“สอดแนมการเมือง”
โดย “ชัชวาลย์ ชาติสุทธิชัย”
วันสำคัญทางพุทธศาสนา “อาสาฬหบูชา” และ “เข้าพรรษา” เพิ่งผ่านพ้นไป...
วันอาสาฬหบูชา คือวันที่พระพุทธเจ้าได้ทรงประกาศ พระพุทธศาสนาเป็นครั้งแรก หลังตรัสรู้ได้ 2 เดือน โดยได้แสดงปฐมเทศนาโปรดปัญจวัคคีย์ทั้ง 5 ได้แก่ โกณฑัญญะ วัปปะ ภัททิยะ มหานามะ และอัสสชิ ที่ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน เมืองพาราณสี จนพระอัญญาโกณฑัญญะ ได้บรรลุธรรมและขอบวชเป็นพระภิกษุรูปแรก จึงถือว่าวันนี้มีพระรัตนตรัยครบองค์สามบริบูรณ์ครั้งแรก คือ มีทั้งพระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์ ซึ่งเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นก่อนพุทธศักราช 45 ปี
วันเข้าพรรษา ถือเป็นช่วงเทศกาลทางพุทธศาสนาที่สำคัญในประเทศไทย มีระยะเวลาประมาณ 3 เดือนในช่วงฤดูฝน พระพุทธเจ้าทรงให้จำพรรษาอยู่ ณ ที่ใดที่หนึ่ง เพื่อให้พระสงฆ์ได้หยุดพักจากการจาริกไปตามสถานที่ต่าง ๆ เพื่อเผยแผ่ศาสนา ซึ่งจะเป็นไปด้วยความยากลำบากในช่วงฤดูฝน และเพื่อป้องกันความเสียหายจากการอาจเดินเหยียบย่ำธัญพืชของชาวบ้าน และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ช่วงเวลาจำพรรษาตลอด 3 เดือนนั้น เป็นช่วงสำคัญในรอบปี ที่พระสงฆ์ได้มาจำพรรษารวมกันภายในอาวาสหรือสถานที่ใดสถานที่หนึ่ง เพื่อศึกษาพระธรรมวินัยจากพระสงฆ์ที่ทรงความรู้ ได้แลกเปลี่ยนประสบการณ์และสร้างความสามัคคีในหมู่คณะ
พระพุทธเจ้าตรัสว่า หน้าที่ภายหลังการตรัสรู้ของพระองค์ คือการเผยแผ่และปฏิบัติธรรม!
แต่พระสงฆ์ใหญ่น้อยจำนวนมิใช่น้อย ของชาติไทยในยุคนี้ กลับนำคำสอนของพระพุทธเจ้าไปบิดเบือน เพื่อกอบโกยลาภ-ยศ-เงินทองอย่างสามานย์ โดยเฉพาะบรรดาอลัชชี ที่แฝงตัวเข้ามาสิงอยู่ในวงการสงฆ์ ด้วย “มหาเถรฯ” ที่มีหน้าที่ปกครองคณะสงฆ์ ปล่อยปละละเลยจนไร้ประสิทธิภาพ ไม่ใส่ใจในหน้าที่ปกป้องพุทธศาสนาเท่าที่ควร จึงมิได้ชี้ชัดว่าคำสอนใดผิดต่อคำสอนขององค์พระศาสดา อีกทั้งมิได้ลงโทษอย่างเด็ดขาดจริงจัง กับพระที่มีวัตรปฏิบัติไม่ถูกต้อง รวมทั้งบรรดาอลัชชีหรือพระปลอม ที่มีอย่างกลาดเกลื่อนในสังคมไทย
เมื่อ “มหาเถรฯ” ปกครองแบบอ่อนแอและคลุมเครือ แถม “พระเถรฯบางองค์” ไม่เป็นตัวอย่างอันดีงาม และยังมีวัตรปฏิบัติที่มิชอบ กระทำผิดเสียเองอีกด้วย จึงเป็นเรื่องธรรมดาที่จะเกิดสิ่งไม่ดีงามมากมายขึ้นในวงการสงฆ์ เพราะ “คนชั่ว” ในคราบ “อลัชชี” หรือ “พระปลอม” พากันอาศัยพระศาสนาบังหน้า เป็นช่องทางทำมาหากินต้มตุ๋นชาวพุทธ ด้วยคำสอน “พุทธปลอม” ไปทั่วทุกหัวระแหง
ช่วงพุทธกาลเคยเกิดเหตุ “ศิษย์คิดล้างครูบาอาจารย์” ทั้งบิดเบือนคำสอนและลงมือเข่นฆ่าพระพุทธเจ้า แต่ไม่สำเร็จ จนมารศาสนาที่เป็น “ศิษย์อลัชชี” นาม “เทวทัต” ถูกธรณีสูบลงขุมนรก!
แต่ “อลัชชีโยเย” ยุคดิจิตอลในชาติไทยฉลาดกว่า “อลัชชีเทวทัต” เพราะนอกจากไม่คิดจะ “ล้มล้างครูบาอาจารย์” แล้ว ยังใช้ “ครูบาอาจารย์” มาเสริมส่งการต้มตุ๋นเงินทองของชาวพุทธ กอบโกยเงินทองนับหมื่นนับแสนล้านบาท และยังตั้งขบวนการผลักดัน ให้ “ครูบาอาจารย์” ที่อยู่ภายใต้อิทธิพลของตน ได้ขึ้นเป็นใหญ่ใน “รัฐบาลสงฆ์” เพื่อยึดอำนาจ “ศาสนจักร” มาไว้ในกำมือด้วย
หลักคำสอนของพระพุทธเจ้านั้น ทรงสอนให้คนทำดีไม่ทำชั่ว ให้คนทำเรื่องถูกไม่ทำเรื่องผิด และคนทำดีต้องได้ดี-คนทำชั่วต้องได้ชั่ว เพราะทั้งนรกกับสวรรค์ล้วนอยู่ในอกคนเรานี่แหละ! ที่สำคัญทรงสอนให้เอาชนะใจตนเอง เพื่อเอาชนะกิเลสทั้งปวงให้ได้!
คนธรรมดา-ยังต้องพยายามปฏิบัติตามคำสอนให้ได้ พระสงฆ์ใหญ่น้อย-ยิ่งต้องทำให้ได้เหนือปุถุชนทั้งปวง..จริงไหมล่ะ?
พระพุทธเจ้าจึงทรงบัญญัติ ให้พระสงฆ์ต้องปฏิบัติตามพระธรรมวินัย 227 ข้อ อย่างเคร่งครัด!
ในยุคทุนสามานย์ครองชาติ ซึ่งเต็มไปด้วยกิเลสตัณหาสารพัดรูปแบบ ได้ทำให้ผู้คนในสังคมตกต่ำลงทั้งทางด้าน คุณธรรม-จริยธรรม-ศีลธรรม-ความซื่อสัตย์สุจริต ฯลฯ นอกจากพระสงฆ์ต้องปฏิบัติตามพระธรรมวินัย 227 ข้อแล้ว ยังต้องปฏิบัติตาม พ.ร.บ.คณะสงฆ์ และตามกฎหมายของชาติบ้านเมืองอีกด้วย เพื่อเป็นแบบอย่างในการนำชาวพุทธสู่หนทางอันดีงาม
แต่สังคมยุคทุนสามานย์อันโหดร้าย มีแต่การยึดถือผลประโยชน์ตนและพวกพ้องเป็นที่ตั้ง ยึดกำไรสูงสุดเป็นสรณะ ผู้ด้อยโอกาสที่เป็นคนส่วนใหญ่ จึงถูกทำร้ายด้วยนโยบาย “มือใครยาวสาวได้สาวเอา” หรือ “ปลาใหญ่เขมือบปลาเล็ก” ได้อย่างเสรี โดยไม่มีความเอื้ออาทรใดๆทั้งสิ้น
ชาติไทยจึงกลายเป็น “สังคมคนกินคน” เกิดความเหลื่อมล้ำ ระหว่างคนรวยที่เป็นคนส่วนน้อย กับคนจนที่เป็นคนส่วนใหญ่ ช่องว่างนี้ถ่างกว้างขึ้นเรื่อยๆ จนเป็นอันตรายต่อความมั่นคง ต่อชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และประชาชนส่วนใหญ่
เพราะคนรวยก็รวยเอาๆ โดยไม่มีที่สิ้นสุด ขณะที่คนจนก็จนลงๆไม่มีที่สิ้นสุดเช่นกัน ทั้งนี้..เพราะชาติไทยยังไร้ “ผู้นำชาติ ”และ “รัฐบาล” ที่เข้าใจต้นเหตุปัญหาอย่างแท้จริง และแก้ต้นเหตุปัญหาให้กับประชาชนคนส่วนใหญ่ ด้วยความจริงใจ-จริงจังนั่นเอง
สังคมที่ตกต่ำไร้คุณธรรม จริยธรรม ศีลธรรม ฯลฯ ส่งผลในทางลบต่อผู้คน ใน วิชาชีพต่างๆ ของชาติไทย นั่นคือ ได้ทำให้นักการเมือง-ข้าราชการ-ตำรวจ ฯลฯ ส่วนหนึ่งเป็นคนชั่วช้าสามานย์ ทำให้ชาติไทยต้องเผชิญความเสียหายอย่างใหญ่หลวง เพราะ...
มีกลุ่มนักการเมือง-ที่ไม่ดี-ด้อยคุณภาพ-ไร้ความซื่อสัตย์สุจริต ไม่ว่าจะอยู่ในฐานะเป็นรัฐบาลบริหารชาติหรือเป็นฝ่ายค้าน จึงมิได้ร่วมกันสร้างชาติให้เจริญรุ่งเรือง และทำให้ประชาชนส่วนใหญ่มีคุณภาพชีวิตที่ดีได้มาตรฐาน แต่กลับทำให้ชาติและประชาชนจมปลักอยู่ในวิกฤติชั่วร้ายมาตลอด
มีกลุ่มข้าราชการ-ที่มิได้เป็นข้าฯของแผ่นดิน มิได้ยึดถือผลประโยชน์ชาติและประชาชนเป็นที่ตั้ง แต่กลับไปร่วมกับนักการเมือง-พ่อค้า ฯลฯ สมคบกันคอร์รัปชั่นโกงบ้านเมือง จนชาติและประชาชนเดือดร้อนไปทั่วทุกหย่อมหญ้าดังเช่นทุกวันนี้
มีกลุ่มตำรวจและอัยการ-ที่ไม่ได้ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์สุจริต ในการพิทักษ์ปกป้องคนดีและลงโทษคนชั่วอย่างตรงไปตรงมา เพื่อทำให้ความยุติธรรม “ต้นน้ำ” และ “กลางน้ำ” บูรณาการไปสู่ “ปลายน้ำ” หรือศาลฯได้อย่างเที่ยงธรรม
มีกลุ่มพระสงฆ์-ใหญ่น้อยจำนวนหนึ่งใน “ศาสนจักร” ที่มิได้คิดและมีวัตรปฏิบัติที่ดี อีกทั้งไร้ซึ่งคุณธรรม ศีลธรรม จริยธรรม ไร้ความซื่อสัตย์สุจริต โป้ปดมดเท็จเป็นนิจ กล่าวได้ว่า..มีพระสงฆ์ใหญ่น้อยกลุ่มหนึ่งมิใช่พระสงฆ์อีกต่อไปแล้ว ซ้ำร้ายยังกระทำตัวเป็น “มารศาสนา” เสียอีก!
พระสงฆ์ที่ดีขององค์พระศาสดา..จิตต้องเหนือกิเลสทั้งปวง..หรือเป็น “คนเหนือคน”! ถ้าปฏิบัติตามพระธรรมวินัย 227 ข้อไม่ได้-ไม่ใช่พระ! ถ้าปฏิบัติตาม พรบ.คณะสงฆ์ไม่ได้-ไม่ใช่พระ! ถ้าปฏิบัติตามกฎหมายบ้านเมืองไม่ได้-ไม่ใช่พระ!
“อลัชชีโยเย” มิได้ปฏิบัติตามกติกาข้างต้น แต่ทำไม “เด็จช่วง” กับ “มหาเถรฯ” ทั้งหลาย ที่มีหน้าที่ปกครองพระสงฆ์ใน “ศาสนจักร” ยังปล่อยให้ “พระปลอมโยเย” แต่งกายเลียนแบบสงฆ์ และใช้คำสอน “พุทธปลอม” หลอกลวงต้มตุ๋นเงินทองชาวพุทธ อย่างต่อเนื่องยาวนานมาจนทุกวันนี้?
ทุนสามานย์ได้ทำลายผู้คนในสังคม ให้ตกต่ำลงทางด้านคุณงามความดี ฯลฯ จนก่อเกิดกลุ่มคนชั่วจำนวนหนึ่ง ในคราบพระสงฆ์ทั้งใหญ่น้อย นายกรัฐมนตรี คณะรัฐมนตรี ข้าราชการ รวมทั้งพ่อค้านักธุรกิจ สามานย์ ที่ไร้ความรับผิดชอบต่อชาติและประชาชน และละทิ้งการปฏิบัติตามพระราชดำรัสอันทรงคุณค่ายิ่ง ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่ว่า
“ปฏิบัติหน้าที่ของตนให้เต็มกำลัง ด้วยสติรู้ตัว ด้วยปัญญารู้คิด และด้วยความสุจริตจริงใจ โดยเห็นแก่ประโยชน์ส่วนรวมยิ่งกว่าส่วนอื่น”
ยามใดที่อำนาจอยู่ในกำมือ “พระบิ๊กเบิ้มจำนวนหนึ่ง” ที่ไม่ปฏิบัติหน้าที่ดีงามเพื่อ “ศาสนจักร”!
ยามใดที่อำนาจอยู่ในกำมือ “ฆราวาสบิ๊กเบิ้มจำนวนหนึ่ง” ที่ไม่ปฏิบัติหน้าที่ดีงามเพื่อ “อาณาจักร”!
“ศาสนจักร” และ “อาณาจักร” จึงไร้ธรรมนำหน้า และจะเกิดผลเสียหายใหญ่หลวงอย่างแน่นอน! ไม่ช้าก็เร็ว..!!
โดย “ชัชวาลย์ ชาติสุทธิชัย”
วันสำคัญทางพุทธศาสนา “อาสาฬหบูชา” และ “เข้าพรรษา” เพิ่งผ่านพ้นไป...
วันอาสาฬหบูชา คือวันที่พระพุทธเจ้าได้ทรงประกาศ พระพุทธศาสนาเป็นครั้งแรก หลังตรัสรู้ได้ 2 เดือน โดยได้แสดงปฐมเทศนาโปรดปัญจวัคคีย์ทั้ง 5 ได้แก่ โกณฑัญญะ วัปปะ ภัททิยะ มหานามะ และอัสสชิ ที่ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน เมืองพาราณสี จนพระอัญญาโกณฑัญญะ ได้บรรลุธรรมและขอบวชเป็นพระภิกษุรูปแรก จึงถือว่าวันนี้มีพระรัตนตรัยครบองค์สามบริบูรณ์ครั้งแรก คือ มีทั้งพระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์ ซึ่งเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นก่อนพุทธศักราช 45 ปี
วันเข้าพรรษา ถือเป็นช่วงเทศกาลทางพุทธศาสนาที่สำคัญในประเทศไทย มีระยะเวลาประมาณ 3 เดือนในช่วงฤดูฝน พระพุทธเจ้าทรงให้จำพรรษาอยู่ ณ ที่ใดที่หนึ่ง เพื่อให้พระสงฆ์ได้หยุดพักจากการจาริกไปตามสถานที่ต่าง ๆ เพื่อเผยแผ่ศาสนา ซึ่งจะเป็นไปด้วยความยากลำบากในช่วงฤดูฝน และเพื่อป้องกันความเสียหายจากการอาจเดินเหยียบย่ำธัญพืชของชาวบ้าน และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ช่วงเวลาจำพรรษาตลอด 3 เดือนนั้น เป็นช่วงสำคัญในรอบปี ที่พระสงฆ์ได้มาจำพรรษารวมกันภายในอาวาสหรือสถานที่ใดสถานที่หนึ่ง เพื่อศึกษาพระธรรมวินัยจากพระสงฆ์ที่ทรงความรู้ ได้แลกเปลี่ยนประสบการณ์และสร้างความสามัคคีในหมู่คณะ
พระพุทธเจ้าตรัสว่า หน้าที่ภายหลังการตรัสรู้ของพระองค์ คือการเผยแผ่และปฏิบัติธรรม!
แต่พระสงฆ์ใหญ่น้อยจำนวนมิใช่น้อย ของชาติไทยในยุคนี้ กลับนำคำสอนของพระพุทธเจ้าไปบิดเบือน เพื่อกอบโกยลาภ-ยศ-เงินทองอย่างสามานย์ โดยเฉพาะบรรดาอลัชชี ที่แฝงตัวเข้ามาสิงอยู่ในวงการสงฆ์ ด้วย “มหาเถรฯ” ที่มีหน้าที่ปกครองคณะสงฆ์ ปล่อยปละละเลยจนไร้ประสิทธิภาพ ไม่ใส่ใจในหน้าที่ปกป้องพุทธศาสนาเท่าที่ควร จึงมิได้ชี้ชัดว่าคำสอนใดผิดต่อคำสอนขององค์พระศาสดา อีกทั้งมิได้ลงโทษอย่างเด็ดขาดจริงจัง กับพระที่มีวัตรปฏิบัติไม่ถูกต้อง รวมทั้งบรรดาอลัชชีหรือพระปลอม ที่มีอย่างกลาดเกลื่อนในสังคมไทย
เมื่อ “มหาเถรฯ” ปกครองแบบอ่อนแอและคลุมเครือ แถม “พระเถรฯบางองค์” ไม่เป็นตัวอย่างอันดีงาม และยังมีวัตรปฏิบัติที่มิชอบ กระทำผิดเสียเองอีกด้วย จึงเป็นเรื่องธรรมดาที่จะเกิดสิ่งไม่ดีงามมากมายขึ้นในวงการสงฆ์ เพราะ “คนชั่ว” ในคราบ “อลัชชี” หรือ “พระปลอม” พากันอาศัยพระศาสนาบังหน้า เป็นช่องทางทำมาหากินต้มตุ๋นชาวพุทธ ด้วยคำสอน “พุทธปลอม” ไปทั่วทุกหัวระแหง
ช่วงพุทธกาลเคยเกิดเหตุ “ศิษย์คิดล้างครูบาอาจารย์” ทั้งบิดเบือนคำสอนและลงมือเข่นฆ่าพระพุทธเจ้า แต่ไม่สำเร็จ จนมารศาสนาที่เป็น “ศิษย์อลัชชี” นาม “เทวทัต” ถูกธรณีสูบลงขุมนรก!
แต่ “อลัชชีโยเย” ยุคดิจิตอลในชาติไทยฉลาดกว่า “อลัชชีเทวทัต” เพราะนอกจากไม่คิดจะ “ล้มล้างครูบาอาจารย์” แล้ว ยังใช้ “ครูบาอาจารย์” มาเสริมส่งการต้มตุ๋นเงินทองของชาวพุทธ กอบโกยเงินทองนับหมื่นนับแสนล้านบาท และยังตั้งขบวนการผลักดัน ให้ “ครูบาอาจารย์” ที่อยู่ภายใต้อิทธิพลของตน ได้ขึ้นเป็นใหญ่ใน “รัฐบาลสงฆ์” เพื่อยึดอำนาจ “ศาสนจักร” มาไว้ในกำมือด้วย
หลักคำสอนของพระพุทธเจ้านั้น ทรงสอนให้คนทำดีไม่ทำชั่ว ให้คนทำเรื่องถูกไม่ทำเรื่องผิด และคนทำดีต้องได้ดี-คนทำชั่วต้องได้ชั่ว เพราะทั้งนรกกับสวรรค์ล้วนอยู่ในอกคนเรานี่แหละ! ที่สำคัญทรงสอนให้เอาชนะใจตนเอง เพื่อเอาชนะกิเลสทั้งปวงให้ได้!
คนธรรมดา-ยังต้องพยายามปฏิบัติตามคำสอนให้ได้ พระสงฆ์ใหญ่น้อย-ยิ่งต้องทำให้ได้เหนือปุถุชนทั้งปวง..จริงไหมล่ะ?
พระพุทธเจ้าจึงทรงบัญญัติ ให้พระสงฆ์ต้องปฏิบัติตามพระธรรมวินัย 227 ข้อ อย่างเคร่งครัด!
ในยุคทุนสามานย์ครองชาติ ซึ่งเต็มไปด้วยกิเลสตัณหาสารพัดรูปแบบ ได้ทำให้ผู้คนในสังคมตกต่ำลงทั้งทางด้าน คุณธรรม-จริยธรรม-ศีลธรรม-ความซื่อสัตย์สุจริต ฯลฯ นอกจากพระสงฆ์ต้องปฏิบัติตามพระธรรมวินัย 227 ข้อแล้ว ยังต้องปฏิบัติตาม พ.ร.บ.คณะสงฆ์ และตามกฎหมายของชาติบ้านเมืองอีกด้วย เพื่อเป็นแบบอย่างในการนำชาวพุทธสู่หนทางอันดีงาม
แต่สังคมยุคทุนสามานย์อันโหดร้าย มีแต่การยึดถือผลประโยชน์ตนและพวกพ้องเป็นที่ตั้ง ยึดกำไรสูงสุดเป็นสรณะ ผู้ด้อยโอกาสที่เป็นคนส่วนใหญ่ จึงถูกทำร้ายด้วยนโยบาย “มือใครยาวสาวได้สาวเอา” หรือ “ปลาใหญ่เขมือบปลาเล็ก” ได้อย่างเสรี โดยไม่มีความเอื้ออาทรใดๆทั้งสิ้น
ชาติไทยจึงกลายเป็น “สังคมคนกินคน” เกิดความเหลื่อมล้ำ ระหว่างคนรวยที่เป็นคนส่วนน้อย กับคนจนที่เป็นคนส่วนใหญ่ ช่องว่างนี้ถ่างกว้างขึ้นเรื่อยๆ จนเป็นอันตรายต่อความมั่นคง ต่อชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และประชาชนส่วนใหญ่
เพราะคนรวยก็รวยเอาๆ โดยไม่มีที่สิ้นสุด ขณะที่คนจนก็จนลงๆไม่มีที่สิ้นสุดเช่นกัน ทั้งนี้..เพราะชาติไทยยังไร้ “ผู้นำชาติ ”และ “รัฐบาล” ที่เข้าใจต้นเหตุปัญหาอย่างแท้จริง และแก้ต้นเหตุปัญหาให้กับประชาชนคนส่วนใหญ่ ด้วยความจริงใจ-จริงจังนั่นเอง
สังคมที่ตกต่ำไร้คุณธรรม จริยธรรม ศีลธรรม ฯลฯ ส่งผลในทางลบต่อผู้คน ใน วิชาชีพต่างๆ ของชาติไทย นั่นคือ ได้ทำให้นักการเมือง-ข้าราชการ-ตำรวจ ฯลฯ ส่วนหนึ่งเป็นคนชั่วช้าสามานย์ ทำให้ชาติไทยต้องเผชิญความเสียหายอย่างใหญ่หลวง เพราะ...
มีกลุ่มนักการเมือง-ที่ไม่ดี-ด้อยคุณภาพ-ไร้ความซื่อสัตย์สุจริต ไม่ว่าจะอยู่ในฐานะเป็นรัฐบาลบริหารชาติหรือเป็นฝ่ายค้าน จึงมิได้ร่วมกันสร้างชาติให้เจริญรุ่งเรือง และทำให้ประชาชนส่วนใหญ่มีคุณภาพชีวิตที่ดีได้มาตรฐาน แต่กลับทำให้ชาติและประชาชนจมปลักอยู่ในวิกฤติชั่วร้ายมาตลอด
มีกลุ่มข้าราชการ-ที่มิได้เป็นข้าฯของแผ่นดิน มิได้ยึดถือผลประโยชน์ชาติและประชาชนเป็นที่ตั้ง แต่กลับไปร่วมกับนักการเมือง-พ่อค้า ฯลฯ สมคบกันคอร์รัปชั่นโกงบ้านเมือง จนชาติและประชาชนเดือดร้อนไปทั่วทุกหย่อมหญ้าดังเช่นทุกวันนี้
มีกลุ่มตำรวจและอัยการ-ที่ไม่ได้ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์สุจริต ในการพิทักษ์ปกป้องคนดีและลงโทษคนชั่วอย่างตรงไปตรงมา เพื่อทำให้ความยุติธรรม “ต้นน้ำ” และ “กลางน้ำ” บูรณาการไปสู่ “ปลายน้ำ” หรือศาลฯได้อย่างเที่ยงธรรม
มีกลุ่มพระสงฆ์-ใหญ่น้อยจำนวนหนึ่งใน “ศาสนจักร” ที่มิได้คิดและมีวัตรปฏิบัติที่ดี อีกทั้งไร้ซึ่งคุณธรรม ศีลธรรม จริยธรรม ไร้ความซื่อสัตย์สุจริต โป้ปดมดเท็จเป็นนิจ กล่าวได้ว่า..มีพระสงฆ์ใหญ่น้อยกลุ่มหนึ่งมิใช่พระสงฆ์อีกต่อไปแล้ว ซ้ำร้ายยังกระทำตัวเป็น “มารศาสนา” เสียอีก!
พระสงฆ์ที่ดีขององค์พระศาสดา..จิตต้องเหนือกิเลสทั้งปวง..หรือเป็น “คนเหนือคน”! ถ้าปฏิบัติตามพระธรรมวินัย 227 ข้อไม่ได้-ไม่ใช่พระ! ถ้าปฏิบัติตาม พรบ.คณะสงฆ์ไม่ได้-ไม่ใช่พระ! ถ้าปฏิบัติตามกฎหมายบ้านเมืองไม่ได้-ไม่ใช่พระ!
“อลัชชีโยเย” มิได้ปฏิบัติตามกติกาข้างต้น แต่ทำไม “เด็จช่วง” กับ “มหาเถรฯ” ทั้งหลาย ที่มีหน้าที่ปกครองพระสงฆ์ใน “ศาสนจักร” ยังปล่อยให้ “พระปลอมโยเย” แต่งกายเลียนแบบสงฆ์ และใช้คำสอน “พุทธปลอม” หลอกลวงต้มตุ๋นเงินทองชาวพุทธ อย่างต่อเนื่องยาวนานมาจนทุกวันนี้?
ทุนสามานย์ได้ทำลายผู้คนในสังคม ให้ตกต่ำลงทางด้านคุณงามความดี ฯลฯ จนก่อเกิดกลุ่มคนชั่วจำนวนหนึ่ง ในคราบพระสงฆ์ทั้งใหญ่น้อย นายกรัฐมนตรี คณะรัฐมนตรี ข้าราชการ รวมทั้งพ่อค้านักธุรกิจ สามานย์ ที่ไร้ความรับผิดชอบต่อชาติและประชาชน และละทิ้งการปฏิบัติตามพระราชดำรัสอันทรงคุณค่ายิ่ง ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่ว่า
“ปฏิบัติหน้าที่ของตนให้เต็มกำลัง ด้วยสติรู้ตัว ด้วยปัญญารู้คิด และด้วยความสุจริตจริงใจ โดยเห็นแก่ประโยชน์ส่วนรวมยิ่งกว่าส่วนอื่น”
ยามใดที่อำนาจอยู่ในกำมือ “พระบิ๊กเบิ้มจำนวนหนึ่ง” ที่ไม่ปฏิบัติหน้าที่ดีงามเพื่อ “ศาสนจักร”!
ยามใดที่อำนาจอยู่ในกำมือ “ฆราวาสบิ๊กเบิ้มจำนวนหนึ่ง” ที่ไม่ปฏิบัติหน้าที่ดีงามเพื่อ “อาณาจักร”!
“ศาสนจักร” และ “อาณาจักร” จึงไร้ธรรมนำหน้า และจะเกิดผลเสียหายใหญ่หลวงอย่างแน่นอน! ไม่ช้าก็เร็ว..!!