สำนักงานประกันสังคมเผยพอร์ตลงทุน 5 เดือนแรกของปีนี้สร้างผลตอบแทน 19,303 ล้านบาท โชว์ผลตอบแทนจากการลงทุนในหุ้นต่างประเทศสูงถึง 14.26% มั่นใจครึ่งปีหลังที่เหลือสามารถทำผลตอบแทนให้ใกล้เคียงกับปี 2557 ที่ผ่านมาได้ พร้อมชูหุ้นอาเซียน เอเชีย ญี่ปุ่น และยุโรป น่าลงทุน
นายวิน พรหมแพทย์ รองโฆษกสำนักงานประกันสังคม และหัวหน้าการลงทุน สำนักบริหารการลงทุนสำนักงานประกันสังคม หรือ สปส. (SSO) เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานกองทุนช่วง 5 เดือนที่ผ่านมา กองทุนสามารถทำผลตอบแทนจากการลงทุนได้ประมาณ 19,303 ล้านบาท คาดว่าทั้งปีกองทุนสามารถสร้างผลตอบแทนจากการลงทุนได้ใกล้เคียงกับช่วงปีที่ผ่านมาที่ 46,492ล้านบาท เนื่องจากอัตราดอกเบี้ยเงินฝากและพันธบัตรในปีนี้ปรับลดลงต่ำกว่าปีก่อนมาก ประกอบกับความเคลื่อนไหวของตลาดหุ้นไทยน่าจะอยู่ในกรอบแคบ ทำให้มีโอกาสขายหุ้นทำกำไรได้น้อยลง
ขณะที่กลุ่มหลักทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนสูงสุด คือ กองทุนรวมหุ้นต่างประเทศ ทำได้ 14.26% รองลงมาคือ กองทุนโครงสร้างพื้นฐาน ทำได้ 6.68% ส่วนพอร์ตการลงทุนของประกันสังคมปัจจุบันอยู่ที่ 1.282 ล้านล้านบาท แบ่งการลงทุนออกเป็นพันธบัตรรัฐบาล 67.99% คิดเป็น 871,745 ล้านบาท หุ้นสามัญ 8.95% คิดเป็น 114,719 ล้านบาท พันธบัตรวิสาหกิจ 7.56% คิดเป็น 96,939 ล้านบาท กองทุนอสังหาฯ และกองทุนต่างประเทศ 4.21% คิดเป็น 54,000 ล้านบาท ตราสารอื่นๆ 4.86% คิดเป็น 62,367 ล้านบาท เงินฝากธนาคาร 2.65% คิดเป็น 2.65% คิดเป็น 34,015 ล้านบาท และหุ้นเอกชน 3.78% คิดเป็น 48,462 ล้านบาท
สำหรับแผนการลงทุนครึ่งปีหลังปีนี้ กองทุนยังคงเน้นการลงทุนหลักทรัพย์มั่นคงสูงในประเทศ โดยเตรียมพร้อมเข้าร่วมประมูลพันธบัตร หากรัฐบาลมีนโยบายออกพันธบัตรระยะกลางและระยะยาวเพิ่มขึ้น คาดหวังผลตอบแทน 3.0-4.5% ต่อปี ส่วนตลาดหุ้นไทยน่าจะเคลื่อนไหวในกรอบแคบ (Sideway) คาดว่าดัชนีตลาดหุ้นไทยน่าจะอยู่ในกรอบ 1,400-1,650 จุด ซึ่งกองทุนมีแผนรอจังหวะการลงทุนในช่วงที่ตลาดปรับฐาน โดยเลือกลงทุนในหุ้นปัจจัยพื้นฐานดีและมีกระแสเงินสดในอนาคตเติบโตดี คาดหวังผลตอบแทนเงินปันผล 3.5% ต่อปี
ขณะเดียวกันยังเพิ่มการลงทุนในหลักทรัพย์ทางเลือก ได้แก่ กองทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ (รีท) และกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐาน ทั้งนี้ สปส.อยู่ระหว่างการแก้ไขระเบียบคณะกรรมการฯ เพื่อรองรับการลงทุนรูปแบบใหม่ ได้แก่ Infrastructure Trust และ Private Equity Trust โดยคาดหวังผลตอบแทนเงินปันผล 6.0-8.0%
ทั้งนี้ หากแหล่งลงทุนในประเทศไม่เพียงพอ และเศรษฐกิจต่างประเทศผ่านจุดต่ำสุดและมีแนวโน้มฟื้นตัวอาจทยอยเพิ่มสัดส่วนเงินลงทุนต่างประเทศ โดยรอจังหวะการลงทุนในช่วงที่ตลาดปรับฐาน เน้นการลงทุนในตลาดหุ้นประเทศกลุ่มอาเซียน ประเทศเกิดใหม่อื่นๆ ในเอเชีย ญี่ปุ่น และยุโรป รวมทั้งเตรียมความพร้อมการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานต่างประเทศ
นายวิน ยังกล่าวว่า ภาวะเศรษฐกิจและการลงทุนช่วงครึ่งหลังของปีนี้ มองว่าเศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มฟื้นตัวช้ากว่าที่คาดไว้ โดยภาคการท่องเที่ยวยังมีแนวโน้มฟื้นตัวได้ดี แต่ภาคการส่งออก การบริโภค และการลงทุน ยังคงมีแนวโน้มชะลอตัว รายได้ภาคเกษตรยังหดตัว โดยส่วนหนึ่งมาจากปัญหาภัยแล้ง ทั้งนี้ ได้ปรับประมาณการตัวเลขการเติบโต (GDP) ของเศรษฐกิจไทยปีนี้ จากเดิม 3.4% ลดลงเหลือ 3.1%
ขณะที่เศรษฐกิจต่างประเทศ คาดว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ จะยังขยายตัวได้ดีในอัตรา 3% ซึ่งน่าจะเป็นแรงกระตุ้นให้ธนาคารกลางสหรัฐฯ ปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายได้ในไตรมาส 3 ของปีนี้ สหภาพยุโรปและญี่ปุ่นจะฟื้นตัวได้อย่างช้าๆ โดยคาดว่าจะเติบโตในอัตรา 1.0-1.5% ส่วนเศรษฐกิจจีนยังมีแนวโน้มเติบโตช้าลงเหลือประมาณ 6.5%
“ในภาวะที่ดอกเบี้ยต่ำและมีแนวโน้มปรับสูงขึ้น ทำให้การลงทุนในพันธบัตรได้ผลตอบแทนติดลบ ทีมงานลงทุนของสำนักงานประกันสังคมมองว่าการลงทุนในหุ้นยังเป็นทางเลือกที่ดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งหุ้นที่มีปัจจัยพื้นฐานและจ่ายปันผลในอัตรา 3.0-4.0% สูงกว่าดอกเบี้ยเงินฝากและพันธบัตร แต่เนื่องจากตลาดหุ้นหลักๆ ของโลก ได้แก่ สหรัฐฯ ยุโรป จีน และญี่ปุ่น ได้ปรับตัวขึ้นมามากแล้ว นักลงทุนจึงต้องรอจังหวะการลงทุนในช่วงที่ตลาดปรับฐาน โดยตลาดหุ้นที่น่าสนใจคือ อาเซียน ประเทศเกิดใหม่อื่นๆ ในเอเชีย ญี่ปุ่น และยุโรป” นายวินกล่าว