ป้อมพระอาทิตย์
โดย โสภณ องค์การณ์
อเมซิ่งไทยแลนด์ดินแดนสยามเมืองยิ้มของพวกเรานั้นมักจะมีปรากฏการณ์ รูปแบบพฤติกรรมแปลกๆ ของชาวบ้าน บางครั้งถึงขั้นเพี้ยนหนักเหนือความคาดหมาย หักล้างทฤษฎี หลักการ ความเชื่อดั้งเดิม เมื่ออยากจะทำอะไรตามใจแบบไทยแท้แล้ว ใครจะว่าอย่างไรก็ช่าง เหตุผล หลักการความถูกต้องดีงามใช้ไม่ได้ทั้งนั้น
เป็นการท้าทายความสามารถและทฤษฎีของนักวิจัยพฤติกรรมมนุษย์ยุคนี้ ในการเมืองระหว่างประเทศคำว่า “Siamese Talk” หรือ “พูดแบบชาวสยาม” ถูกมองว่าเป็นการ “พลิกลิ้น” “พลิกสถานะ” เช่นได้เข้าร่วมวงศ์ไพบูลย์กับญี่ปุ่นในสงครามโลกครั้งที่ 2 รบด้วยกัน แต่มีกลุ่มเสรีไทย ผลสุดท้าย ญี่ปุ่นแพ้แต่ไทยไม่ได้เป็นผู้แพ้ร่วม
โทษใครไม่ได้ทั้งนั้น ทุกชาติย่อมดิ้นรนเพื่อความอยู่รอด เป็นแบบนี้มาทุกสมัย ไม่เลือกว่าจะเป็นชนชาติใด ย่อมต้องพลิกแพลงเพื่อผลประโยชน์ร่วมของตัวเอง
เราได้เอาตัวรอดโดยใช้การทูตแยบยล การต่อรองในบางสถานการณ์คับขันถือว่าเป็นยุทธศาสตร์เยี่ยมยอด เช่นการเลี่ยงไม่ยอมตกเป็นเมืองขึ้นของนักล่าอาณานิคมตะวันตก ซึ่งได้ทำให้เสียพื้นที่ประเทศไทยไปมากกว่าที่เหลือในปัจจุบัน เป็นประเทศเดียวในภูมิภาคนี้ไม่เคยตกเป็นเมืองขึ้นของใคร
สถานการณ์ปัจจุบัน เรากำลังจะได้เห็นมวลชน 2 กลุ่ม ซึ่งมีพฤติกรรม แนวทางปฏิบัติ ความเชื่อ การยึดมั่นพื้นฐานแตกต่างกันคนละขั้ว แต่มีความเหมือนบางอย่างแฝงเร้น เจตนาเพื่อผลประโยชน์เฉพาะกลุ่มซึ่งจะทำให้แปรสภาพเป็นพันธมิตรทางการเมือง สังคม มีศักยภาพสูงในการสร้างวิกฤตรุนแรงให้บ้านเมืองได้ง่าย
ทั้ง 2 มวลชน มีความต้องการเดียวกัน มีจุดยืนเหมือนกัน ทั้งๆ ที่พฤติกรรม หลักปฏิบัติโดยทั่วไป เส้นทางชีวิตแตกต่างกัน แต่ความพิสดารในสภาวะที่ว่า “อะไรๆ ก็เกิดขึ้นได้” ทำให้ 2 มวลชนต้องยึดแนวเดินไปในทิศทางเดียวกันโดยสภาพความจำเป็นบังคับ พร้อมจะกระทำทุกอย่างเพื่อความอยู่รอดของตัวเองและขบวนการร่วม
สภาพการณ์ที่ว่านี้ทำให้วิญญูชน สาธุชน ศาสนิกชน คนทั่วไปสามารถพิจารณาเห็นได้ชัดว่า “ผลประโยชน์” ไม่ว่าจะเป็นไปในรูปแบบใด สามารถเปลี่ยนความคิด ความเชื่อ ความเคยยึดมั่นในหลักการความถูกต้องของมนุษย์ ให้ผิดเพี้ยนไปในทิศทางตรงกันข้ามโดยไม่คำนึงถึงความผิดถูก
ทั้ง 2 กลุ่มกำลังเป็นข่าวในด้านความเคลื่อนไหวอยู่ตรงข้ามกับรัฐบาล ผสมผสานกันในด้านต่อต้านกฎหมาย การเมือง พฤติกรรมซึ่งไม่ยอมรับกระบวนการยุติธรรม ไม่แยแสต่อคำสั่งศาล ทั้งหมายเรียก หมายจับ และหมายค้นเพื่อหาตัวผู้ต้องสงสัยในอาชญากรรมร้ายแรง ท้าทายความสามารถของรัฐบาลว่าจะจัดการได้หรือไม่
กลุ่มแรกคือมวลชนสวมชุดขาว มีบุรุษห่มผ้าเหลืองถูกเรียกว่า “พระ” ร่วมเชื่อถือ ศรัทธา เป็นสาวกลัทธิกรรมกายภายไต้ชื่อ “วัดพระธรรมกาย” โดยมีเจ้าสำนักคือ “พระธัมมชโย” ซึ่งตกเป็นผู้ต้องหาในคดีอาชญากรรมฟอกเงิน ร่วมกันฟอกเงิน รับของโจร
สาวกลัทธินี้มีพฤติกรรมเลื่อมใสใน “พุทธศาสนา” แนวทางการปฏิบัติด้วยการมุ่งเน้นการทำบุญด้วยทรัพย์สินเงินทองในจำนวนยิ่งมากยิ่งดี มีเป้าหมายคือการเข้าถึงสวรรค์ชั้นต่างๆ โดยไม่มีใครพิสูจน์ได้ว่าสวรรค์นั้นมีจริงตามคำอ้างของเจ้าสำนักหรือไม่ ผลที่เห็นได้แล้วคือการสูญเสียทรัพย์สินเงินทอง ครอบครัว มิตรภาพแตกแยก
กลุ่มนี้ฝักใฝ่ธรรมะ มีการปฏิบัติธรรมโดยการนั่งสมาธิ สวดมนต์ภาวนา มีวัตรปฏิบัติค่อนข้างเคร่ง นุ่งห่มชุดขาว เชื่อมั่นในคำสอน “ชิตังเม รวย” พร้อมการเคาะค้อนทองคำชุบราคาหมื่นกว่าบาท เจ้าสำนักบอกว่าเป็นค้อนเคาะประตูสวรรค์ โดยไม่ได้อธิบายว่าจะนำไปด้วยได้อย่างไรหลังจากสิ้นชีวิต นอนอยู่ในโลงศพ รอวันเผาหรือฝัง
ดูแล้ว มวลชนสาวกธรรมกายนุ่งห่มชุดขาวทั้งหญิงและชายน่าจะเป็นสาธุชนคนปฏิบัติดี ยึดมั่นในศีลธรรม รักสันติ ความสงบ เคารพกฎหมายบ้านเมือง ไม่สร้างความเดือดร้อน ไม่น่าจะเป็นปัญหาให้บ้านเมือง พวก “พระ” สังกัดธรรมกายในแนวทางปฏิบัติ การพึ่งพาปัจจัยยังชีพ ควรเป็นผู้ทรงศีลด้วย
ระยะหลัง การขยายอาณาจักรทำให้การตลาดด้วยการทำบุญลามไปเป็นพิธีกรรมธุดงค์ในเมือง เอากลีบดอกไม้โรยเป็นทางยาวให้พวกนุ่งห่มผ้าเหลืองเดินให้สาวกกราบไหว้ สร้างความเดือดร้อนรำคาญให้ประชาชนผู้ไม่ได้มีส่วนร่วมด้วย
หนักข้อ พิธีกรรมนี้ถูกต่อต้านโดยประชาชนหลายพื้นที่ จนต้องระงับ จำกัดกิจกรรมอยู่ในพื้นที่อาณาจักรของตัวเองไม่สามารถขยายงานการขายตรงได้ง่าย
แม้จะถูกมองด้วยความน่าสงสัย เนื่องด้วยพฤติกรรมผิดแผกจากหลักศาสนาพุทธ ตัวเจ้าสำนักเป็นเป้าหมายของเสียงซุบซิบ คำร่ำลือ ความฉาวเรื่องเงินทอง ความประพฤติ คำสอนพิสดาร การละเมิดกฎหมาย แต่รอดคดีมาได้ด้วยพลังหนุนและอำนาจเงินมหาศาล สาวกนุ่งห่มเหลืองถูกมองว่ามีบางกลุ่มนิยมพฤติกรรมก้าวร้าวรุนแรง
ล่าสุด เจ้าสำนักมีปัญหากับกฎหมาย ต้องหาในคดีอาญาร้ายแรง แต่อ้างอาการป่วย 8 โรคร้ายใช้ปฏิเสธหมายของศาล เช่นหมายเรียก หมายจับ และหมายค้นในสำนัก แวดล้อม ปกป้องโดยสาวกหลายวิธี ขัดขวาง ไม่ยอมรับกระบวนการยุติธรรมและอำนาจของรัฐไทย เจ้าหน้าที่ดีเอสไอและหน่วยอื่นๆ ไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ใด้สำเร็จ
สาวกนุ่งห่มขาวกำลังถูกดำเนินคดีทางกฎหมายด้วยเหตุขัดขวางการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ ยอมนั่งกลางแจ้งหลายชั่วโมงสกัดกั้นไม่ให้เจ้าหน้าที่เข้าถึงตัวเจ้าสำนัก และยังพร้อมจะทำแบบเดียวกันเพื่อปกป้องไม่ให้เจ้าสำนักเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม
อีกกลุ่มคือสาวกของเหลี่ยมเร่ร่อน แกนนำมีประสบการณ์ถูกขังตะรางชั่วคราวในคดีเกี่ยวกับความมั่นคง ก่อการร้าย มีปัญหากับกระบวนการยุติธรรมและกฎหมายบ้านเมืองหลายปี รวมทั้งการเผาบ้าน เผาเมือง ฆ่าทหาร ทำร้ายประชาชน สารพัดข้อหา
กลุ่มนี้ทำทุกอย่างเพื่อเหลี่ยมร้าย เป็นทั้งมวลชนเคลื่อนไหวทางการเมือง เป็นสมาชิกพรรคการเมืองเหลี่ยม ทำทุกอย่างเพื่อให้นายเงินและตัวเองพ้นจากคดีอาญา อาชญากรรมร้ายแรง เพราะดูแล้วมีโอกาสติดคุกยาวนานไม่ได้เห็นเดือนเห็นตะวัน
กลุ่มมวลชนนุ่งห่มขาว สาวกนุ่งห่มเหลือง มีผู้นำ สถานะมั่งคั่ง ไม่อยากติดคุก ให้เล่ห์เพทุบายสารพัดเพื่อไม่ยอมให้ถูกจับกุม ประณามพวกเดียวกันว่าเป็น “พระแท้ พระเทียม” และ “สาวกชุดขาวแท้ ขาวเทียม” ขึ้นอยู่กับการอ้างว่าอย่างใดได้ประโยชน์
กลุ่มเสื้อแดงสาวกเหลี่ยม ไม่อยากให้ตัวเองและนายทาสติดคุก ทำทุกอย่างเช่นเดียวกันเพื่อเลี่ยงคุก มีพฤติกรรมเป็นภัยต่อความมั่นคงร้ายแรง ความจริงที่น่าสะพรึงกลัวคือทั้ง 2 กลุ่มมีความเชื่อมโยงกัน อุปถัมภ์ซึ่งกันและกัน เจ้านายพวกเดียวกัน มีผลประโยชน์ด้านฐานกำลังทางการเมืองร่วมกันเพื่อความเป็นใหญ่
ฝ่ายหนึ่งต้องการเป็นใหญ่ด้านศาสนาจักร อีกฝ่ายอยากเป็นใหญ่ด้านอาณาจักรการเมืองอีกรอบ ถ้าสำเร็จจะเป็นการสมประโยชน์ของทั้ง 2 ฝ่าย น่าพิสดารจริงๆ เมื่อกลุ่มผู้ถือศีล ปฏิบัติธรรมกลับมีพฤติกรรมไม่ต่างจากมวลชนของเหลี่ยมเร่ร่อน และพร้อมจะร่วมมือ ประสานพลังเพื่อให้ได้ชัยชนะทางการเมืองเพื่อรอดพ้นจากคดีอาญา
เพียงแค่นี้ เราไม่เพียงได้เห็นสภาพ “ดีแท้ ดีเทียม ชั่วแท้ ชั่วชั่วคราว” แต่เห็นมิตรภาพระหว่างนักปฏิบัติธรรมนุ่งห่มขาวและเหลืองฝ่ายหนึ่ง และแกนนำเสื้อแดงนักสู้แล้วรวย พร้อมที่จะทำทุกอย่างเพื่อเปลี่ยนแปลงคนกุมอำนาจรัฐ แม้จะนำไปสู่มิคสัญญียืดเยื้อนบ้านเมืองเสี่ยงต่อการล่มสลายก็ตาม
โดย โสภณ องค์การณ์
อเมซิ่งไทยแลนด์ดินแดนสยามเมืองยิ้มของพวกเรานั้นมักจะมีปรากฏการณ์ รูปแบบพฤติกรรมแปลกๆ ของชาวบ้าน บางครั้งถึงขั้นเพี้ยนหนักเหนือความคาดหมาย หักล้างทฤษฎี หลักการ ความเชื่อดั้งเดิม เมื่ออยากจะทำอะไรตามใจแบบไทยแท้แล้ว ใครจะว่าอย่างไรก็ช่าง เหตุผล หลักการความถูกต้องดีงามใช้ไม่ได้ทั้งนั้น
เป็นการท้าทายความสามารถและทฤษฎีของนักวิจัยพฤติกรรมมนุษย์ยุคนี้ ในการเมืองระหว่างประเทศคำว่า “Siamese Talk” หรือ “พูดแบบชาวสยาม” ถูกมองว่าเป็นการ “พลิกลิ้น” “พลิกสถานะ” เช่นได้เข้าร่วมวงศ์ไพบูลย์กับญี่ปุ่นในสงครามโลกครั้งที่ 2 รบด้วยกัน แต่มีกลุ่มเสรีไทย ผลสุดท้าย ญี่ปุ่นแพ้แต่ไทยไม่ได้เป็นผู้แพ้ร่วม
โทษใครไม่ได้ทั้งนั้น ทุกชาติย่อมดิ้นรนเพื่อความอยู่รอด เป็นแบบนี้มาทุกสมัย ไม่เลือกว่าจะเป็นชนชาติใด ย่อมต้องพลิกแพลงเพื่อผลประโยชน์ร่วมของตัวเอง
เราได้เอาตัวรอดโดยใช้การทูตแยบยล การต่อรองในบางสถานการณ์คับขันถือว่าเป็นยุทธศาสตร์เยี่ยมยอด เช่นการเลี่ยงไม่ยอมตกเป็นเมืองขึ้นของนักล่าอาณานิคมตะวันตก ซึ่งได้ทำให้เสียพื้นที่ประเทศไทยไปมากกว่าที่เหลือในปัจจุบัน เป็นประเทศเดียวในภูมิภาคนี้ไม่เคยตกเป็นเมืองขึ้นของใคร
สถานการณ์ปัจจุบัน เรากำลังจะได้เห็นมวลชน 2 กลุ่ม ซึ่งมีพฤติกรรม แนวทางปฏิบัติ ความเชื่อ การยึดมั่นพื้นฐานแตกต่างกันคนละขั้ว แต่มีความเหมือนบางอย่างแฝงเร้น เจตนาเพื่อผลประโยชน์เฉพาะกลุ่มซึ่งจะทำให้แปรสภาพเป็นพันธมิตรทางการเมือง สังคม มีศักยภาพสูงในการสร้างวิกฤตรุนแรงให้บ้านเมืองได้ง่าย
ทั้ง 2 มวลชน มีความต้องการเดียวกัน มีจุดยืนเหมือนกัน ทั้งๆ ที่พฤติกรรม หลักปฏิบัติโดยทั่วไป เส้นทางชีวิตแตกต่างกัน แต่ความพิสดารในสภาวะที่ว่า “อะไรๆ ก็เกิดขึ้นได้” ทำให้ 2 มวลชนต้องยึดแนวเดินไปในทิศทางเดียวกันโดยสภาพความจำเป็นบังคับ พร้อมจะกระทำทุกอย่างเพื่อความอยู่รอดของตัวเองและขบวนการร่วม
สภาพการณ์ที่ว่านี้ทำให้วิญญูชน สาธุชน ศาสนิกชน คนทั่วไปสามารถพิจารณาเห็นได้ชัดว่า “ผลประโยชน์” ไม่ว่าจะเป็นไปในรูปแบบใด สามารถเปลี่ยนความคิด ความเชื่อ ความเคยยึดมั่นในหลักการความถูกต้องของมนุษย์ ให้ผิดเพี้ยนไปในทิศทางตรงกันข้ามโดยไม่คำนึงถึงความผิดถูก
ทั้ง 2 กลุ่มกำลังเป็นข่าวในด้านความเคลื่อนไหวอยู่ตรงข้ามกับรัฐบาล ผสมผสานกันในด้านต่อต้านกฎหมาย การเมือง พฤติกรรมซึ่งไม่ยอมรับกระบวนการยุติธรรม ไม่แยแสต่อคำสั่งศาล ทั้งหมายเรียก หมายจับ และหมายค้นเพื่อหาตัวผู้ต้องสงสัยในอาชญากรรมร้ายแรง ท้าทายความสามารถของรัฐบาลว่าจะจัดการได้หรือไม่
กลุ่มแรกคือมวลชนสวมชุดขาว มีบุรุษห่มผ้าเหลืองถูกเรียกว่า “พระ” ร่วมเชื่อถือ ศรัทธา เป็นสาวกลัทธิกรรมกายภายไต้ชื่อ “วัดพระธรรมกาย” โดยมีเจ้าสำนักคือ “พระธัมมชโย” ซึ่งตกเป็นผู้ต้องหาในคดีอาชญากรรมฟอกเงิน ร่วมกันฟอกเงิน รับของโจร
สาวกลัทธินี้มีพฤติกรรมเลื่อมใสใน “พุทธศาสนา” แนวทางการปฏิบัติด้วยการมุ่งเน้นการทำบุญด้วยทรัพย์สินเงินทองในจำนวนยิ่งมากยิ่งดี มีเป้าหมายคือการเข้าถึงสวรรค์ชั้นต่างๆ โดยไม่มีใครพิสูจน์ได้ว่าสวรรค์นั้นมีจริงตามคำอ้างของเจ้าสำนักหรือไม่ ผลที่เห็นได้แล้วคือการสูญเสียทรัพย์สินเงินทอง ครอบครัว มิตรภาพแตกแยก
กลุ่มนี้ฝักใฝ่ธรรมะ มีการปฏิบัติธรรมโดยการนั่งสมาธิ สวดมนต์ภาวนา มีวัตรปฏิบัติค่อนข้างเคร่ง นุ่งห่มชุดขาว เชื่อมั่นในคำสอน “ชิตังเม รวย” พร้อมการเคาะค้อนทองคำชุบราคาหมื่นกว่าบาท เจ้าสำนักบอกว่าเป็นค้อนเคาะประตูสวรรค์ โดยไม่ได้อธิบายว่าจะนำไปด้วยได้อย่างไรหลังจากสิ้นชีวิต นอนอยู่ในโลงศพ รอวันเผาหรือฝัง
ดูแล้ว มวลชนสาวกธรรมกายนุ่งห่มชุดขาวทั้งหญิงและชายน่าจะเป็นสาธุชนคนปฏิบัติดี ยึดมั่นในศีลธรรม รักสันติ ความสงบ เคารพกฎหมายบ้านเมือง ไม่สร้างความเดือดร้อน ไม่น่าจะเป็นปัญหาให้บ้านเมือง พวก “พระ” สังกัดธรรมกายในแนวทางปฏิบัติ การพึ่งพาปัจจัยยังชีพ ควรเป็นผู้ทรงศีลด้วย
ระยะหลัง การขยายอาณาจักรทำให้การตลาดด้วยการทำบุญลามไปเป็นพิธีกรรมธุดงค์ในเมือง เอากลีบดอกไม้โรยเป็นทางยาวให้พวกนุ่งห่มผ้าเหลืองเดินให้สาวกกราบไหว้ สร้างความเดือดร้อนรำคาญให้ประชาชนผู้ไม่ได้มีส่วนร่วมด้วย
หนักข้อ พิธีกรรมนี้ถูกต่อต้านโดยประชาชนหลายพื้นที่ จนต้องระงับ จำกัดกิจกรรมอยู่ในพื้นที่อาณาจักรของตัวเองไม่สามารถขยายงานการขายตรงได้ง่าย
แม้จะถูกมองด้วยความน่าสงสัย เนื่องด้วยพฤติกรรมผิดแผกจากหลักศาสนาพุทธ ตัวเจ้าสำนักเป็นเป้าหมายของเสียงซุบซิบ คำร่ำลือ ความฉาวเรื่องเงินทอง ความประพฤติ คำสอนพิสดาร การละเมิดกฎหมาย แต่รอดคดีมาได้ด้วยพลังหนุนและอำนาจเงินมหาศาล สาวกนุ่งห่มเหลืองถูกมองว่ามีบางกลุ่มนิยมพฤติกรรมก้าวร้าวรุนแรง
ล่าสุด เจ้าสำนักมีปัญหากับกฎหมาย ต้องหาในคดีอาญาร้ายแรง แต่อ้างอาการป่วย 8 โรคร้ายใช้ปฏิเสธหมายของศาล เช่นหมายเรียก หมายจับ และหมายค้นในสำนัก แวดล้อม ปกป้องโดยสาวกหลายวิธี ขัดขวาง ไม่ยอมรับกระบวนการยุติธรรมและอำนาจของรัฐไทย เจ้าหน้าที่ดีเอสไอและหน่วยอื่นๆ ไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ใด้สำเร็จ
สาวกนุ่งห่มขาวกำลังถูกดำเนินคดีทางกฎหมายด้วยเหตุขัดขวางการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ ยอมนั่งกลางแจ้งหลายชั่วโมงสกัดกั้นไม่ให้เจ้าหน้าที่เข้าถึงตัวเจ้าสำนัก และยังพร้อมจะทำแบบเดียวกันเพื่อปกป้องไม่ให้เจ้าสำนักเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม
อีกกลุ่มคือสาวกของเหลี่ยมเร่ร่อน แกนนำมีประสบการณ์ถูกขังตะรางชั่วคราวในคดีเกี่ยวกับความมั่นคง ก่อการร้าย มีปัญหากับกระบวนการยุติธรรมและกฎหมายบ้านเมืองหลายปี รวมทั้งการเผาบ้าน เผาเมือง ฆ่าทหาร ทำร้ายประชาชน สารพัดข้อหา
กลุ่มนี้ทำทุกอย่างเพื่อเหลี่ยมร้าย เป็นทั้งมวลชนเคลื่อนไหวทางการเมือง เป็นสมาชิกพรรคการเมืองเหลี่ยม ทำทุกอย่างเพื่อให้นายเงินและตัวเองพ้นจากคดีอาญา อาชญากรรมร้ายแรง เพราะดูแล้วมีโอกาสติดคุกยาวนานไม่ได้เห็นเดือนเห็นตะวัน
กลุ่มมวลชนนุ่งห่มขาว สาวกนุ่งห่มเหลือง มีผู้นำ สถานะมั่งคั่ง ไม่อยากติดคุก ให้เล่ห์เพทุบายสารพัดเพื่อไม่ยอมให้ถูกจับกุม ประณามพวกเดียวกันว่าเป็น “พระแท้ พระเทียม” และ “สาวกชุดขาวแท้ ขาวเทียม” ขึ้นอยู่กับการอ้างว่าอย่างใดได้ประโยชน์
กลุ่มเสื้อแดงสาวกเหลี่ยม ไม่อยากให้ตัวเองและนายทาสติดคุก ทำทุกอย่างเช่นเดียวกันเพื่อเลี่ยงคุก มีพฤติกรรมเป็นภัยต่อความมั่นคงร้ายแรง ความจริงที่น่าสะพรึงกลัวคือทั้ง 2 กลุ่มมีความเชื่อมโยงกัน อุปถัมภ์ซึ่งกันและกัน เจ้านายพวกเดียวกัน มีผลประโยชน์ด้านฐานกำลังทางการเมืองร่วมกันเพื่อความเป็นใหญ่
ฝ่ายหนึ่งต้องการเป็นใหญ่ด้านศาสนาจักร อีกฝ่ายอยากเป็นใหญ่ด้านอาณาจักรการเมืองอีกรอบ ถ้าสำเร็จจะเป็นการสมประโยชน์ของทั้ง 2 ฝ่าย น่าพิสดารจริงๆ เมื่อกลุ่มผู้ถือศีล ปฏิบัติธรรมกลับมีพฤติกรรมไม่ต่างจากมวลชนของเหลี่ยมเร่ร่อน และพร้อมจะร่วมมือ ประสานพลังเพื่อให้ได้ชัยชนะทางการเมืองเพื่อรอดพ้นจากคดีอาญา
เพียงแค่นี้ เราไม่เพียงได้เห็นสภาพ “ดีแท้ ดีเทียม ชั่วแท้ ชั่วชั่วคราว” แต่เห็นมิตรภาพระหว่างนักปฏิบัติธรรมนุ่งห่มขาวและเหลืองฝ่ายหนึ่ง และแกนนำเสื้อแดงนักสู้แล้วรวย พร้อมที่จะทำทุกอย่างเพื่อเปลี่ยนแปลงคนกุมอำนาจรัฐ แม้จะนำไปสู่มิคสัญญียืดเยื้อนบ้านเมืองเสี่ยงต่อการล่มสลายก็ตาม