ในงานเลี้ยงสังสรรค์ของสถานีโทรทัศน์ผ่านดาวเทียมช่องหนึ่งที่โรงแรมหรู ที่ คสช.ได้อนุญาตให้เปิดบริการได้หยกๆ ได้มีนักการเมืองและแกนนำคนเสื้อแดงจำนวนหนึ่งไปร่วมสังสรรค์กันอย่างคึกคัก
ในเวทีสังสรรค์นั้น แม้เสียงพูดคุยจะไม่ค่อยตึงตังเหมือนแต่ก่อน แต่ก็ครึกครื้นในหัวจิตหัวใจของทุกผู้คน
มีการยืนยันอย่างแข็งขันว่าช่วงนี้ต้องเงียบ ต้องอย่าให้ตื่นตระหนก ให้อดทนกันไว้สักระยะหนึ่ง เอาไว้หลังเลือกตั้งแล้วค่อยว่ากัน เพราะเมื่อมีการเลือกตั้งแล้วก็จะกลับมาเป็นรัฐบาลอีกครั้งหนึ่งอย่างแน่นอน เหมือนที่เคยเป็นมาแล้วตลอดระยะเวลาสิบปีที่ผ่านมา
เสียงยืนยันแบบนี้เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องและทุกที่ที่มีการพบปะหารือกัน ก็ไม่รู้ว่าจะไปกระทบเอาคำประกาศของพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา หัวหน้า คสช.ที่ว่าการยึดอำนาจครั้งนี้จะไม่เสียของเหมือนปี 2549 หรือไม่ เพียงไหน
เป็นท่าทีที่เป็นคนละเรื่องกับชาว กปปส. และพันธมิตรฯ รวมทั้งองค์กรประชาชนผู้รักชาติทั้งหมด ที่สงบปากสงบคำ และขานรับข้อเรียกร้องของ คสช.ที่ไม่ให้มีการเคลื่อนไหวใดๆ
แต่ใช่ว่าทุกคนจะนอนหลับ เลิกห่วงหาอาทรบ้านเมืองแต่ประการใด แม้จำนวนมากจะรู้สึกท้อถอยที่ต่อสู้มานับสิบปีเพื่อชาติ ศาสน์ กษัตริย์ แต่วันนี้ต้องกลับกลายมาเป็นตัวปัญหาที่ถูกรังเกียจเดียดฉันท์ จำนวนมากยังคงติดตามสถานการณ์ด้วยความวิตกกังวล และจำนวนมากในปากก็เต็มไปด้วยเลือด ซึ่งไม่รู้ว่าจะเต็มปากและสำลักออกมาในวันไหน
ปรากฏการณ์ในระยะเดือนเศษมานี้ มีความชัดเจนว่าเพื่อให้เกิดความสงบในบ้านเมือง และเพื่อไม่ให้มีการเคลื่อนไหวที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง จึงมีลักษณะไม่เอาเหลือง ไม่เอาแดงนั้น ยังพอยอมรับกันได้ของคนทุกสีซึ่งล้วนแต่เป็นพี่น้องกัน
แต่ปรากฏการณ์ที่ผลประโยชน์ของระบอบทุนสามานย์ยังคงอยู่ดีมีสุข และยังคงเดินหน้าเหมือนก่อนการยึดอำนาจก็ดี กระทั่งทรัพย์สินของชาติที่ถูกโกงไปและเป็นเรื่องใหญ่ที่สุดของบ้านเมืองก็ยังมิได้ดำเนินการใดๆ รวมทั้งคนร้ายที่สังหารประชาชนในช่วงการชุมนุมที่ยังลอยนวลอยู่เหมือนเดิมนั้น เป็นสิ่งที่สะเทือนใจคน ซึ่งเป็นเรื่องที่จะมองข้ามไปไม่ได้
เพราะจะกลายเป็นแบบอย่างเสียประโยชน์แก่ประเทศชาติในวันข้างหน้าว่า หากมีปัญหาใดกระทบต่อชาติ ศาสน์ กษัตริย์แล้ว พึงรู้รักษาตัวรอดเป็นยอดดีจะดีกว่า เพราะขืนออกหน้าไปต่อสู้ก็จะประสบชะตากรรมเช่นเดียวกันกับ กปปส. หรือพันธมิตรฯ หรือบรรดาผู้รักชาติ ศาสน์ กษัตริย์ในยุคก่อนๆ
เราจะปล่อยให้สิ่งเหล่านี้ก่อรูปสำนึกในจิตใจของประชาชนหรือไม่ ก็ต้องช่วยกันคิด ช่วยกันพิจารณาว่าจะป้องกันแก้ไขกันอย่างไร เพราะถ้าปล่อยให้ตกผลึกในจิตใจประชาชนสืบไปแล้ว วันข้างหน้าชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ก็จะมีความเสี่ยงต่ออันตราย
แล้วอะไรเล่าจึงทำให้มีความมั่นใจกันนักหนาว่าเมื่อเลือกตั้งแล้วอำนาจเก่าก็จะกลับมาเป็นรัฐบาลอีกครั้งหนึ่งเหมือนเดิม? กระทั่งคุยกันอย่างมันปากว่าสถานีวิทยุโทรทัศน์แม้ถูกปิดก็เปิดใหม่ได้ใน 1 เดือน โรงเรียนคนเสื้อแดงและกองกำลังอาวุธก็สร้างใหม่ได้ในเวลาสั้นๆ ผู้คนที่ถูกโยกย้ายออกจากตำแหน่งก็ทำให้กลับคืนและดีกว่าเดิมได้ภายในเวลาสั้นๆ จะไปแยแสอะไรกัน!
ความมั่นใจดังกล่าวนั้นตั้งอยู่บนรากฐานที่สำคัญที่สุดคือการเลือกตั้งแบบเส็งเคร็ง คือระบบกฎหมายเลือกตั้งที่เส็งเคร็ง กับระบบบุคลากรที่เกี่ยวข้องกับการเลือกตั้งที่เส็งเคร็ง สองเส็งเคร็งนี่แหละที่เป็นยานพาหนะให้กับอำนาจเก่าในการเข้าสู่อำนาจและในการกลับมามีอำนาจตลอดระยะเวลาสิบปีมานี้
ความเส็งเคร็งของระบอบการเลือกตั้งดังกล่าวได้ก่อผลึกระบอบประชาธิปไตยแบบสามานย์ขึ้นในประเทศไทย คือ
ประการแรก เป็นระบอบที่ทำให้คนคนเดียวเป็นเจ้าของพรรคการเมือง ที่บรรดากรรมการบริหารและสมาชิกพรรคมีฐานะเป็นแค่สมุนรับใช้ หรือลูกทาสที่รับใช้นายทาสโดยไม่ต้องคำนึงถึงความรับผิดชอบใดๆ ต่อประเทศชาติและตนเอง
ประการที่สอง เป็นระบอบที่ทำให้คนคนเดียวเป็นเจ้าของรัฐบาล ที่รัฐมนตรีและผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองทั้งหลายมีฐานะเป็นเพียงข้ารับใช้ที่ไร้ปากเสียง และไม่ต้องคำนึงถึงผิดชอบชั่วดี จากนั้นก็ไปควบคุมสั่งการข้าราชการทั้งหลายให้กลายเป็นทาสเหมือนพวกตัว โกงบ้านกินเมืองจนย่อยยับดังที่เห็นกันอยู่
ประการที่สาม เป็นระบอบที่ทำให้คนคนเดียวเป็นเจ้าของสภาผู้แทนราษฎร ที่ทำให้ ส.ส.ในสังกัดมีฐานะเหมือนวัวควายอยู่ในคอก ที่ไม่ต้องรับฟังเสียงประชาชน ฟังแต่เสียงเจ้าของคอกอย่างเดียวโดยไม่ต้องเกรงฟ้า ไม่ต้องอายดิน
ระบอบประชาธิปไตยแบบเส็งเคร็งดังกล่าวนั้นคือผลิตผลของระบอบการเลือกตั้งแบบเส็งเคร็ง
ระบอบเลือกตั้งแบบเส็งเคร็งได้พัฒนาขึ้นในประเทศนี้จนมีความแข็งแกร่งยิ่งกว่าระยะใดๆ ซึ่งสามารถเห็นได้อย่างชัดเจนแล้วคือ
เรื่องแรก ระบบกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการเลือกตั้งที่พัฒนามาตั้งแต่ปี 2540 จนกระทั่งปัจจุบันนี้ ไม่ใช่ระบบที่ส่งเสริมคนดีมีอำนาจในบ้านเมือง แต่เป็นระบบที่ส่งเสริมให้คนชั่วช้าสารเลวมีอำนาจในบ้านเมือง ซึ่งผลประการนี้ประการเดียวก็ประจักษ์ชัดว่าได้ทำให้บ้านเมืองพินาศวายวอดยับเยิน
เรื่องที่สอง ระบบกฎหมายในการกลั่นกรองคนชั่วที่แฝงฝังเข้ามาไม่ให้เข้าสู่อำนาจ ไร้ประสิทธิภาพอย่างสิ้นเชิง ผลการเลือกตั้งหลายครั้งที่ผ่านมาไม่สามารถแจกใบเหลือง ใบแดง เพื่อสกัดขัดขวางคนไม่ดีได้เลย
เรื่องที่สาม ระบบกฎหมายเลือกตั้งได้กีดกันคนดีมีฝีมือทั่วประเทศไม่ให้มีโอกาสได้สมัครเป็นผู้แทนราษฎร เว้นแต่จะยอมเป็นวัวควายให้เจ้าของพรรคใช้สอย คนดีจึงหนีหน่าย ปล่อยให้บ้านเมืองถูกทำลายอย่างไม่แยแสไยดี
เรื่องที่สี่ การเลือกตั้งไม่ได้มีทั้งปีทั้งชาติ แต่กลับจัดตั้งหน่วยงานและมีบุคลากรราวกับว่าเป็นกระทรวง มีข้าราชการประจำที่สิ้นเปลืองงบประมาณแผ่นดินโดยไม่คุ้มกับหน้าที่ที่ต้องทำเป็นครั้งคราว แต่พอทำงานจริงกลับไม่สามารถคัดสรรคนดีเข้ามามีอำนาจหรือกำจัดขัดขวางคนชั่วไม่ให้มีอำนาจได้เลย
เรื่องที่ห้า เพราะเหตุที่ทำให้งานเฉพาะกาลกลายเป็นเรื่องประจำ และมีผู้รับผิดชอบเป็นการประจำ จึงเท่ากับเป็นการประกาศตนรับการวิ่งเต้นเป็นการถาวร ดังนั้นการโกงเลือกตั้งทั้งในระดับเขตเลือกตั้ง ในระดับจังหวัด และในระดับส่วนกลาง จึงสอดรับกันเป็นทอดๆ มีการวางสายงานอย่างแน่นหนา ก่อระบอบการโกงเลือกตั้งที่แข็งแรงประดุจกำแพงคอนกรีตขึ้นในประเทศนี้ ทำให้การเลือกตั้งได้สร้างระบอบสืบสันตติวงศ์ของนักการเมืองขึ้นในจังหวัดต่างๆ อย่างน่าสยดสยอง
ทั้งห้าเรื่องนี่แหละคือความจริงที่ประจักษ์แล้วตลอดระยะเวลา 17 ปีที่ผ่านมานี้และให้ผลเป็นที่ประจักษ์แล้วตลอดระยะเวลา 17 ปีมานี้ ความจริงอันเป็นต้นเหตุของความพินาศวายวอดของบ้านเมือง และความจริงอันประจักษ์ว่าบ้านเมืองของเรามิได้ปกครองโดยระบอบประชาธิปไตยเลย แต่เป็นการปกครองโดยระบอบเส็งเคร็งเท่านั้น
ระบอบที่ว่านี้จะต้องถูกรื้อถอนออกไปอย่างสิ้นเชิง จึงจะทำให้ประเทศชาติอยู่รอดปลอดภัยได้ จึงจะทำให้การยึดอำนาจครั้งนี้ไม่เสียของได้
จับตาคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญถาวร จับตาทิศทางของรัฐธรรมนูญถาวรที่กำลังจะเผยโฉมให้เห็นโดยรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราวที่จะประกาศใช้ในเร็วๆ นี้ให้จงดี
ว่าจะเป็นการวางศิลาฤกษ์ให้ประเทศไทยได้ก้าวไปสู่การปฏิรูปที่มีความสงบสุขและความเจริญรุ่งเรืองเป็นเบื้องหน้า หรือว่าจะเป็นการวางหมากปูทางให้การปกครองแบบเส็งเคร็งกลับมายึดบ้านยึดเมืองอีกครั้งหนึ่ง?
ในเวทีสังสรรค์นั้น แม้เสียงพูดคุยจะไม่ค่อยตึงตังเหมือนแต่ก่อน แต่ก็ครึกครื้นในหัวจิตหัวใจของทุกผู้คน
มีการยืนยันอย่างแข็งขันว่าช่วงนี้ต้องเงียบ ต้องอย่าให้ตื่นตระหนก ให้อดทนกันไว้สักระยะหนึ่ง เอาไว้หลังเลือกตั้งแล้วค่อยว่ากัน เพราะเมื่อมีการเลือกตั้งแล้วก็จะกลับมาเป็นรัฐบาลอีกครั้งหนึ่งอย่างแน่นอน เหมือนที่เคยเป็นมาแล้วตลอดระยะเวลาสิบปีที่ผ่านมา
เสียงยืนยันแบบนี้เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องและทุกที่ที่มีการพบปะหารือกัน ก็ไม่รู้ว่าจะไปกระทบเอาคำประกาศของพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา หัวหน้า คสช.ที่ว่าการยึดอำนาจครั้งนี้จะไม่เสียของเหมือนปี 2549 หรือไม่ เพียงไหน
เป็นท่าทีที่เป็นคนละเรื่องกับชาว กปปส. และพันธมิตรฯ รวมทั้งองค์กรประชาชนผู้รักชาติทั้งหมด ที่สงบปากสงบคำ และขานรับข้อเรียกร้องของ คสช.ที่ไม่ให้มีการเคลื่อนไหวใดๆ
แต่ใช่ว่าทุกคนจะนอนหลับ เลิกห่วงหาอาทรบ้านเมืองแต่ประการใด แม้จำนวนมากจะรู้สึกท้อถอยที่ต่อสู้มานับสิบปีเพื่อชาติ ศาสน์ กษัตริย์ แต่วันนี้ต้องกลับกลายมาเป็นตัวปัญหาที่ถูกรังเกียจเดียดฉันท์ จำนวนมากยังคงติดตามสถานการณ์ด้วยความวิตกกังวล และจำนวนมากในปากก็เต็มไปด้วยเลือด ซึ่งไม่รู้ว่าจะเต็มปากและสำลักออกมาในวันไหน
ปรากฏการณ์ในระยะเดือนเศษมานี้ มีความชัดเจนว่าเพื่อให้เกิดความสงบในบ้านเมือง และเพื่อไม่ให้มีการเคลื่อนไหวที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง จึงมีลักษณะไม่เอาเหลือง ไม่เอาแดงนั้น ยังพอยอมรับกันได้ของคนทุกสีซึ่งล้วนแต่เป็นพี่น้องกัน
แต่ปรากฏการณ์ที่ผลประโยชน์ของระบอบทุนสามานย์ยังคงอยู่ดีมีสุข และยังคงเดินหน้าเหมือนก่อนการยึดอำนาจก็ดี กระทั่งทรัพย์สินของชาติที่ถูกโกงไปและเป็นเรื่องใหญ่ที่สุดของบ้านเมืองก็ยังมิได้ดำเนินการใดๆ รวมทั้งคนร้ายที่สังหารประชาชนในช่วงการชุมนุมที่ยังลอยนวลอยู่เหมือนเดิมนั้น เป็นสิ่งที่สะเทือนใจคน ซึ่งเป็นเรื่องที่จะมองข้ามไปไม่ได้
เพราะจะกลายเป็นแบบอย่างเสียประโยชน์แก่ประเทศชาติในวันข้างหน้าว่า หากมีปัญหาใดกระทบต่อชาติ ศาสน์ กษัตริย์แล้ว พึงรู้รักษาตัวรอดเป็นยอดดีจะดีกว่า เพราะขืนออกหน้าไปต่อสู้ก็จะประสบชะตากรรมเช่นเดียวกันกับ กปปส. หรือพันธมิตรฯ หรือบรรดาผู้รักชาติ ศาสน์ กษัตริย์ในยุคก่อนๆ
เราจะปล่อยให้สิ่งเหล่านี้ก่อรูปสำนึกในจิตใจของประชาชนหรือไม่ ก็ต้องช่วยกันคิด ช่วยกันพิจารณาว่าจะป้องกันแก้ไขกันอย่างไร เพราะถ้าปล่อยให้ตกผลึกในจิตใจประชาชนสืบไปแล้ว วันข้างหน้าชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ก็จะมีความเสี่ยงต่ออันตราย
แล้วอะไรเล่าจึงทำให้มีความมั่นใจกันนักหนาว่าเมื่อเลือกตั้งแล้วอำนาจเก่าก็จะกลับมาเป็นรัฐบาลอีกครั้งหนึ่งเหมือนเดิม? กระทั่งคุยกันอย่างมันปากว่าสถานีวิทยุโทรทัศน์แม้ถูกปิดก็เปิดใหม่ได้ใน 1 เดือน โรงเรียนคนเสื้อแดงและกองกำลังอาวุธก็สร้างใหม่ได้ในเวลาสั้นๆ ผู้คนที่ถูกโยกย้ายออกจากตำแหน่งก็ทำให้กลับคืนและดีกว่าเดิมได้ภายในเวลาสั้นๆ จะไปแยแสอะไรกัน!
ความมั่นใจดังกล่าวนั้นตั้งอยู่บนรากฐานที่สำคัญที่สุดคือการเลือกตั้งแบบเส็งเคร็ง คือระบบกฎหมายเลือกตั้งที่เส็งเคร็ง กับระบบบุคลากรที่เกี่ยวข้องกับการเลือกตั้งที่เส็งเคร็ง สองเส็งเคร็งนี่แหละที่เป็นยานพาหนะให้กับอำนาจเก่าในการเข้าสู่อำนาจและในการกลับมามีอำนาจตลอดระยะเวลาสิบปีมานี้
ความเส็งเคร็งของระบอบการเลือกตั้งดังกล่าวได้ก่อผลึกระบอบประชาธิปไตยแบบสามานย์ขึ้นในประเทศไทย คือ
ประการแรก เป็นระบอบที่ทำให้คนคนเดียวเป็นเจ้าของพรรคการเมือง ที่บรรดากรรมการบริหารและสมาชิกพรรคมีฐานะเป็นแค่สมุนรับใช้ หรือลูกทาสที่รับใช้นายทาสโดยไม่ต้องคำนึงถึงความรับผิดชอบใดๆ ต่อประเทศชาติและตนเอง
ประการที่สอง เป็นระบอบที่ทำให้คนคนเดียวเป็นเจ้าของรัฐบาล ที่รัฐมนตรีและผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองทั้งหลายมีฐานะเป็นเพียงข้ารับใช้ที่ไร้ปากเสียง และไม่ต้องคำนึงถึงผิดชอบชั่วดี จากนั้นก็ไปควบคุมสั่งการข้าราชการทั้งหลายให้กลายเป็นทาสเหมือนพวกตัว โกงบ้านกินเมืองจนย่อยยับดังที่เห็นกันอยู่
ประการที่สาม เป็นระบอบที่ทำให้คนคนเดียวเป็นเจ้าของสภาผู้แทนราษฎร ที่ทำให้ ส.ส.ในสังกัดมีฐานะเหมือนวัวควายอยู่ในคอก ที่ไม่ต้องรับฟังเสียงประชาชน ฟังแต่เสียงเจ้าของคอกอย่างเดียวโดยไม่ต้องเกรงฟ้า ไม่ต้องอายดิน
ระบอบประชาธิปไตยแบบเส็งเคร็งดังกล่าวนั้นคือผลิตผลของระบอบการเลือกตั้งแบบเส็งเคร็ง
ระบอบเลือกตั้งแบบเส็งเคร็งได้พัฒนาขึ้นในประเทศนี้จนมีความแข็งแกร่งยิ่งกว่าระยะใดๆ ซึ่งสามารถเห็นได้อย่างชัดเจนแล้วคือ
เรื่องแรก ระบบกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการเลือกตั้งที่พัฒนามาตั้งแต่ปี 2540 จนกระทั่งปัจจุบันนี้ ไม่ใช่ระบบที่ส่งเสริมคนดีมีอำนาจในบ้านเมือง แต่เป็นระบบที่ส่งเสริมให้คนชั่วช้าสารเลวมีอำนาจในบ้านเมือง ซึ่งผลประการนี้ประการเดียวก็ประจักษ์ชัดว่าได้ทำให้บ้านเมืองพินาศวายวอดยับเยิน
เรื่องที่สอง ระบบกฎหมายในการกลั่นกรองคนชั่วที่แฝงฝังเข้ามาไม่ให้เข้าสู่อำนาจ ไร้ประสิทธิภาพอย่างสิ้นเชิง ผลการเลือกตั้งหลายครั้งที่ผ่านมาไม่สามารถแจกใบเหลือง ใบแดง เพื่อสกัดขัดขวางคนไม่ดีได้เลย
เรื่องที่สาม ระบบกฎหมายเลือกตั้งได้กีดกันคนดีมีฝีมือทั่วประเทศไม่ให้มีโอกาสได้สมัครเป็นผู้แทนราษฎร เว้นแต่จะยอมเป็นวัวควายให้เจ้าของพรรคใช้สอย คนดีจึงหนีหน่าย ปล่อยให้บ้านเมืองถูกทำลายอย่างไม่แยแสไยดี
เรื่องที่สี่ การเลือกตั้งไม่ได้มีทั้งปีทั้งชาติ แต่กลับจัดตั้งหน่วยงานและมีบุคลากรราวกับว่าเป็นกระทรวง มีข้าราชการประจำที่สิ้นเปลืองงบประมาณแผ่นดินโดยไม่คุ้มกับหน้าที่ที่ต้องทำเป็นครั้งคราว แต่พอทำงานจริงกลับไม่สามารถคัดสรรคนดีเข้ามามีอำนาจหรือกำจัดขัดขวางคนชั่วไม่ให้มีอำนาจได้เลย
เรื่องที่ห้า เพราะเหตุที่ทำให้งานเฉพาะกาลกลายเป็นเรื่องประจำ และมีผู้รับผิดชอบเป็นการประจำ จึงเท่ากับเป็นการประกาศตนรับการวิ่งเต้นเป็นการถาวร ดังนั้นการโกงเลือกตั้งทั้งในระดับเขตเลือกตั้ง ในระดับจังหวัด และในระดับส่วนกลาง จึงสอดรับกันเป็นทอดๆ มีการวางสายงานอย่างแน่นหนา ก่อระบอบการโกงเลือกตั้งที่แข็งแรงประดุจกำแพงคอนกรีตขึ้นในประเทศนี้ ทำให้การเลือกตั้งได้สร้างระบอบสืบสันตติวงศ์ของนักการเมืองขึ้นในจังหวัดต่างๆ อย่างน่าสยดสยอง
ทั้งห้าเรื่องนี่แหละคือความจริงที่ประจักษ์แล้วตลอดระยะเวลา 17 ปีที่ผ่านมานี้และให้ผลเป็นที่ประจักษ์แล้วตลอดระยะเวลา 17 ปีมานี้ ความจริงอันเป็นต้นเหตุของความพินาศวายวอดของบ้านเมือง และความจริงอันประจักษ์ว่าบ้านเมืองของเรามิได้ปกครองโดยระบอบประชาธิปไตยเลย แต่เป็นการปกครองโดยระบอบเส็งเคร็งเท่านั้น
ระบอบที่ว่านี้จะต้องถูกรื้อถอนออกไปอย่างสิ้นเชิง จึงจะทำให้ประเทศชาติอยู่รอดปลอดภัยได้ จึงจะทำให้การยึดอำนาจครั้งนี้ไม่เสียของได้
จับตาคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญถาวร จับตาทิศทางของรัฐธรรมนูญถาวรที่กำลังจะเผยโฉมให้เห็นโดยรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราวที่จะประกาศใช้ในเร็วๆ นี้ให้จงดี
ว่าจะเป็นการวางศิลาฤกษ์ให้ประเทศไทยได้ก้าวไปสู่การปฏิรูปที่มีความสงบสุขและความเจริญรุ่งเรืองเป็นเบื้องหน้า หรือว่าจะเป็นการวางหมากปูทางให้การปกครองแบบเส็งเคร็งกลับมายึดบ้านยึดเมืองอีกครั้งหนึ่ง?