ผู้จัดการสุดสัปดาห์ -ยังคงเป็น “นิยายรักสุดร้อนแรง” ชนิดที่ไม่รู้ “ตอนจบ” จะลงเอยกันอย่างไรเลยทีเดียว สำหรับเรื่องราวของ “หมอเปรมเว้าแปน-นพ.เปรมศักดิ์ เพียยุระ” อดีต ส.ส.ขอนแก่น ที่วันนี้นั่งเก้าอี้ “นายกเทศมนตรีเมืองบ้านไผ่” อำเภอบ้านไผ่ จังหวัดขอนแก่น หลังปรากฏภาพใส่เสื้อสีชมพูนั่งเคียงข้าง “สาวม.5” ประหนึ่งกำลังทำพิธีวิวาห์อย่างไรอย่างนั้น
เพราะถึงวันนี้ นพ.เปรมก็ยังเคยชี้แจงแถลงไขเลยว่า ภาพเคียงข้างสาว ม.5 ที่ปรากฏเป็นข่าวนั้น มีต้นสายปลายเหตุมาจากอะไรชัดๆ สักที
เพราะถึงวันนี้ นพ.เปรมศักดิ์ก็ยังไม่เคยตอบว่า ภาพเคียงข้างสาว ม.5ที่ปรากฏเป็นข่าวนั้นคือภาพการทำพิธีวิวาห์กับสาว ม.5 จริงหรือไม่ ถ้าไม่ใช่เป็นภาพของพิธีอะไรกันแน่
นพ.เปรมศักดิ์เอาแต่หัวเสียจับนักข่าวถอดเสื้อผ้าและบันทึกภาพเอาไว้ จากนั้นก็เดินหน้าปะฉะดะกับกลุ่มผู้สื่อข่าว ทั้งฟ้องร้อง ทั้งเรียกร้องเลยเถิดไปจนถึงให้มีการปฏิรูปสื่อโดยกล่าวหาว่าสื่อไปรับเงินจากนางระเบียบรัตน์ พงษ์พานิช จนมีการฟ้องร้องและดำเนินคดีกันวุ่นวายไปหมด
แต่ขณะเดียวกัน ก็ยิ่งมีข้อมูลและภาพที่ทำเรื่องชุลมุนชุลเกรัดคอพี่หมอเปรมหลุดออกมาเรื่อยๆ โดยเฉพาะเรื่อง “รักๆ ใคร่” ในทำนอง “น้อยๆ-หลวงๆ” รวมทั้งเรื่อง “ห้องพี่หมอเปรม” ที่ “โรงเรียนบ้านไผ่ศึกษา” และเป็นโรงเรียนอันเป็นสถานที่ที่ “สาว ม.5” ร่ำเรียน หนังสือ หนังหาอยู่ ซึ่งก็ต้องบอกว่าจี๊ดจ๊าดทะลุถึงหัวใจกันเลยทีเดียว
ซ้ำร้ายยังมี “ภาพสาว ม.5” รวมทั้ง “เจ้าของตัวจริง” ที่ไม่ได้ผ่านการเซ็นเซอร์ปรากฏออกมาในโลกโซเชียลให้ได้ล้วงแคะแกะเกาอีกต่างหาก
กระทั่งในที่สุดก็ได้มีความเคลื่อนไหวจากหลากหลายองค์กร หลายหน่วยงานและหลายบุคคลออกมาเรียกร้องให้ผู้มีอำนาจดำเนินการกับพี่หมอเปรม ไม่ว่าจะเป็น นายเดชคำรณ สิงห์คลีบุตร หรือ “ส.จ.จ่อย” ส.อบจ.บ้านไผ่ จ.ขอนแก่น เจ๊เบียบ-นางระเบียบรัตน์ พงษ์พานิช นายศรีสุวรรณ จรรยา เลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย เป็นต้น และโดยเฉพาะนายศรีสุวรรณที่ได้ยื่นหนังสือถึงบิ๊กตู่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้า คสช.ให้ใช้ ม.44 ปลดพี่หมอเปรมให้พ้นจากเก้าอี้เป็นการชั่วคราวจนกว่าคดีความจะสิ้นสุด
กล่าวสำหรับเรื่องราวของพี่หมอเปรม ภาค 2 อันเป็นภาคต่อของภาค 1 นั้นว่าเรื่องความห้าวเป้งของพี่หมอเปรมที่ทำปากดีด้วยการสรรเสริญเยินยอถึงวีรกรรมทางการเมืองในอดีตของตนเองผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว อ้างว่าเคยต่อสู้ขับเคี่ยวกับผู้ยิ่งใหญ่หลายคนในอดีต ทั้ง “ระบอบทักษิณ” (ว้าว) อดีต ผบ.ตร.คนหนึ่ง และ “เสธ.หนั่น” พล.ต.สนั่น ขจรประศาสตร์
“ผมก็กล้าแกร่งขึ้น เหมือนเป็นแมว 9 ชีวิต คราวนี้ก็เช่นกันครับ ผมขอให้ความเชื่อมั่นกับทุกท่านไว้ตรงนี้ ผมยืนหยัดสู้ไม่ถอย ไม่คิดหนีเหมือนที่โดนปล่อยข่าว”นพ.เปรมศักดิ์โพสต์ข้อความและยิงหมัดเด็ดด้วยว่า “ผมได้สลัดความกลัวนั้นทิ้งไปแล้วและยืนหยัดประกาศให้ทราบชัดทั่วกันว่า หมดเวลาแล้วที่เราจะหงออยู่ใต้อำนาจอธรรมของสื่อแล้วครับ และได้เวลานับหนึ่งใหม่แล้ว”
แหม! พี่หมอเปรมนี่ช่างสร้างเรื่องเพื่อเบี่ยงเบนสิ่งที่สังคมกระหายใคร่รู้ได้เก่งเสียจริงๆ
เรื่องราวยังอึมครึมเหมือนเดิม และไม่ได้มีคำอธิบายใดๆ ที่ชัดเจนออกมา ดังเช่นที่ น.ส.วันวิสา วัฒนาคมประทีป ชาวชุมชนสีหมอน เขตเทศบาลเมืองบ้านไผ่ แสดงความเห็นว่า คนในสังคมอยากให้ นพ.เปรมศักดิ์ออกมาชี้แจง ซึ่งหากแต่งงานจริงก็ยอมรับแบบลูกผู้ชาย หรือหากไม่ได้แต่งก็ปฏิเสธไป เรื่องก็จบโดยที่ไม่ต้องเคียดแค้นโกรธผู้สื่อข่าวที่ไปขอคำอธิบายถึงขั้นจับนักข่าวแก้ผ้าให้เรื่องบานปลายใหญ่โตจนทำให้เทศบาลเมืองบ้านไผ่และชาวบ้านเสื่อมเสียชื่อเสียงอย่างตอนนี้ ซึ่งหากยังคิดว่าเป็นผู้นำก็ควรที่จะออกมายอมรับแบบลูกผู้ชายและแสดงความรับผิดด้วยการลาออกจากตำแหน่งนายกเทศมนตรีเมืองบ้านไผ่
ส่วนตัว “สาว ม.5” คนนั้นก็เงียบกริบ ไม่รู้ไปอยู่แห่งหนตำบลไหน เพียงแต่มีข้อมูลในพื้นที่ยืนยันว่า หลังปรากฏเป็นข่าวครอบครัวของสาว ม.5 อายุ 17 ปีคนนั้นก็ได้ปิดบ้านเงียบตั้งแต่เกิดเรื่องได้ 2 วัน ซึ่งคาดว่าน่าจะไปอาศัยอยู่กับบ้านญาติพี่น้องนอกพื้นที่และไม่เป็นที่แน่ชัดว่า ได้ร่ำเรียนหนังสือ หรือไม่ อย่างไร
ขณะที่ น.ส.กัญจนา วรวงศ์ ชาวชุมชนสีหมอน เขตเทศบาลเมืองบ้านไผ่ กล่าวว่า มีลูกสาวเรียนที่โรงเรียน ข.ก.5บ้านไผ่ ซึ่งหลังจากมีข่าวอื้อฉาวได้สอบถามลูกสาวแล้ว ทราบว่า ขณะนี้นักเรียนทั้งโรงเรียนถูกห้ามพูดเรื่องนี้ แถมยังมีการออกเสียงตามสายพูดคุยถึงกระแสข่าวที่เกิดขึ้น โดยระบุว่า หากใครนำเรื่องไปพูดจะถูกฟ้องร้องดำเนินคดี
นอกจากนี้ยังมีข่าวด้วยว่า มีกลุ่มชายฉกรรจ์ลงพื้นที่พูดจำทำนองห้ามผู้นำชุมชนและชาวบ้านเปิดเผยข้อมูลต่างๆ ข่มขู่ทั้งกลางวันและกลางคืน ทำให้ชาวบ้านเกิดความหวาดกลัวเป็นอย่างมาก
แถมยังมีข้อมูลจากชาวบ้านที่อยู่หมู่บ้านเดียวกับเด็กสาว ม.5 ที่ตกเป็นข่าวตามมาแทงข้างหลังทะลุถึงหัวใจของพี่หมอเปรมอีกว่า หมอเปรมเป็นคนชอบเด็ก จะขอเบอร์โทรศัพท์ไว้และให้เบอร์ของตัวเองไป บอกว่ามีความเดือนร้อนอะไรให้โทร.หา แม้กระทั่งหลานสาวของตนเองที่เรียนอยู่ชั้น ม.6 ก็เคยถูกหมอเปรมขอเบอร์โทรศัพท์
เท็จจริงเป็นอย่างไรไม่ทราบได้ แต่มีข้อมูลทำนองนี้ปรากฏตามสื่อต่างๆ จริงๆ
สำหรับเรื่อง “ห้องพี่หมอเปรม” ดูเหมือนสาธารณชนจะให้ความสนใจไม่แพ้กันและมีรายละเอียดเปิดเผยออกมาเป็นจำนวนมาก ซึ่งก็คงต้องติดตามกันต่อไปว่า ข้อมูลที่ออกมานั้นมีข้อเท็จจริงเป็นอย่างไร
นายเดชคำรณ สิงห์คลีบุตร หรือ “ส.จ.จ่อย” ส.อบจ.บ้านไผ่ จ.ขอนแก่น ให้ข้อมูลว่า ชาวบ้านไผ่ต้องการเรียกร้องให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะ ป.ป.ช. และ กกต.เข้าตรวจสอบกรณีเงินจำนวน 100,000 บาท ที่ นพ.เปรมศักดิ์บอกว่านำไปบริจาคสร้างห้องภายในโรงเรียน ชื่อ “ห้องพี่หมอเปรม” เพื่อสอนเด็กนักเรียนว่าเงินจำนวนดังกล่าวเป็นเงินส่วนตัวหรือเป็นเงินราชการของเทศบาล ซึ่งหากเป็นเงินเทศบาลแล้วนำมาสร้างห้องในนามส่วนตัว พร้อมขึ้นป้ายหน้าห้องเป็นชื่อตัวเองนั้นถือว่าผิด
และหากเป็นเงินส่วนตัวแล้วนำมาสร้างห้องสอนหนังสือให้กับตัวเองนั้น ก็ต้องการทราบว่าเงินจำนวน 100,000 บาทสามารถบริจาคได้หรือไม่ บริจาคในช่วงเลือกตั้งหรือไม่ ซึ่งเจ้าหน้าที่ผู้เกี่ยวข้องจะต้องเข้าตรวจสอบ อีกทั้งหน่วยงานที่รับผิดชอบเรื่องเด็กก็ต้องเข้าตรวจสอบด้วย
นายเดชคำรณระบุอีกว่า สำหรับการสร้างห้องสอนหนังสือให้เด็กนักเรียนเพื่อถ่ายทอดประสบการณ์ความรู้ของ นพ.เปรมศักดิ์นั้น ก็ถือเป็นเรื่องที่ดีและน่ายกย่องเพราะทำคุณประโยชน์ให้สังคม แต่การไปสร้างห้องสอนหนังสือให้เด็กนักเรียนแล้วตอนหลังกลับมีภาพคล้ายการแต่งงานกับเด็กนักเรียนชั้น ม.5 ในโรงเรียนดังกล่าวนั้น ถือว่าไม่ถูกไม่ควร ผิดจริยธรรม และศีลธรรม ไม่ใช่คุณสมบัติของผู้นำ เพราะตัว นพ.เปรมศักดิ์เป็นถึงประธานคณะกรรมการสถานศึกษา และเป็นอาจารย์กับลูกศิษย์
“หมอเปรมต้องออกมาชี้แจงกับสังคมว่าเงินที่นำไปสร้างห้องพี่หมอเปรมนั้นมีที่มาที่ไปอย่างไร เพื่อสังคมจะได้หายสงสัย อย่าเบี่ยงเบนประเด็นโดยอ้างเรื่องการเมืองเข้ามาเกี่ยวข้องเพื่อให้ตัวเองดูดี และอย่าดึงคนภายนอกเข้ามาเกี่ยวด้วย เพราะปัญหาที่เกิดขึ้นแต่แรกเริ่มคือภาพแต่งงานกับเด็กนักเรียนชั้น ม.5 ว่าจริงหรือไม่ และทำไมต้องจับนักข่าวแก้ผ้า หมอเปรมต้องตอบเรื่องนี้ให้ชัด และต้องปฏิรูปตัวเองเสียก่อนค่อยไปวิ่งพล่านมั่วไปเรื่อยลามถึงการเรียกร้องให้ปฏิรูปสื่อ”
นายเดชคำรณแสดงความคิดเห็นและได้ยื่นหนังสือต่อผู้ว่าราชการจังหวัดขอนแก่นได้ตรวจสอบ 3 ประเด็นหลัก คือ 1.สอบถามพร้อมทั้งติดตามผลที่ให้ผู้รับผิดชอบทบทวนหรือระงับบทบาทการเป็นประธานกรรมการศึกษาโรงเรียนของ นพ.เปรมศักดิ์ 2.ขอให้จังหวัดได้มีคำสั่งระงับการปฏิบัติหน้าที่นายกเทศมนตรีเมืองบ้านไผ่ ตรวจสอบและเอาผิดเจ้าหน้าที่ของรัฐ และ 3.ปัญหาการปลดพนักงานเทศบาลเมืองบ้านไผ่ที่ไม่เป็นธรรม
ด้านนายศรีสุวรรณ จรรยา เลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทยและคณะ เข้ายื่นหนังสือถึง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคสช. เพื่อขอให้ใช้อำนาจตามมาตรา 44 รัฐธรรมนูญชั่วคราว 2557 ออกคำสั่งระงับการปฏิบัติหน้าที่ของ นพ.เปรมศักดิ์ ในระหว่างสอบสวนข้อเท็จจริงและดำเนินคดีจากการกระทำที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายและวินัยอย่างร้ายแรง ทั้งนี้ เนื่องจากนพ.เปรมศักดิ์ มีภรรยาเป็นอาจารย์ที่มหาวิทยาแห่งหนึ่งใน จ.ขอนแก่นและยังไม่ได้หย่าร้างกันตามกฎหมาย ฉะนั้นการที่นพ.เปรมศักดิ์ ทำพิธีหมั่นหมายหรือสู่ขอเยาวชนที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะนั้น เข้าข่ายกระทำความผิดวินัยอย่างร้ายแรง ในทำนองชู้สาว และผิดจริยธรรมอย่างรุนแรง และยังเข้าข่ายความผิดกรณีกักขังหน่วงเหนี่ยวผู้สื่อข่าวที่ไปปฏิบัติหน้าที่อีกด้วย
“จากการไปตรวจสอบสมาคมพบว่าเด็กสาวคนดังกล่าวได้ย้ายหนีไปแล้ว และหากยังอยู่ในตำแหน่งเกรงว่าอาจมีการบิดเบือนหรือทำลายพยานหลักฐานให้เสียหาย รวมถึงพยานบุคคลที่เกี่ยวข้องจะไม่ได้รับความเป็นธรรมและถูกโยกย้ายได้” นายศรีสุวรรณให้ข้อมูลกับสื่อมวลชน
อย่างไรก็ดี คงต้องติดตามเรื่องส่วนตัวกันต่อไปว่าข้อมูลของนายศรีสุวรรณนั้นจะมีผลตามมาอย่างไร เพราะงานนี้นายกฯ ลุงตู่ประกาศชัดว่า ถ้ามีหลักฐานก็ให้ดำเนินคดีไปตามขั้นตอนของกฎหมาย
ส่วนจะหย่าหรือ “ยังไม่หย่าค่ะ” ตามข้อมูลที่ปรากฏทางเฟซบุ๊กชื่อ “Orathai Panya” เมื่อวันที่ 26 ก.ค.ที่ผ่านมา เวลา 01.55 น. ก็ถือเป็น “เรื่องส่วนตัว” ตามที่พี่หมอเปรมบอก รวมทั้งเรื่อง “คนอื่นๆ” ที่มีข้อมูลออกมาก่อนหน้านี้อีก 2 ราย
แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ดูเหมือนว่า เรื่องนี้พี่หมอเปรมจะปิดปากเงียบและไม่ยอมเอ่ยปากถึงดังที่ให้สัมภาษณ์เอาไว้ชัดเจนเกี่ยวกับเรื่องภาพที่ปรากฏกับสาว ม.5 ว่า “ใช่เป็นผมเอง แต่ถือเป็นเรื่องส่วนตัว”
ทั้งนี้ พี่หมอเปรมระบุชัดว่า สิ่งที่เกิดขึ้นเป็นการใส่ร้ายป้ายสีให้ได้รับความเกลียดชัง พร้อมทั้งตระเวนยื่นหนังสือถึงหลายหน่วยงาน ไม่ว่าจะเป็น กสทช.และสำนักนายกรัฐมนตรี โดยเรียกร้องให้มีการปฏิรูปสื่อ ขณะเดียวกันระบุด้วยว่า เสียงวิพากษ์วิจารณ์ที่ออกมาจากคนในพื้นที่เป็นเรื่องของ “คู่แข่งทางการเมือง” ที่กำลังจะลงแข่งข้นเก้าอี้นายกเทศมนตรีเมืองบ้านไผ่ในสมัยหน้า ซึ่งตนเองจะหมดวาระในอีก 1 ปีกับอีก 5 เดือน
แถมในช่วงเช้าและช่วงเย็น พี่หมอเปรมยังใช้เสียงตามสายของเทศบาลเมืองบ้านไผ่ซึ่งปกติใช้แจกแจงผลงานมาโจมตีกลุ่มผู้สื่อข่าวแทน
โอ๊ย...แม่เจ้า ช่างร้ายเสียจริงๆ
เอาเป็นว่า สำหรับสาว ม.5 คนนั้น คงต้องรออีก 7 เดือนถึงจะเห็นดำเห็นแดง เพราะถ้าจะว่าไปแล้วก็เป็นเรื่องส่วนตั๊วส่วนตัวของพี่หมอเปรมจริงๆ แต่เผอิญเป็นเรื่องส่วนตัวที่คนเป็นนักการเมืองซึ่งเป็นบุคคลสาธารณะที่มีเรื่องของคุณธรรมและจริยธรรมเข้ามาเกี่ยวข้องแบบที่ต้องใช้คำว่า “เสียวว๊อย”
และทำเป็นเล่นไปสุดท้ายแล้ว พี่หมอเปรมอาจจะสามารถบริหารจัดการความรักของตนเองได้อย่างลงตัวเหมือนเช่นที่เคยทำได้ในอดีตก็เป็นได้ เพราะฉะนั้นใครที่เดาว่าจะเกิดเรื่องวุ่นๆ ก็อาจจะจบลงแบบแฮปปี้เอนดิ้งก็ได้ ใครจะไปรู้
เว้นแต่เรื่องจับนักข่าวแก้ผ้า ซึ่งก็ต้องว่ากันยาวตามกระบวนการทางกฎหมายต่อไป