xs
xsm
sm
md
lg

บิ๊กไทยคมวอนรัฐฯลดค่าต๋ง แข่งขันตปท.พาประเทศเดินหน้า

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online

ศักยภาพของอุตสาหกรรมดาวเทียมไทย มีแนวโน้มว่าจะถูกประเทศเพื่อนบ้านและประชาคมโลก แซงหน้า!ถ้านโยบายภาครัฐไม่เอื้อให้เกิดการขับเคลื่อนและแข่งขัน

หนึ่งในปัญหาสำคัญก็คือเรื่องของ “ต้นทุน” ที่ประเทศผู้ให้บริการส่วนใหญ่ จะไม่เก็บค่าธรรมเนียมใบอนุญาตที่แพงเกินไป เพราะต้องการให้ Operator ของเขา มีหน้าตักเหนือกว่าคู่แข่งในตลาด

เมื่อหันกลับมาดูประเทศไทย เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา มีข่าวเกี่ยวกับการเพิ่มค่าสัมปทานดาวเทียมสื่อสารเป็น20% ... แจ็คพอตมาตกอยู่ที่ ดาวเทียม “ไทยคม 7” ซึ่งยิงขึ้นเมื่อปี 2557 และ “ไทยคม 8” เพิ่งยิงขึ้นไป เมื่อเดือนพฤษภาคม 2559 ที่ผ่านมา

ทั้งๆ ที่ ดาวเทียมสองดวงนี้ ได้รับใบอนุญาต จาก กสทช. ไปแล้ว โดยมีเงื่อนไขให้เสียค่าธรรมเนียม 5%ของรายได้ และได้รับอนุญาตให้ใช้ “วงโคจร” จากกระทรวง ICT แล้วเช่นกัน

การส่งสัญญาณขึ้นค่าสัมปทานครั้งนี้ ถูกมองว่าสวนทางกับชาวโลก ที่มีแต่จะปลดล็อคค่าธรรมเนียมให้แก่เอกชนเพราะปัจจุบัน ทั้งสิงคโปร์ ออสเตรเลีย มาเลเซีย ฮ่องกง สหรัฐ ลักเซมเบิร์ก และเวียดนาม ล้วนมีต้นทุนค่าใช้จ่ายต่ำกว่าไทยทั้งสิ้น

“ถ้าจะเก็บค่าธรรมเนียมแพงๆ เพราะคิดว่าวงโคจรเป็นทรัพยากรของชาติ ต่อไปก็ไม่มีเอกชนทำดาวเทียมไทย เพราะแข่งขันไม่ได้ เมื่อไม่มีดาวเทียมก็ไม่มีสิทธิใน วงโคจร เพราะจะรักษาสิทธิในวงโคจร ต้องมีดาวเทียมขึ้นให้บริการ เราไม่มีดาวเทียม ก็เสียสิทธิไป” บิ๊กวงการโทรคมนาคมกล่าว

ยกตัวอย่าง ดาวเทียม ST-2 ของสิงคโปร์ เสียค่าธรมเนียมรายปีเพียง 1% ของกำไร หรือขั้นต่ำ 5.16 ล้านบาทเท่านั้น สะท้อนให้เห็นว่ารัฐบาลเพื่อนบ้านของเรา เขาส่งเสริมภาคเอกชนอย่างเต็มที่ เมื่อเทียบกับประเทศไทยที่ผู้ประกอบการต้องเสียกับให้กสทช. 5% ต่อปี

หรือกรณีดาวเทียม Intelsat ของสหรัฐ ซึ่งอยู่ในวงโคจร 84.85E มีค่าธรรมเนียมแรกเข้าประมาณ 4.62 ล้านบาท และค่าธรรมเนียมรายปีประมาณ 4.24 ล้านบาท ส่วนดาวเทียม SES ของประเทศลักเซมเบิร์ก มีต้นทุนเป็นค่าใช้จ่ายควบคุมดาวเทียมประมาณ 2 แสนบาทเท่านั้น

ปัญหานี้ ยังได้ย้อนกลับมาถึงประเทศไทยด้วย เพราะขณะนี้มีดาวเทียมต่างชาติ เข้ามาขายช่องสัญญาณให้กับผู้ใช้บริการชาวไทยเป็นจำนวนมาก โดยใช้ช่องว่าง ในช่วงที่ยังไม่มีมาตรการควบคุมจากภาครัฐ

โดยหนึ่งในกรณีตัวอย่างที่เห็นชัด คือการที่ บมจ.ซีทีเอช (CTH) จะยกเลิกการออกอากาศผ่านดาวเทียมไทยคม ตั้งแต่วันที่ 1 สิงหาคม 2559 เพื่อลดต้นทุนค่าใช้จ่าย และหันไปใช้บริการเช่าทรานสปอนเดอร์จากVinasat ซึ่งเป็นดาวเทียมสัญชาติเวียดนามเพียงแห่งเดียว จนมีการออกข่าวว่าทางไทยคม จะฟ้อง CTH ที่ผิดสัญญา ตรงนี้สะท้อนภาวะต้นทุนการแข่งขันของอุตสาหกรรมดาวเทียมไทยเทียบกับต่างชาติได้เป็นอย่างดี!

ไพบูลย์ ภานุวัฒนวงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.ไทยคม กล่าวว่า อยากให้ภาครัฐ เห็นความสำคัญในเรื่องความสามารถในการแข่งขันของเอกชนไทยในระยะยาว พิจารณาเทียบเคียงกับแนวทาง การกำกับดูแลและค่าธรรมเนียมของต่างประเทศ เพราะสภาพการแข่งขันในธุรกิจดาวเทียมทั่วโลกนั้นสูงมาก

“ถ้าดาวเทียมไทย มีต้นทุนที่สูงกว่าดาวเทียมต่างชาติ ก็จะแข่งขันได้ยาก ซึ่งในตอนนี้ เฉพาะค่าธรรมเนียมในอนุญาตของ กสทช. ก็สูงกว่าค่าธรรมเนียมของต่างประเทศมากอยู่แล้ว”

การกำหนดนโยบาย และค่าธรรมเนียม จึงต้องคำนึงเรื่อง ความสามารถในการแข่งขัน ของเอกชนไทยในระยะยาว และควรเทียบเคียงกับค่าธรรมเนียมของต่างประเทศด้วย

“อยากให้ภาครัฐมีแนวทางกำกับดูแลให้ภาคเอกชนทุกๆ ราย แข่งขันกันได้อย่างเท่าเทียมกันและรัฐก็จะได้ไม่เสียผลประโยชน์ด้วย” ซีอีโอ บมจ.ไทยคมระบุ

สถานการณ์ที่รุมเร้าอุตสาหกรรมดาวเทียมสื่อสารของไทย ทำให้คนในแวดวงโทรคมนาคม ทั้งในและต่างประเทศ ต้องการเห็นทิศทางที่ชัดเจน โปร่งใส เท่าเทียม และเป็นธรรม จากภาครัฐโดยเร็วที่สุด

ทั้งนี้ เพื่อให้กิจการดาวเทียมสื่อสารของประเทศ เดินหน้า แข่งขัน กับต่างชาติ สามารถเป็นหัวหอกในการพัฒนายุทธศาสตร์เศรษฐกิจ และเกิดประโยชน์ต่อคนไทยทั้งประเทศอย่างแท้จริง.
กำลังโหลดความคิดเห็น