ผู้จัดการสุดสัปดาห์ -ประกาศปลุก “ม็อบพระ” กันในฉับพลันเลยทีเดียวสำหรับ “พระเมธีธรรมาจารย์” หรือ “เจ้าคุณประสาร” ผู้สวม “จีวรแดง” จนเป็นที่รับรู้กันถึงจุดยืนทางการเมือง เมื่อ “กรมสอบสวนคดีพิเศษ” หรือ “ดีเอสไอ” ประกาศเปรี้ยงอย่างเป็นทางการว่า รถจดประกอบ ยี่ห้อ Mercedes-Benz รุ่น 300 บี ของ สมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ หรือ สมเด็จช่วง เจ้าอาวาสวัดปากน้ำ ภาษีเจริญ และรถยนต์โบราณ ยี่ห้อ PANTHER ของ พระครูปลัดสิทธิวัฒน์ หรือ หลวงพี่น้ำฝน เจ้าอาวาสวัดไผ่ล้อม นำเข้าผิดกฎหมาย มีความผิดฐานเลี่ยงภาษีอากร ตาม พ.ร.บ.ศุลการกร
แต่ก็อย่างว่าแหละ ดูเหมือนว่า ปฏิกิริยาโอเวอร์แอ็กชันจากเจ้าของสมญานาม “สารไม่ทิ้ง(สมเด็จ)ช่วง” จะเป็นเพียง “คำขู่” ที่ยังมองไม่เห็นเค้าลางว่า จะกลายเป็นความจริงได้หรือไม่ เพราะก่อนหน้านี้ก็เคยข่มขู่รัฐบาล คสช.มาแล้วรอบหนึ่ง แต่สุดท้ายก็ออกอาการถอดใจไปเสียดื้อๆ หลังโดนไม้แข็งเข้าไป
แถมเที่ยวนี้ “บิ๊กตู่-พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) ก็ประกาศดับฝันเจ้าคุณประสารและกองเชลียร์แบบไม่อ้อมค้อมชัดๆ (ซึ่งคงไม่มีอะไรชัดกว่านี้อีกแล้ว) ว่า ตราบใดที่คดีความของสมเด็จช่วงยังไม่จบ จะยังไม่มีการทูลเกล้าฯ เสนอรายชื่อให้มีการสถาปนาสมเด็จพระสังฆราชองค์ใหม่เกิดขึ้น
จะให้พูดก็พูดเถอะ ไม่รู้ว่า คดีรถเบนซ์จะจบลงเมื่อไหร่ด้วยซ้ำไป แล้วถ้าดีเอสไอมีการตั้งข้อกล่าวหา “สมเด็จช่วง” บวก “เจ้าคุณแป๊ะ” ซึ่งเป็นมือขวาในการทำงานเข้าให้ คดีความก็จะยิ่งพัลวันพัลเกหนักเข้าไปอีก
ทั้งนี้ ในการตั้งโต๊ะแถลงข่าวของดีเอสไอได้แจกแจงความผิดอย่างเป็นทางการว่า “มีการกระทำผิดกฎหมายทุกขั้นตอนจนมาถึงกระบวนการปลอมแปลงเอกสารในการจดทะเบียนกับกรมการขนส่ง โดยรถคันนี้จากการรวบรวมพยานหลักฐานต่างๆ ปรากฏว่าจริงแล้วราคา 4 ล้านบาท แต่มีการชำระภาษีสรรพสามิตในราคา 5.7 แสนบาท เท่ากับเป็นการชำระภาษีต่ำกว่าราคารถที่เป็นจริง ก่อนนำเอกสารไปขอจดทะเบียนรถกับกรมการขนส่งในราคา 1 ล้านบาท ซึ่งจำนวนเงินหายไป 3 ล้านบาท นอกจากนี้ ได้ดำเนินคดีและออกหมายจับผู้ที่เกี่ยวข้องบางส่วนไปบ้างแล้ว”
พร้อมย้ำด้วยว่า “หากเจ้าหน้าที่ได้รวบรวมพยานหลักฐานพบว่ามีประเด็นเกี่ยวข้องกับสมเด็จช่วงก็จะส่งหนังสือไปเชิญ”
แต่ก็อย่างว่าแหละ จะให้ “เจ้าคุณประสาร” นิ่งเฉยเลยผ่านโดยไม่ทำอะไรก็คงจะไม่ได้ ไหนๆ กับรับงานหัวหมู่ทะลวงฟันมาแล้ว ก็ต้องเดินหน้าต่อไปให้ถึงที่สุด ดังนั้น เมื่อวันที่ 26 กรกฎาคม จึงประกาศผ่านเฟซบุ๊กพระเมธีธรรมจารย์ในหัวข้อ “เข้าใจ ลุกขึ้นยืน สามัคคี” ปลุกระดมพระทั่วประเทศและทั่วโลกให้ลุกขึ้นมาเคียงข้างกับสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ที่ตนเองสนับสนุนให้เป็นสมเด็จพระสังฆราช
เจ้าคุณประสารเขียนข้อความลงในเฟซบุ๊ก โดยเชื่อมโยงให้เห็นว่า สารพัดปัญหาที่เกิดขึ้น เช่น เรื่องรถโบราณ เรื่องของ มส. เรื่อง พ.ร.บ.สงฆ์ เป็นต้น คือปัญหาใหญ่และเป็นปัญหาโดยรวมของคณะสงฆ์และพระพุทธศาสนา ซึ่งกำลังถูกย่ำยีอย่างไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ดังนั้น ถึงเวลาที่จะต้องทำกิจกรรมรร่วมกันเพื่อพิทักษ์ปกป้องคณะสงฆ์และพระพุทธศาสนา ทำทั้งในระดับชุมชน ท้องถิ่นและระดับชาติ
เป็นการปลุกระดมที่อาศัยตรรกะความเชื่อมโยงที่ตลกสิ้นดี เพราะปัญหาที่เกิดขึ้นมิใช่เรื่องการกระทำความผิดในระดับ “ปัจเจกบุคคล” ที่ไม่ได้เกี่ยวกับเรื่องการพิทักษ์พระพุทธศาสนาแต่ประการใด
แต่ถ้าจะว่าไปแล้ว การเคลื่อนไหวของเจ้าคุณประสารเข้าทำนอง “ปากกล้าขาสั่น” เพราะส่วนลึกของหัวใจก็ยังหวั่นๆ ว่า การปลุกม็อบพระออกมาชุมนุมจะกลายเป็นเงื่อนไขที่ทำให้รัฐบาลสามารถ “จับสึก” ได้อย่างชอบธรรม เพราะนอกจากจะขัดกับคำสั่ง คสช.แล้ว ขณะนี้ยังเป็นช่วงการทำประชามติรับร่างรัฐธรรมนูญอีกต่างหาก
ซ้ำร้ายถ้าเกิดม็อบพระขึ้นมาจริงๆ แล้วจะไปบริหารจัดการอย่างไร ไปชุมนุมกันที่ไหน ไปที่พุทธมณฑลซึ่งเคยเกิดกรณีล็อกคอทหารมาแล้วเช่นนั้นหรือ แล้วจะชุมนุมกันอย่างไร จะพักค้างอ้างแรมนอกวัดก็คงไม่ได้เนื่องจากเป็นช่วง “เข้าพรรษา”
แต่ช้าก่อน..อย่าเพิ่งไว้วางใจ
เพราะฉับพลันที่เจ้าคุณประสารโพสต์ปลุกระดมและปรากฏเป็นข่าว ในสื่อโซเชียลออนไลน์ ดูเหมือนว่า “ชาวธรรมกาย” จะเด้งรับความเคลื่อนไหวของเจ้าคุณประสารแบบมีนัยสำคัญไม่น้อย โดยถ้อยคำสำคัญที่ถูกนำมาใช้ในการปลุกระดมก็คือ “ปกป้องพระพุทธศาสนา ด้วยการอย่าให้ใครมาใส่รายพระภิกษุสงฆ์” หรือ “ชาวพุทธรวมใจเป็นหนึ่ง ปกป้องพระพุทธศาสนา”
พร้อมอธิบายขยายความเอาไว้ว่า “เขาใช้วิธีทุบที่ยอดเจดีย์ ใส่ร้ายว่าที่พระสังฆราช ขณะเดียวกันก็ลุยยึดวัดป่าต่างๆ และทำลายวัดพระธรรมกาย ซึ่งเป็นองค์กรพุทธที่เข้มแข็งที่สุด...แผนการทำลายล้างพุทธเกิดขึ้นแล้ว”
ทำไปทำมาผูกโยงคดีความเครื่องรถหนีภาษี คดีฟอกเงินรับของโจร ไปเข้ากับการปกป้องพระพุทธศาสนาเสียอย่างนั้น...ไม่ธรรมดาจริงๆ
นอกจากนี้ ก็ยังมี “องค์กรพระ” อีก 2 องค์กรที่ลุกขึ้นมาร่วมด้วยช่วยกันคือ สมัชชาพระนิสิตพิทักษ์กิจการพระพุทธศาสนาภาคตะวันออกเฉียงเหนือ นำโดย พระมหาศิริศักดิ์ สิริวุฑฺฒิปญฺญาเมธี และเครือข่ายองค์กรพระสงฆ์รุ่นใหม่ นำโดยพระครูกาญจนกิจจารักษ์
ส่วนกรณี “เพ่น้ำฝน” พระครูปลัดสิทธิวัฒน์ ผู้มีรสนิยมเดียวกันก็ขนทนายความตั้งโต๊ะแถลงข่าวยืนยันความบริสุทธิ์หลังเข้ารับรางวัลในการสนับสนุนการศึกษาบาลีจากมือสมเด็จช่วง ก็เป็นแค่เพียงเสียงนกเสียงกาที่หาสาระอะไรไม่ได้ เนื่องจากความผิดที่ดีเอสไอแจกแจงไว้นั้นชัดแจ้งแดงแจ๋อยู่แล้วว่า “ผิดกฎหมาย”
“รถคันดังกล่าวซื้อมาทั้งคันจากประเทศสหรัฐอเมริกาแต่ได้แยกชิ้นส่วนเข้ามาประเทศไทย มีการปลอมลายมือชื่อผู้อื่น พร้อมมาสำแดงการนำเข้าโครงรถยนต์เป็นยี่ห้อ แพนเธอร์ ส่วนเครื่องยนต์เป็นยี่ห้อ จากัวร์ หมายเลขตัวรถ 731 หมายเลขเครื่องยนต์ 8L 66240-L”พ.ต.อ.ไพสิฐ วงศ์เมือง อธิบดีดีเอสไอ สรุป
ถ้ายังไม่ชัดก็ฟังคำขยายความของ พ.ต.ท.กรวัชร์ ปานประภากร ผบ.สำนักปฏิบัติการคดีพิเศษภาค อีกหนึ่งคำรบ
“จดทะเบียนทั้งคันที่ประเทศสหรัฐอเมริกาเป็นยี่ห้อแพนเธอร์แต่เกิดมีการเปลี่ยนทะเบียนขึ้นและ หลวงพี่น้ำฝน ได้ซื้อรถต่อจากคนไทยในประเทศสหรัฐอเมริกา ก่อนแยกชิ้นส่วนตัวถังกับเครื่องยนต์ส่งมาทางเรือเข้ามายังประเทศไทยและจดทะเบียนเป็นยี่ห้อจากัวร์ จนกระทั่งมาสำแดงเอกสารปรากฏชื่อ นายชรินทร ปถคามินทร์ เป็นผู้นำเข้าโครงตัวถังแต่จากการให้ปากคำเจ้าตัวบอกว่าถูกปลอมเอกสารลายมือชื่อทั้งหมด ซึ่งขณะนี้ยังอยู่ระหว่างถูกดำเนินคดีอยู่ในเรือนจำ จ.นครปฐม ส่วน หลวงพี่น้ำฝน มีชื่อเป็นผู้นำเข้าเครื่องยนต์เอง ก่อนได้มีการประกอบรถยนต์คันที่มีปัญหาดังกล่าวขึ้นมา นอกจากนี้ ได้สอบปากคำผู้ครอบครองรถยนต์คันนี้ที่ประเทศสหรัฐอเมริกาด้วยตัวเอง พบว่ากระบวนการลักษณะอย่างนี้เป็นการหลีกเลี่ยงภาษีเพื่อชำระเงินในราคาที่ถูกลง อย่างไรก็ตาม ยังไม่ได้มีการแจ้งข้อกล่าวเพียงแต่รวบรวมพยานหลักฐานในส่วนที่เกี่ยวข้องให้สมบูรณ์ก่อน คาดว่าใช้เวลาอีกสักระยะ”
ฟังแล้วก็เสียวแทนเพ่น้ำฝนจริงๆ ว่างานนี้จีวรจะบินเสียก็ไม่รู้
แต่ถามว่า มีความเป็นไปได้ไหมว่าเพ่น้ำฝนแกจะเกิดความคับแค้นใจ ขนาดหนักแล้วไป ปรึกษากับ “ลูกพี่เก่า” ที่เคยทำงานรับใช้ในอดีต(ปัจจุบันก็ยังรับใช้) แล้วประสานพลังขับเคลื่อนในทางการเมือง เพราะลูกเพ่เก่าเขาก็ไม่ธรรมดาและมีความสนิทสนมกับนักโทษชายหนีคดี
กระนั้นก็ดี ถ้าจะว่าไปแล้ว “ลูกพี่เก่า” เองก็ดูท่าจะเอาตัวไม่รอด เพราะก่อนหน้านี้มี “ปฏิบัติการพิเศษ” บุกค้นบ้านมาแล้วหลายต่อหลายรอบ นั่นแสดงว่า ทั้งตำรวจและทหารได้รับคำสั่งให้มีการจับตาอย่างใกล้ชิด ชนิดที่เชื่อได้ว่า กระดิกกระเดี้ยอะไรได้ไม่มากนัก
แต่ที่เด็ดสะระตี่ก็คือ หลายคนอาจยังไม่รู้ก็คือ เพ่น้ำฝนก่อนบวชนั้นไม่ ธรรมดา เนื่องจากก่อนจะมาอยู่ “สายสะสมทรัพย์” เพ่น้ำฝนแกเคยอยู่ “สาย ป.ประตูน้ำ” ที่เพลานี้ติดคุกไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
ดังนั้น ก็ไม่รู้ว่า “3 องครักษ์” อย่าง “เจ้าคุณประสาร เพ่น้ำฝนและ เครือข่ายวัดพระธรรมกาย” จะผนึกกำลังกันปกป้องสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์อย่างไร เพราะดูทรงแล้ว ไม่ใช่เรื่องง่าย
ยิ่งเมื่อฟังคำของ พล.อ.ประยุทธ์เกี่ยวกับการสถาปนาสมเด็จพระสังฆราชว่า “ขั้นตอนของผมก็คือต้องเคลียร์ข้อกล่าวหาให้ได้ก่อน ข้อกล่าวหาต่างๆ ที่มีอยู่ในขณะนี้ยังไม่ได้บอกเลยว่าผิดหรือถูก ถ้าคิดว่าถูกก็มาสู้คดี นำหลักฐานมาชี้แจงให้ได้ก็จบ ผมเคารพพระสงฆ์ทุกองค์ ไม่ได้เลือกข้างใครอยู่แล้ว” ก็ชัดเจนนะจ๊ะว่า ยาวไป...ยาวไป...
แต่ถ้าจะให้ฟันธง ก็ต้องบอกว่า “วืด1000%”