จากกรณีนายพรเพชร วิชิตชลชัย ประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ลงนามคำสั่งให้ข้าราชการระดับสูงของสำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร ประกอบด้วย นายคุณวุฒิ ตันตระกูล รองเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร และ นายสมชาติ ธรรมศิริ ที่ปรึกษาด้านกฎหมาย ออกจากตำแหน่งราชการ เนื่องจาก ละเว้นการปฏิบัติหน้าที่จนสร้างความเสียหายแต่ราชการนั้น ล่าสุดได้มีการเผยแพร่คำสั่งทางการ ทั้งสิ้น 2 ฉบับ โดยมีรายละเอียดที่สำคัญ ดังนี้
1. คำสั่งสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ที่ 106/2559 เรื่องลงโทษปลดออก ซึ่งเป็นกรณีของนายคุณวุฒิ ฐานะประธานกรรมการบริหารจัดการดินในการก่อสร้างอาคารรัฐสภาแห่งใหม่ ที่ไม่ปฏิบัติหน้าที่อย่าละเอียด รอบคอบ และเป็นไปเพื่อรักษาผลประโยชน์สูงสุดต่อราชการ กรณีการขนย้ายมูลดินออกจากพื้นที่ก่อสร้างรัฐสภาแห่งใหม่ล่าช้า ทำให้กระทบต่อแผนงานก่อสร้าง และทำให้สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรต้องเช่าอาคารของเอกชน เพื่อใช้เป็นสำนักงาน ซึ่งก่อให้เกิดความเสียหายต่องบประมาณจำนวนมาก สืบเนื่องจากการกระทำของนายคุณวุฒิ โดยตรงที่ไม่นัดประชุมคณะกรรมการบริหารจัดการดินฯ อย่างต่อเนื่อง และพบการทอดเวลานัดประชุมครั้งที่ 8 กับครั้งที่ 9 ไว้นานถึง 4 เดือน ซึ่งจากการกระทำดังกล่าว ทำให้เกิดความเสียหายอย่างร้ายแรงต่อราชการ ตามกฎ ก.ร. ว่าด้วยวินัยข้าราชการสามัญ พ.ศ. 2555 ข้อ 2 (5) และข้อ 6 (7) สมควรได้รับโทษปลดออก โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่ 8 ก.ค.เป็นต้นไป ทั้งนี้ ในท้ายคำสั่ง สนช.ได้ให้สิทธิผู้ถูกลงโทษมีสิทธิอุทธรณ์ต่อก.ร. ภายใน 30 วัน นับแต่ได้รับคำสั่งลงโทษ
2. คำสั่ง สนช.ที่ 107/2559 เรื่องลโทษไล่ออก เป็นกรณีของ นายสมชาติ ฐานะประธานกรรมการสโมสรรัฐสภา และผู้จัดการสโมสรรัฐสภา และรองประธานกรรมการจัดสร้างวัตถุมลคล (หลวงปู่ทวด) ที่ได้กระทำผิดวินัยร้ายแรง กรณีใช้ตำแหน่งประธานกรรมการสโมสรรัฐสภา ลงนามอนุมัติให้สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร ยืมเงินของสโมสรรัฐสภา จำนวน 3,450,578 บาท เพื่อใช้ในการจัดสร้างวัตถุมลคล โดยไม่มีอำนาจ และไม่มีกฎหมายรองรับ เนื่องจากการแต่งตั้งกรรมการสโมสรรัฐสภาดังกล่าวไม่ผ่านการดำเนินงานของกองงานกิจการทั่วไปของสำนักงานฯ และจากการให้ยืมเงินจำนวนดังกล่าว ทำให้สโมสรรัฐสภาไม่ได้สิทธิรับดอกเบี้ยเงินฝากจากธนาคาร และกรณีที่ที่ให้สำนักงานเลขาธิการสภาฯ ยืมเงินของสโมสรฯ เป็นจำนวนมากนั้น เป็นการสร้างภาระให้กับสำนักงานเลขาธิการสภาฯ ที่ต้องหาเงินมาชดใช้
อย่างไรก็ตาม จากการดำเนิน การดังกล่าว ล่าสุดสโมสรรัฐสภาได้รับเงินคืนเพียง 506,199 บาท และยังมีเงินที่ไม่ได้คืน จำนวน 2,944,379 บาท ซึ่งจากการกระทำของนายสมชาตินั้น ถือว่าใช้อำนาจมิชอบทำให้สโมสรรัฐสภาและสำนักงานเลขาธิการสภาฯ เสียหายร้ายแรง อันเป็นการกระทำผิดวินัยร้ายแรง ฐานไม่ปฏิบัติหน้าที่ราชการให้เป็นไปตามกฎหมาย และขนบธรรมเนียมราชการ ถือเป็นการกระทำผิดวินัยร้ายแรงตามกฎก.ร. ว่าด้วยวินัยข้าราชการสามัญ พ.ศ. 2555 ข้อ 2 (2) และ (3) และข้อ6 (1) และ(7) สมควรได้รับโทษปลดออก โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่ 8 ก.ค.เป็นต้นไป ทั้งนี้ในท้ายคำสั่งสนช.ได้ให้สิทธิผู้ถูกลงโทษมีสิทธิอุทธรณ์ต่อ ก.ร. ภายใน 30 วัน นับแต่ได้รับคำสั่งลงโทษ
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากเอกสารคำสั่งลงโทษ นายคุณวุฒิ ให้ปลดออกจากราชการ และคำสั่งลงโทษ นายสมชาติ ให้ถูกไล่ออกจากราชการ นั้นมีการถูกเผยแพร่ไปยังข้าราชการสังกัดสำนักงานเลขาธิการสภาฯ วุฒิสภา ทำให้เกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์ต่อผลการตรวจสอบการกระทำที่นำมาซึ่งการลงนามคำสั่งลงโทษทางราชการโดยนายพรเพชร เป็นอย่างมาก เพราะไม่มีเหตุผลที่มีน้ำหนักมากพอที่จะลงโทษข้าราชการระดับสูง ด้วยการให้ออกจากราชการ อีกทั้งรายละเอียดการตรวจสอบยังไม่มีความรอบด้านเท่าที่ควร เช่น ความเสียหายต่อราชการที่เป็นมูลค่า หรือมีการตรวจสอบทางบัญชีของผู้ที่ถูกลงโทษ ทั้งนี้ ยังสร้างความหวาดหวั่นต่อการทำงานของข้าราชการในหลายระดับต่อการปฏิบัติหน้าที่ หรือการเรียกประชุมคณะทำงานในความถี่กี่ครั้งต่อเดือน จึงจะถือว่าเหมาะสม และสามารถปฏิบัติหน้าที่อย่างรอบคอบเพียงพอ ทั้งนี้ในช่วงเช้าของวันที่ 11 ก.ค. มีข้าราชการส่วนหนึ่ง เตรียมเข้าให้กำลังใจ นายคุณวุฒิ และ นายสมชาติ ซึ่งจะเข้ามาขนย้ายสิ่งของส่วนตัวออกจากห้องทำงานด้วย
ด้านนายสมชาติ ให้สัมภาษณ์กับผู้สื่อข่าว หลังจากเห็นรายละเอียดคำสั่งให้ไล่ออกว่า ตนเตรียมที่จะใช้สิทธิอุทธรณ์ต่อกรรมการก.ร.เพื่อแสดงความบริสุทธิ์ใจในการทำหน้าที่ เพราะการให้สำนักงานเลขาธิการสภาฯ ยืมเงินสโมสรรัฐสภา จำนวน 3.4 ล้านบาทนั้น ไม่ได้กระทำโดยทุจริต หรือมีเจตนาไม่ชอบ เพื่อหวังได้เงินของสโมสรรัฐสภามาเป็นของตนเอง เพราะตามระเบียบของสำนักงานเลขาธิการสภาฯ สโมสรรัฐสภา ถือเป็นหน่วยงานภายใต้การกำกับของสำนักงานฯ ไม่ใช่เป็นนิติบุคคลภายนอก ดังนั้น สิ่งที่เกิดขึ้นจึงไม่ได้สร้างความเสียหายใดๆ แต่งบประมาณของส่วนราชการ ทั้งนี้ในการทำสัญญายืมเงินดังกล่าว มีการระบุด้วยว่า รายได้ที่ได้จากการจำหน่ายวัตถุมลคลนั้น จะนำไปชดใช้คืนให้กับสโมสรรัฐสภาในจำนวนเท่ากับเงินต้นที่ได้ยืม ส่วนกำไรที่ได้จากการจำหน่ายนั้น จะนำเข้ากองทุนสวัสดิการข้าราชการ และใช้ในเรื่องสาธารณะประโยชน์ และช่วยเหลือข้าราชการในสังกัด
ทั้งนี้การนำเงินของสโมสรรัฐสภาให้กับสำนักงานเลขาธิการสภาฯ ยืมนั้น เคยเกิดขึ้นมาแล้วสมัยที่ นายพิทูรย์ พุ่มหิรัญ และ นายสุวิจักขณ์ นาควัชระชัย ดำรงตำแหน่งเป็น เลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร
1. คำสั่งสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ที่ 106/2559 เรื่องลงโทษปลดออก ซึ่งเป็นกรณีของนายคุณวุฒิ ฐานะประธานกรรมการบริหารจัดการดินในการก่อสร้างอาคารรัฐสภาแห่งใหม่ ที่ไม่ปฏิบัติหน้าที่อย่าละเอียด รอบคอบ และเป็นไปเพื่อรักษาผลประโยชน์สูงสุดต่อราชการ กรณีการขนย้ายมูลดินออกจากพื้นที่ก่อสร้างรัฐสภาแห่งใหม่ล่าช้า ทำให้กระทบต่อแผนงานก่อสร้าง และทำให้สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรต้องเช่าอาคารของเอกชน เพื่อใช้เป็นสำนักงาน ซึ่งก่อให้เกิดความเสียหายต่องบประมาณจำนวนมาก สืบเนื่องจากการกระทำของนายคุณวุฒิ โดยตรงที่ไม่นัดประชุมคณะกรรมการบริหารจัดการดินฯ อย่างต่อเนื่อง และพบการทอดเวลานัดประชุมครั้งที่ 8 กับครั้งที่ 9 ไว้นานถึง 4 เดือน ซึ่งจากการกระทำดังกล่าว ทำให้เกิดความเสียหายอย่างร้ายแรงต่อราชการ ตามกฎ ก.ร. ว่าด้วยวินัยข้าราชการสามัญ พ.ศ. 2555 ข้อ 2 (5) และข้อ 6 (7) สมควรได้รับโทษปลดออก โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่ 8 ก.ค.เป็นต้นไป ทั้งนี้ ในท้ายคำสั่ง สนช.ได้ให้สิทธิผู้ถูกลงโทษมีสิทธิอุทธรณ์ต่อก.ร. ภายใน 30 วัน นับแต่ได้รับคำสั่งลงโทษ
2. คำสั่ง สนช.ที่ 107/2559 เรื่องลโทษไล่ออก เป็นกรณีของ นายสมชาติ ฐานะประธานกรรมการสโมสรรัฐสภา และผู้จัดการสโมสรรัฐสภา และรองประธานกรรมการจัดสร้างวัตถุมลคล (หลวงปู่ทวด) ที่ได้กระทำผิดวินัยร้ายแรง กรณีใช้ตำแหน่งประธานกรรมการสโมสรรัฐสภา ลงนามอนุมัติให้สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร ยืมเงินของสโมสรรัฐสภา จำนวน 3,450,578 บาท เพื่อใช้ในการจัดสร้างวัตถุมลคล โดยไม่มีอำนาจ และไม่มีกฎหมายรองรับ เนื่องจากการแต่งตั้งกรรมการสโมสรรัฐสภาดังกล่าวไม่ผ่านการดำเนินงานของกองงานกิจการทั่วไปของสำนักงานฯ และจากการให้ยืมเงินจำนวนดังกล่าว ทำให้สโมสรรัฐสภาไม่ได้สิทธิรับดอกเบี้ยเงินฝากจากธนาคาร และกรณีที่ที่ให้สำนักงานเลขาธิการสภาฯ ยืมเงินของสโมสรฯ เป็นจำนวนมากนั้น เป็นการสร้างภาระให้กับสำนักงานเลขาธิการสภาฯ ที่ต้องหาเงินมาชดใช้
อย่างไรก็ตาม จากการดำเนิน การดังกล่าว ล่าสุดสโมสรรัฐสภาได้รับเงินคืนเพียง 506,199 บาท และยังมีเงินที่ไม่ได้คืน จำนวน 2,944,379 บาท ซึ่งจากการกระทำของนายสมชาตินั้น ถือว่าใช้อำนาจมิชอบทำให้สโมสรรัฐสภาและสำนักงานเลขาธิการสภาฯ เสียหายร้ายแรง อันเป็นการกระทำผิดวินัยร้ายแรง ฐานไม่ปฏิบัติหน้าที่ราชการให้เป็นไปตามกฎหมาย และขนบธรรมเนียมราชการ ถือเป็นการกระทำผิดวินัยร้ายแรงตามกฎก.ร. ว่าด้วยวินัยข้าราชการสามัญ พ.ศ. 2555 ข้อ 2 (2) และ (3) และข้อ6 (1) และ(7) สมควรได้รับโทษปลดออก โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่ 8 ก.ค.เป็นต้นไป ทั้งนี้ในท้ายคำสั่งสนช.ได้ให้สิทธิผู้ถูกลงโทษมีสิทธิอุทธรณ์ต่อ ก.ร. ภายใน 30 วัน นับแต่ได้รับคำสั่งลงโทษ
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากเอกสารคำสั่งลงโทษ นายคุณวุฒิ ให้ปลดออกจากราชการ และคำสั่งลงโทษ นายสมชาติ ให้ถูกไล่ออกจากราชการ นั้นมีการถูกเผยแพร่ไปยังข้าราชการสังกัดสำนักงานเลขาธิการสภาฯ วุฒิสภา ทำให้เกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์ต่อผลการตรวจสอบการกระทำที่นำมาซึ่งการลงนามคำสั่งลงโทษทางราชการโดยนายพรเพชร เป็นอย่างมาก เพราะไม่มีเหตุผลที่มีน้ำหนักมากพอที่จะลงโทษข้าราชการระดับสูง ด้วยการให้ออกจากราชการ อีกทั้งรายละเอียดการตรวจสอบยังไม่มีความรอบด้านเท่าที่ควร เช่น ความเสียหายต่อราชการที่เป็นมูลค่า หรือมีการตรวจสอบทางบัญชีของผู้ที่ถูกลงโทษ ทั้งนี้ ยังสร้างความหวาดหวั่นต่อการทำงานของข้าราชการในหลายระดับต่อการปฏิบัติหน้าที่ หรือการเรียกประชุมคณะทำงานในความถี่กี่ครั้งต่อเดือน จึงจะถือว่าเหมาะสม และสามารถปฏิบัติหน้าที่อย่างรอบคอบเพียงพอ ทั้งนี้ในช่วงเช้าของวันที่ 11 ก.ค. มีข้าราชการส่วนหนึ่ง เตรียมเข้าให้กำลังใจ นายคุณวุฒิ และ นายสมชาติ ซึ่งจะเข้ามาขนย้ายสิ่งของส่วนตัวออกจากห้องทำงานด้วย
ด้านนายสมชาติ ให้สัมภาษณ์กับผู้สื่อข่าว หลังจากเห็นรายละเอียดคำสั่งให้ไล่ออกว่า ตนเตรียมที่จะใช้สิทธิอุทธรณ์ต่อกรรมการก.ร.เพื่อแสดงความบริสุทธิ์ใจในการทำหน้าที่ เพราะการให้สำนักงานเลขาธิการสภาฯ ยืมเงินสโมสรรัฐสภา จำนวน 3.4 ล้านบาทนั้น ไม่ได้กระทำโดยทุจริต หรือมีเจตนาไม่ชอบ เพื่อหวังได้เงินของสโมสรรัฐสภามาเป็นของตนเอง เพราะตามระเบียบของสำนักงานเลขาธิการสภาฯ สโมสรรัฐสภา ถือเป็นหน่วยงานภายใต้การกำกับของสำนักงานฯ ไม่ใช่เป็นนิติบุคคลภายนอก ดังนั้น สิ่งที่เกิดขึ้นจึงไม่ได้สร้างความเสียหายใดๆ แต่งบประมาณของส่วนราชการ ทั้งนี้ในการทำสัญญายืมเงินดังกล่าว มีการระบุด้วยว่า รายได้ที่ได้จากการจำหน่ายวัตถุมลคลนั้น จะนำไปชดใช้คืนให้กับสโมสรรัฐสภาในจำนวนเท่ากับเงินต้นที่ได้ยืม ส่วนกำไรที่ได้จากการจำหน่ายนั้น จะนำเข้ากองทุนสวัสดิการข้าราชการ และใช้ในเรื่องสาธารณะประโยชน์ และช่วยเหลือข้าราชการในสังกัด
ทั้งนี้การนำเงินของสโมสรรัฐสภาให้กับสำนักงานเลขาธิการสภาฯ ยืมนั้น เคยเกิดขึ้นมาแล้วสมัยที่ นายพิทูรย์ พุ่มหิรัญ และ นายสุวิจักขณ์ นาควัชระชัย ดำรงตำแหน่งเป็น เลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร