปิดไฟให้คนไทยและนักท่องเที่ยวได้ชมตั้งแต่วันที่ 30 ธันวาคม 2558 เป็นเวลา 1 เดือน โดย บริษัท คิวริโอ ทัวร์ แอนด์ แทรเวิล จำกัด ชนะการประมูล และทำสัญญาไปเมื่อวันที่ 22 ธ.ค.2558
ทั้งนี้ ภายหลังเปิดให้ได้ชมก็เกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์ถึงความคุ้มค่ากับงบประมาณและภาษีอากรที่ต้องจ่ายไปให้กับโครงการนี้ กระทั่งนำไปสู่การตรวจสอบของ สตง.ก่อนที่จะมี่บทสรุปเมื่อวันที่ 3 พฤษภาคม 2559 ว่า
1.กรุงเทพมหานครอนุมัติเงินงบกลาง ประเภทเงินสำรองจ่ายทั่วไป กรณีฉุกเฉิน หรือจำเป็น เป็นค่าใช้จ่ายในการจัดจ้างเหมาโครงการ ซึ่งเป็นการอนุมัติงบประมาณที่ไม่ถูกต้อง ผิดวัตถุประสงค์ เนื่องจากการใช้จ่ายงบกลางจะต้องดำเนินการกิจการที่เป็นเรื่องเร่งด่วน หรือฉุกเฉิน เพื่อป้องกัน แก้ไขและบรรเทาปัญหาแก่ประชาชนในพื้นที่ เช่น ภัยน้ำท่วม ซึ่งก่อนหน้านี้เคยเสนอให้สภากทม. แต่ไม่ได้รับการเห็นชอบ ต่อมาผู้ว่าฯ กทม. พยายามผลักดันที่จะใช้งบกลางดังกล่าวอีกครั้ง
2.การจัดจ้างโครงการไม่เป็นไปตามกฎหมาย ระเบียบ และเข้าข่ายกระทำความผิดตาม พ.ร.บ.ฮั้วประมูล โดยพบว่าผู้บริหารระดับสูง รวมเจ้าหน้าที่ 9 ราย และเอกชนทั้ง 3 ราย ได้แก่ บริษัท จิปาถะ ไอเดีย จำกัด, บริษัท สยาม เอ็ม อี อี จำกัด และ บริษัท คิวริโอ ทัวร์ จำกัด มีพฤติการณ์ที่เอื้อประโยชน์ให้กับเอกชน ร่วมกันเสนอราคาโดยหลีกเลี่ยงการเสนอราคาอย่างเป็นธรรม รวมทั้งพบว่าบริษัทที่เข้าร่วมประมูลไม่เคยประกอบธุรกิจเช่นนี้มาก่อน โดยจดทะเบียนเพิ่มวัตถุประสงค์ให้ตรงกับทีโออาร์ รวมถึงคณะกรรมการทีโออาร์ ไม่สืบราคาตามอำนาจหน้าที่ แต่ใช้ข้อมูลการสืบราคาที่ผู้บริหารระดับสูงสืบราคาให้
หนักไปกว่านั้นคือ สตง.มีข้อมูลด้วยว่า บริษัท คิวริโอ ทัวร์ มีการนำเข้าอุปกรณ์แสดงอุโมงค์ไฟจากประเทศจีนมาล่วงหน้าถึง 3 ล็อตก่อนที่จะได้รับคัดเลือกจาก กทม.ด้วยซ้ำ แถมยังเป็นการนำเข้าทางเรืออีกต่างหาก ซึ่งนั่นหมายความว่า บริษัทแห่งนี้รู้อยู่แก่ใจแล้วว่า ต้องชนะการประกวดราคา ใช่หรือไม่
คำถามที่เกิดขึ้นก็คือ ม.ร.ว.สุขุมพันธ์จะชี้แจงหรือแก้ตัวว่าอย่างไร เพราะก่อนหน้านี้ยืนยันมาโดยตลอด “โครงการนี้ไม่มีปัญหาดีที่สุดในโลกและสุดคุ้ม”
แถมยังตั้งโต๊ะแถลงข่าวโดยแทบมิได้ชี้แจงแถลงไขหรืออรรถาธิบายสิ่งที่ คตง.มีมติว่า “ผิด” เลยแม้แต่น้อย ราวกับเป็นการแถลงข่าวอย่างปัจจุบันทันด่วนโดยที่มิได้เตรียมเนื้อเตรียมตัวมาแต่อย่างใด แถมคุยฟุ้งด้วยว่า โครงการฉาวโฉ่ดังกล่าวประสบความสำเร็จล้นหลาม
ขณะเดียวกัน ม.ร.ว.สุขุมพันธ์ยังขู่ด้วยว่า นี่เป็นเพียงจุดเริ่มต้นของกระบวนการที่จะต้องดำเนินการต่อไป ยังไม่มีใครผิดใครถูกตามกฎหมาย ดังนั้น ใครจะเขียนอะไรต้องระวังเรื่องกฎหมาย เพราะนับจากนี้ไปจะ “ฟ้อง” แบบไม่ไว้หน้า
แต่เมื่อ ม.ร.ว.สุขุมพันธ์โดนฤทธิ์ ม.44 โดยที่ “ลุงกำนัน” และ “พี่ป็อก” ไม่สามารถช่วยเหลือได้อีกต่อไป เจ้าของวังสวนผักกาดผู้นี้จะทำอย่างไรต่อไป โดยเฉพาะในเส้นทางการเมืองที่เคยวาดฝันเอาไว้ว่าอาจได้เป็นรัฐมนตรีกระทรวงใดกระทรวงหนึ่งหลังการเลือกตั้งจนถึงขั้นประกาศเอกราชจากพรรคประชาธิปัตย์มาแล้ว
เพราะ 8 ปีในเก้าอี้ผู้ว่าฯ กทม. ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ก็มิได้สร้างผลงานหรือความประทับใจให้กับคนกรุงเสียเท่าไหร่เมื่อเทียบกับงบประมาณที่ใช้ในตำแหน่งนี้รวมแล้วกว่า 5 แสนล้านบาทเลยทีเดียว แถมถ้าจะว่าไปแล้วก็เต็มไปด้วยเรื่องวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักหน่วงอีกต่างหาก ซึ่งนอกจากเรื่องอุโมงค์ไฟแล้ว ก็ยังมีปัญหาเรื่องอุโมงค์ยักษ์ที่ฝนตกเมื่อไหร่ก็ต้องถูกคนกรุงจวกจนน่วมทุกครั้งไป
เมื่อมาโดนเรื่องฮั้วและโดน ม.44 เข้าไปอีก เส้นทางการเมืองของคุณชายคนดังก็น่าจะมองไม่เห็นแสวงสว่างที่ปลายอุโมงค์แล้ว
“ทั้งชีวิตเราดูแล” ต่อไปนี้คุณชายหมูคงไม่มีโอกาสได้ใช้อีกแล้ว เพราะลำพังแค่ดูแลตัวเองก็ทำท่าว่าจะไม่รอดแล้วขอรับเจ้านาย