ผู้จัดการรายวัน360- "สุวพันธุ์"ปัดข่าว ปลด "พนม" พ้นสำนักพุทธฯ ย้ำยังเดินหน้าแก้ปัญหากันอยู่ "วิษณุ" เซ็งเสียงวิจารณ์รัฐบาลไร้น้ำยาจับ "ธัมมชโย" ป้อง จนท.ทำกันเกือบตาย แขวะถ้าอยากสะใจต้องมีคนตาย “ไพบูลย์” ดักคอคืนเช็คบริจาคก็ไม่พ้นผิดหากโกง ฉุน ผอ.พศ.เกียร์ว่าง “ดีเอสไอ” เร่งคดีเอี่ยวธรรมกาย “กรมสหกรณ์” ลุยฟื้นคดีคลองจั่นย้อนถึงปี 42 “พระนพพร” พาสื่อทัวร์วัดโชว์ไร้อาวุธ “องอาจ” โวเงินบริจาคเป็นหมื่นล้านโกงทำไมแค่ร้อยล้าน
ที่ทำเนียบรัฐบาล นายสุวพันธุ์ ตันยุวรรธนะ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กำกับดูแล สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) กล่าวปฏิเสธกระแสข่าวว่า จะมีการปลด นายพนม ศรศิลป์ ผู้อำนวยการ พศ. ออกจากตำแหน่ง เนื่องจากไม่สนองนโยบายรัฐบาลในกรณีพระเทพญาณมหามุนี หรือพระธัมมชโย เจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย โดยระบุว่า ยังไม่มีการย้าย ผอ.พศ. เพราะยังทำหน้าที่ดีอยู่ ยังสนองงานของรัฐบาล และช่วยกันทำงานอย่างเต็มที่ รวมถึงให้ความร่วมมือกับทุกฝ่าย ขณะที่งานด้านอื่นๆ เช่นการปฏิรูป ก็เดินหน้าไปเช่นเดียวกับการแก้ไขปัญหาวัดพระธรรมกายก็ให้ความร่วมมือ และทุกฝ่ายก็ได้ค่อยๆ แก้ปัญหากันไป
ส่วนความคืบหน้าการดำเนินการกับวัดพระธรรมกาย นายุสวพันธุ์กล่าวว่า ทุกฝ่ายกำลังพยายามแก้ปัญหากันอยู่ และส่วนตัวยังไม่ได้รับรายงานอะไรเพิ่มเติม โดยขอย้ำว่า การดำเนินการใดๆกับวัดพระธรรมกาย ของ พศ. ต้องเป็นไปตามกฎหมาย และตามอำนาจหน้าที่ที่มีอยู่เท่านั้น
** ป้อง จนท.ทำงานเต็มที่แล้ว
ด้าน นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีที่มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ว่า รัฐบาลไม่มีความคืบหน้าใดๆ ในการจับกุมพระธัมมชโย ว่า หน่วยงานที่เกี่ยวข้องก็ทำเต็มที่ทำเกือบตาย กลับมองว่าไม่ได้ทำอะไร แต่ที่ยังทำไม่ได้ เพราะถ้าทำไปแล้วเกิดความเสียหาย และมีผลกระทบกว่า จึงต้องหาวิธีอื่น ซึ่งเห็นว่ามีการประชุมกันอยู่ จึงอยากให้เห็นใจเจ้าหน้าที่ว่า พยายามทำงานกันอยู่
“เขาทำกันเกือบตาย ยังโดนหาว่าไม่ทำอะไร อยากจะให้สะใจก็ได้ แต่ถ้ามีล้มตายกันขึ้นมา จะกลายเป็นปัญหาอื่นอีก” นายวิษณุ ระบุ
** ไม่กดดัน “ดีเอสไอ” ขอหมายค้น
ขณะที่ พล.อ.ไพบูลย์ คุ้มฉายา รมว.ยุติธรรม เปิดเผยถึงการตรวจสอบ ศูนย์ปฏิบัติธรรม เวิร์ลพีซวัลเล่ย์ เขาใหญ่ ตั้งอยู่ บ้านหนองจอก ม.6 ต.โป่งตาลอง อ.ปากช่อง จ.นครราชสีมา จำนวน 480 ไร่ ของวัดพระธรรมกาย ว่า ตนและ พ.ต.อ.ไพสิฐ วงศ์เมือง อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษหรือดีเอสไอ ได้รับรายงานเรื่องดังกล่าวแล้ว โดยเจ้าหน้าที่ก็รู้ว่าจะต้องดำเนินการอย่างไร แต่ตนไม่อยากจะไปชี้นำหรือเร่งรัดและหากเกี่ยวข้องกับอะไรก็ต้องทำไปตามหน้าที่อยู่แล้ว คือ หน้าที่ของใครขอให้ทำหน้าที่อย่างเต็มที่
ส่วนที่ทางโฆษกคณะศิษยานุศิษย์วัดพระธรรมกายบอกระบุว่า หสกมีหลักฐานเช็ค 7 ฉบับ เงิน 400 กว่าล้านบาทก็จะมอบคืนสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนคลองจั่น จำกัดนั้น พล.อ.ไพบูลย์ กล่าวว่า ตนเคยพูดหลายครั้งแล้วว่าถ้าถูกขโมยของไปนำมาคืน และบอกว่าไม่ผิดกฎหมายคงเป็นไปไม่ได้ แต่ก็ต้องตรวจสอบว่า เงินดังกล่าวผิดกฎหมายหรือไม่ ซึ่งอาจจะไม่ผิดก็ได้ ถ้าพิสูจน์ว่าผิดกฎหมายคืนหรือไม่คืนก็ผิดกฎหมาย แต่หากไม่ผิดกฎหมายจะคืนหรือไม่คืนก็ไม่ผิดกฎหมาย
“ต้องพิสูจน์ว่าเงินจำนวนดังกล่าวผิดกฎหมายหรือไม่ ต้องให้ความเป็นธรรมกับทางวัดพระธรรมกายด้วย ในแง่สอบสวนต้องสอบถามอธิบดีดีเอสไอ แต่ทราบว่ามีคนมายื่นเรื่องมาแล้ว และยังไม่ได้ชี้ว่าผิดจนกว่าการสอบสวนจะเป็นที่ยุติ” พล.อ.ไพบูลย์ ระบุ
ผู้สื่อข่าวถามว่า ได้มีการสั่งการให้ดีเอสไอขอหมายค้นใหม่แล้วหรือไม่ ด้าน พล.อ.ไพบูลย์ กล่าวว่า ในทางหลักการ ดีเอสไอสามารถขอหมายค้นได้เอง โดยที่ตนไม่เคยไปถามอธิบดีดีเอสไอว่าขอหรือยัง เพราะต้องขึ้นอยู่กับดีเอสไอว่าพร้อมหรือไม่
** ฮึ่ม “พนม” เกียร์ว่างเด้งแน่
พล.อ.ไพบูลย์ ยังได้เปิดเผยด้วยว่า ตนได้เชิญ ผอ.พศ.มาพูดคุย เพื่อกำชับว่า พศ.ควรมีบทบาทกำหนดหน้าที่ที่เกี่ยวกับพระพุทธศาสนา ศาสนา การประพฤติตนของสงฆ์ การประพฤติตนของผู้ไปปฏิบัติธรรม ต้องดูว่าศาสนสถานเป็นสถานที่ปฏิบัติธรรม ไม่ควรถูกใช้เป็นสถานที่ปฏิบัติในเรื่องที่ไม่สมเหตุสมผล แล้วหากพบ พศ.ต้องตักเตือน
“เรื่องการย้าย ผอ.พศ.เป็นการพูดคุยกันในแง่หลักการว่า ผู้บกพร่องหน้าที่แล้วไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ก็ต้องเปลี่ยนตัว เป็นไปตามหลักการ” พล.อ.ไพบูลย์
** เร่งสรุปคดีโยง “ธรรมกาย”
ทางด้าน พ.ต.ท.สมบูรณ์ สาระสิทธิ์ รองอธิบดีดีเอสไอ เปิดเผยว่า ดีเอสไอจะเร่งสรุปสำนวน 3 คดีที่พบว่ามีข้อมูลเชื่อมโยงไปถึงวัดพระธรรมกาย คือ 1.คดีนายสถาพร วัฒนาศิรินุกุล ซึ่งเป็นผู้บริหารบริษัท เอส.ดับบลิว.โฮลดิ้งกรุ๊ป (ประเทศไทย) 2.คดีเกี่ยวกับการซื้อที่ดินเพื่อนำไปสร้างโรงพยาบาลของวัดพระธรรมกาย และ 3.คดีบริษัท เอ็ม-โฮมฯ ที่เกี่ยวข้องกับการถือหุ้นแทนนายศุภชัย ทั้ง 3 คดีนี้คาดว่าจะเสร็จภายในสิ้นเดือนนี้ ส่วนคดีนายวัฒน์ชานนท์ นวอิสรารักษ์ ประธานสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนรัฐประชา และนายจิรเดช วรเพียลกุล อดีตผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงการคลัง (สมัยนายกิตติรัตน์ ณ ระนอง) ที่ร่วมกันยักยอกทรัพย์มาจากสหกรณ์ฯคาดว่าจะสรุปสำนวนเสร็จภายในเดือน ก.ค. นี้
“ตอนนี้ยังตอบไม่ได้ว่าดีเอสไอจะไปขอศาลออกหมายค้นวัดธรรมกายครั้งที่ 2 เมื่อไหร่ คงต้องรอดูช่วงเวลาที่เหมาะสม จึงจะดำเนินการขอหมายค้น ขอเวลาทำงานอีกสักระยะ” พ.ต.ท.สมบูรณ์ กล่าว
** ลากไส้คดีโกงคลองจั่นฯย้อนปี 42
นายวิณะโรจน์ ทรัพย์ส่งสุข อธิบดีกรมส่งเสริมสหกรณ์ เปิดเผยถึงกรณี พล.อ.ฉัตรชัย สาริกัลยะ รมว.เกษตรและสหกรณ์ สั่งให้กรมส่งเสริมสหกรณ์ และกรมตรวจบัญชีสหกรณ์ รายงานข้อเท็จการทำธุรกรรมทางการเงินของสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนคลองจั่น จำกัด ตั้งแต่ปี 2542 ว่า ตนได้ให้นิติกรของกรมมารายงานข้อมูลทั้งหมด ขณะนี้กำลังรวบรวมการดำเนินการของสหกรณ์ฯตั้งแต่ปี 42 ในข้อเท็จจริง และปัญหาทุจริตเกิดขึ้นจนเกิดความเสียหายกว่า1.4 หมื่นล้านบาทตอนไหน โดย กรมส่งเสริมสหกรณ์ ในฐานะนายทะเบียน และกรมตรวจบัญชีสหกรณ์ ในฐานะรองนายทะเบียน หากพบปัญหาทางบัญชี สามารถบังคับใช้มาตรา 22 ของพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) สหกรณ์ฯ นายทะเบียนมีอำนาจออกคำสั่งให้ปฏิบัติการให้กรรมการแก้ไขข้อบกพร่องภายในเวลาที่กำหนด หรือสั่งให้หยุด ระงับยับยั้งการทำธุรกรรมของสหกรณ์ ให้กรรมการหยุดปฏิบัติหน้าชั่วคราว หรือให้พ้นจากตำแหน่ง ซึ่งแล้วแต่ดุลพินิจของนายทะเบียน โดยในช่วงที่มีปัญหาต่อเนื่องหลายปี ไม่ทราบว่าทั้ง 2 กรมดำเนินการอะไรบ้างและได้ใช้บังคับตามกฎระเบียบสหกรณ์หรือไม่
“รู้สึกเห็นใจสมาชิกสหกรณ์ฯคลองจั่นมาก ใครเดือดร้อนมาพบตนที่กรมฯได้ทุกวัน พร้อมที่จะเปิดรับฟังปัญหาตลอดเวลา เพราะรู้ว่าการไม่ได้เงินคืนมีความเดือนร้อนมาก ถ้าผมถูกโกงก็เดินหน้าฟ้องทุกที่เช่นกัน” นายวิณะโรจน์ กล่าว
ส่วนกรณีที่ดีเอสไอพบเช็คบริจาคเงินจากสหกรณ์ฯคลองจั่นให้พระธัมมชโยเพิ่มอีก 400 กว่าล้านบาทนั้น นายวิณะโรจน์ กล่าวว่า ได้มอบหมายให้กรมตรวจบัญชีสหกรณ์ไล่ตามดูว่ามีการจ่ายไปเมื่อใด ซึ่งกรมตรวจฯเป็นรองนายทะเบียน ดูแลตรวจสอบบัญชีสหกรณ์ทั้งระบบ สำหรับการดำเนินทุจริต ที่สมาชิกระบุว่าอดีตกรรมการสหกรณ์ฯไม่ฟ้องคดีตามที่ดีเอสไอ เสนอและพยายามทำให้สำนวนอ่อน ตนจะรื้อฟืนมาดูทั้งหมดและขอยืนยันพยายามตามเงินมาคืนให้สมาชิกพร้อม ดีเอสไอ และ ปปง.
** “มหานพพร”พาทัวร์วัด-ยันไร้ซุกอาวุธ
ที่วัดพระธรรมกาย พระมหานพพร ปุญญชโย ผู้ช่วยผู้อำนวยการสำนักสื่อสาร วัดพระธรรมกาย นำสื่อมวลชนเยี่ยมภายในอุโบสถของวัดพระธรรมกาย รวมไปถึงใต้ถุนอุโบสถที่เป็นสถานเก็บอุปกรณ์เพื่อใช้ในพิธีอุปสมบท ซึ่งถือว่าเป็นการเปิดให้บุคคลภายนอกเข้าไปชมครั้งแรกหลังจากที่มีการก่อสร้างวัด โดยแบ่งให้สื่อมวลชนเข้าชมชุดละประมาณ 30 คน เนื่องจากเป็นพื้นที่ข้างในค่อนข้างที่จะคับแคบ โดยจากการเข้าไปสำรวจภายในไม่พบสิ่งผิดกฎหมายหรืออาวุธแต่อย่างใด พบใต้ล่างพระอุโบสถเป็นที่เก็บอุปกรณ์เครื่องอุปสมบท พัดลม กระเบื้องหลังคาโบสถ์ ซึ่งสื่อมวลชนที่ลงไปตรวจสอบ ต้องลงลายชื่อเพื่อเป็นสักขีพยานด้วยว่าใต้พระอุโบสถวัดพระธรรมกายไม่มีสิ่งของผิดกฏหมายตามที่ถูกกล่าวอ้างใส่ร้าย
** โวเงินบริจาคเป็นหมื่นล้าน
จากนั้น นายองอาจ ธรรมนิทา โฆษกคณะศิษยานุศิษย์ ได้แถลงข่าวระบุถึงเช็คบริจาคจากสหกรณ์ฯคลองจั่นมูลค่า 400 กว่าล้านบาทที่ดีเอสไอเพิ่งตรวจสอบพบว่า ลูกศิษย์ยังเชื่อมั่นในความบริสุทธิ์ของพระธัมมชโย โดยการรับเช็คบริจาคของพระธัมมชโยรับโดยสุจริต สามารถตรวจสอบเส้นทางการเงินได้ และพระธัมมชโยไม่เคยนำเงินบริจาคมาใช้ส่วนตัว และไม่มีการถ่ายโอนไปให้ นายศุภชัย ศรีศุภอักษร อดีตประธานสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนคลองจั่น จึงไม่ใช่เป็นการฟอกเงิน ทั้งนี้ขอวิงวอนต่อสังคมให้ความเป็นธรรมกับพระธัมมชโยที่กำลังอาพาธหนัก และอย่าเร่งรัดกระบวนการ จนทำให้เกิดความรู้สึกว่ากำลังหาทางกลั่นแกล้ง และดำเนินคดีแบบมีใบสั่ง พร้อมเปรียบเทียบกับคดีกบฏที่ดีเอสไอกลับไม่มีการเร่งรัดแต่ประการใด
“พระเดชพระคุณหลวงพ่อบวชมาแล้ว 47 พรรษา ปฏิบัติธรรมทำความดีมาตลอดชีวิต จะมาทำความผิดฐานฟอกเงิน และรับของโจรทำไมกับเงิน 300 กว่าล้านบาท ในเมื่อปัจจัยที่ญาติโยมถวายเป็นการส่วนตัวเป็นหมื่นล้านบาท” นายองอาจ ระบุ
นายองอาจ กล่าวด้วยว่า อาการอาพาธของพระธัมมชโย ยังมีอาการหนัก ต้องให้ยาแก้ปวด เฝ้าระวังลิ่มเลือดและดูแลอย่างใกล้ชิด ซึ่งมีคณะแพทย์ชุดเดิมและแพทย์ต่างประเทศให้คำแนะนำ ส่วนจะให้แพทย์มาแถลงอาการ ต้องรอพิจารณาอีกครั้ง เนื่องจากแพทย์ที่ไม่เคยมารักษาอาการของพระธัมมชโย มักจะวิจารณ์การรักษาอาการผ่านทางโซเชียล ทำให้เกิดความคลาดเคลื่อน และส่งผลเสียหายตามมา.
ที่ทำเนียบรัฐบาล นายสุวพันธุ์ ตันยุวรรธนะ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กำกับดูแล สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) กล่าวปฏิเสธกระแสข่าวว่า จะมีการปลด นายพนม ศรศิลป์ ผู้อำนวยการ พศ. ออกจากตำแหน่ง เนื่องจากไม่สนองนโยบายรัฐบาลในกรณีพระเทพญาณมหามุนี หรือพระธัมมชโย เจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย โดยระบุว่า ยังไม่มีการย้าย ผอ.พศ. เพราะยังทำหน้าที่ดีอยู่ ยังสนองงานของรัฐบาล และช่วยกันทำงานอย่างเต็มที่ รวมถึงให้ความร่วมมือกับทุกฝ่าย ขณะที่งานด้านอื่นๆ เช่นการปฏิรูป ก็เดินหน้าไปเช่นเดียวกับการแก้ไขปัญหาวัดพระธรรมกายก็ให้ความร่วมมือ และทุกฝ่ายก็ได้ค่อยๆ แก้ปัญหากันไป
ส่วนความคืบหน้าการดำเนินการกับวัดพระธรรมกาย นายุสวพันธุ์กล่าวว่า ทุกฝ่ายกำลังพยายามแก้ปัญหากันอยู่ และส่วนตัวยังไม่ได้รับรายงานอะไรเพิ่มเติม โดยขอย้ำว่า การดำเนินการใดๆกับวัดพระธรรมกาย ของ พศ. ต้องเป็นไปตามกฎหมาย และตามอำนาจหน้าที่ที่มีอยู่เท่านั้น
** ป้อง จนท.ทำงานเต็มที่แล้ว
ด้าน นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีที่มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ว่า รัฐบาลไม่มีความคืบหน้าใดๆ ในการจับกุมพระธัมมชโย ว่า หน่วยงานที่เกี่ยวข้องก็ทำเต็มที่ทำเกือบตาย กลับมองว่าไม่ได้ทำอะไร แต่ที่ยังทำไม่ได้ เพราะถ้าทำไปแล้วเกิดความเสียหาย และมีผลกระทบกว่า จึงต้องหาวิธีอื่น ซึ่งเห็นว่ามีการประชุมกันอยู่ จึงอยากให้เห็นใจเจ้าหน้าที่ว่า พยายามทำงานกันอยู่
“เขาทำกันเกือบตาย ยังโดนหาว่าไม่ทำอะไร อยากจะให้สะใจก็ได้ แต่ถ้ามีล้มตายกันขึ้นมา จะกลายเป็นปัญหาอื่นอีก” นายวิษณุ ระบุ
** ไม่กดดัน “ดีเอสไอ” ขอหมายค้น
ขณะที่ พล.อ.ไพบูลย์ คุ้มฉายา รมว.ยุติธรรม เปิดเผยถึงการตรวจสอบ ศูนย์ปฏิบัติธรรม เวิร์ลพีซวัลเล่ย์ เขาใหญ่ ตั้งอยู่ บ้านหนองจอก ม.6 ต.โป่งตาลอง อ.ปากช่อง จ.นครราชสีมา จำนวน 480 ไร่ ของวัดพระธรรมกาย ว่า ตนและ พ.ต.อ.ไพสิฐ วงศ์เมือง อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษหรือดีเอสไอ ได้รับรายงานเรื่องดังกล่าวแล้ว โดยเจ้าหน้าที่ก็รู้ว่าจะต้องดำเนินการอย่างไร แต่ตนไม่อยากจะไปชี้นำหรือเร่งรัดและหากเกี่ยวข้องกับอะไรก็ต้องทำไปตามหน้าที่อยู่แล้ว คือ หน้าที่ของใครขอให้ทำหน้าที่อย่างเต็มที่
ส่วนที่ทางโฆษกคณะศิษยานุศิษย์วัดพระธรรมกายบอกระบุว่า หสกมีหลักฐานเช็ค 7 ฉบับ เงิน 400 กว่าล้านบาทก็จะมอบคืนสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนคลองจั่น จำกัดนั้น พล.อ.ไพบูลย์ กล่าวว่า ตนเคยพูดหลายครั้งแล้วว่าถ้าถูกขโมยของไปนำมาคืน และบอกว่าไม่ผิดกฎหมายคงเป็นไปไม่ได้ แต่ก็ต้องตรวจสอบว่า เงินดังกล่าวผิดกฎหมายหรือไม่ ซึ่งอาจจะไม่ผิดก็ได้ ถ้าพิสูจน์ว่าผิดกฎหมายคืนหรือไม่คืนก็ผิดกฎหมาย แต่หากไม่ผิดกฎหมายจะคืนหรือไม่คืนก็ไม่ผิดกฎหมาย
“ต้องพิสูจน์ว่าเงินจำนวนดังกล่าวผิดกฎหมายหรือไม่ ต้องให้ความเป็นธรรมกับทางวัดพระธรรมกายด้วย ในแง่สอบสวนต้องสอบถามอธิบดีดีเอสไอ แต่ทราบว่ามีคนมายื่นเรื่องมาแล้ว และยังไม่ได้ชี้ว่าผิดจนกว่าการสอบสวนจะเป็นที่ยุติ” พล.อ.ไพบูลย์ ระบุ
ผู้สื่อข่าวถามว่า ได้มีการสั่งการให้ดีเอสไอขอหมายค้นใหม่แล้วหรือไม่ ด้าน พล.อ.ไพบูลย์ กล่าวว่า ในทางหลักการ ดีเอสไอสามารถขอหมายค้นได้เอง โดยที่ตนไม่เคยไปถามอธิบดีดีเอสไอว่าขอหรือยัง เพราะต้องขึ้นอยู่กับดีเอสไอว่าพร้อมหรือไม่
** ฮึ่ม “พนม” เกียร์ว่างเด้งแน่
พล.อ.ไพบูลย์ ยังได้เปิดเผยด้วยว่า ตนได้เชิญ ผอ.พศ.มาพูดคุย เพื่อกำชับว่า พศ.ควรมีบทบาทกำหนดหน้าที่ที่เกี่ยวกับพระพุทธศาสนา ศาสนา การประพฤติตนของสงฆ์ การประพฤติตนของผู้ไปปฏิบัติธรรม ต้องดูว่าศาสนสถานเป็นสถานที่ปฏิบัติธรรม ไม่ควรถูกใช้เป็นสถานที่ปฏิบัติในเรื่องที่ไม่สมเหตุสมผล แล้วหากพบ พศ.ต้องตักเตือน
“เรื่องการย้าย ผอ.พศ.เป็นการพูดคุยกันในแง่หลักการว่า ผู้บกพร่องหน้าที่แล้วไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ก็ต้องเปลี่ยนตัว เป็นไปตามหลักการ” พล.อ.ไพบูลย์
** เร่งสรุปคดีโยง “ธรรมกาย”
ทางด้าน พ.ต.ท.สมบูรณ์ สาระสิทธิ์ รองอธิบดีดีเอสไอ เปิดเผยว่า ดีเอสไอจะเร่งสรุปสำนวน 3 คดีที่พบว่ามีข้อมูลเชื่อมโยงไปถึงวัดพระธรรมกาย คือ 1.คดีนายสถาพร วัฒนาศิรินุกุล ซึ่งเป็นผู้บริหารบริษัท เอส.ดับบลิว.โฮลดิ้งกรุ๊ป (ประเทศไทย) 2.คดีเกี่ยวกับการซื้อที่ดินเพื่อนำไปสร้างโรงพยาบาลของวัดพระธรรมกาย และ 3.คดีบริษัท เอ็ม-โฮมฯ ที่เกี่ยวข้องกับการถือหุ้นแทนนายศุภชัย ทั้ง 3 คดีนี้คาดว่าจะเสร็จภายในสิ้นเดือนนี้ ส่วนคดีนายวัฒน์ชานนท์ นวอิสรารักษ์ ประธานสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนรัฐประชา และนายจิรเดช วรเพียลกุล อดีตผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงการคลัง (สมัยนายกิตติรัตน์ ณ ระนอง) ที่ร่วมกันยักยอกทรัพย์มาจากสหกรณ์ฯคาดว่าจะสรุปสำนวนเสร็จภายในเดือน ก.ค. นี้
“ตอนนี้ยังตอบไม่ได้ว่าดีเอสไอจะไปขอศาลออกหมายค้นวัดธรรมกายครั้งที่ 2 เมื่อไหร่ คงต้องรอดูช่วงเวลาที่เหมาะสม จึงจะดำเนินการขอหมายค้น ขอเวลาทำงานอีกสักระยะ” พ.ต.ท.สมบูรณ์ กล่าว
** ลากไส้คดีโกงคลองจั่นฯย้อนปี 42
นายวิณะโรจน์ ทรัพย์ส่งสุข อธิบดีกรมส่งเสริมสหกรณ์ เปิดเผยถึงกรณี พล.อ.ฉัตรชัย สาริกัลยะ รมว.เกษตรและสหกรณ์ สั่งให้กรมส่งเสริมสหกรณ์ และกรมตรวจบัญชีสหกรณ์ รายงานข้อเท็จการทำธุรกรรมทางการเงินของสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนคลองจั่น จำกัด ตั้งแต่ปี 2542 ว่า ตนได้ให้นิติกรของกรมมารายงานข้อมูลทั้งหมด ขณะนี้กำลังรวบรวมการดำเนินการของสหกรณ์ฯตั้งแต่ปี 42 ในข้อเท็จจริง และปัญหาทุจริตเกิดขึ้นจนเกิดความเสียหายกว่า1.4 หมื่นล้านบาทตอนไหน โดย กรมส่งเสริมสหกรณ์ ในฐานะนายทะเบียน และกรมตรวจบัญชีสหกรณ์ ในฐานะรองนายทะเบียน หากพบปัญหาทางบัญชี สามารถบังคับใช้มาตรา 22 ของพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) สหกรณ์ฯ นายทะเบียนมีอำนาจออกคำสั่งให้ปฏิบัติการให้กรรมการแก้ไขข้อบกพร่องภายในเวลาที่กำหนด หรือสั่งให้หยุด ระงับยับยั้งการทำธุรกรรมของสหกรณ์ ให้กรรมการหยุดปฏิบัติหน้าชั่วคราว หรือให้พ้นจากตำแหน่ง ซึ่งแล้วแต่ดุลพินิจของนายทะเบียน โดยในช่วงที่มีปัญหาต่อเนื่องหลายปี ไม่ทราบว่าทั้ง 2 กรมดำเนินการอะไรบ้างและได้ใช้บังคับตามกฎระเบียบสหกรณ์หรือไม่
“รู้สึกเห็นใจสมาชิกสหกรณ์ฯคลองจั่นมาก ใครเดือดร้อนมาพบตนที่กรมฯได้ทุกวัน พร้อมที่จะเปิดรับฟังปัญหาตลอดเวลา เพราะรู้ว่าการไม่ได้เงินคืนมีความเดือนร้อนมาก ถ้าผมถูกโกงก็เดินหน้าฟ้องทุกที่เช่นกัน” นายวิณะโรจน์ กล่าว
ส่วนกรณีที่ดีเอสไอพบเช็คบริจาคเงินจากสหกรณ์ฯคลองจั่นให้พระธัมมชโยเพิ่มอีก 400 กว่าล้านบาทนั้น นายวิณะโรจน์ กล่าวว่า ได้มอบหมายให้กรมตรวจบัญชีสหกรณ์ไล่ตามดูว่ามีการจ่ายไปเมื่อใด ซึ่งกรมตรวจฯเป็นรองนายทะเบียน ดูแลตรวจสอบบัญชีสหกรณ์ทั้งระบบ สำหรับการดำเนินทุจริต ที่สมาชิกระบุว่าอดีตกรรมการสหกรณ์ฯไม่ฟ้องคดีตามที่ดีเอสไอ เสนอและพยายามทำให้สำนวนอ่อน ตนจะรื้อฟืนมาดูทั้งหมดและขอยืนยันพยายามตามเงินมาคืนให้สมาชิกพร้อม ดีเอสไอ และ ปปง.
** “มหานพพร”พาทัวร์วัด-ยันไร้ซุกอาวุธ
ที่วัดพระธรรมกาย พระมหานพพร ปุญญชโย ผู้ช่วยผู้อำนวยการสำนักสื่อสาร วัดพระธรรมกาย นำสื่อมวลชนเยี่ยมภายในอุโบสถของวัดพระธรรมกาย รวมไปถึงใต้ถุนอุโบสถที่เป็นสถานเก็บอุปกรณ์เพื่อใช้ในพิธีอุปสมบท ซึ่งถือว่าเป็นการเปิดให้บุคคลภายนอกเข้าไปชมครั้งแรกหลังจากที่มีการก่อสร้างวัด โดยแบ่งให้สื่อมวลชนเข้าชมชุดละประมาณ 30 คน เนื่องจากเป็นพื้นที่ข้างในค่อนข้างที่จะคับแคบ โดยจากการเข้าไปสำรวจภายในไม่พบสิ่งผิดกฎหมายหรืออาวุธแต่อย่างใด พบใต้ล่างพระอุโบสถเป็นที่เก็บอุปกรณ์เครื่องอุปสมบท พัดลม กระเบื้องหลังคาโบสถ์ ซึ่งสื่อมวลชนที่ลงไปตรวจสอบ ต้องลงลายชื่อเพื่อเป็นสักขีพยานด้วยว่าใต้พระอุโบสถวัดพระธรรมกายไม่มีสิ่งของผิดกฏหมายตามที่ถูกกล่าวอ้างใส่ร้าย
** โวเงินบริจาคเป็นหมื่นล้าน
จากนั้น นายองอาจ ธรรมนิทา โฆษกคณะศิษยานุศิษย์ ได้แถลงข่าวระบุถึงเช็คบริจาคจากสหกรณ์ฯคลองจั่นมูลค่า 400 กว่าล้านบาทที่ดีเอสไอเพิ่งตรวจสอบพบว่า ลูกศิษย์ยังเชื่อมั่นในความบริสุทธิ์ของพระธัมมชโย โดยการรับเช็คบริจาคของพระธัมมชโยรับโดยสุจริต สามารถตรวจสอบเส้นทางการเงินได้ และพระธัมมชโยไม่เคยนำเงินบริจาคมาใช้ส่วนตัว และไม่มีการถ่ายโอนไปให้ นายศุภชัย ศรีศุภอักษร อดีตประธานสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนคลองจั่น จึงไม่ใช่เป็นการฟอกเงิน ทั้งนี้ขอวิงวอนต่อสังคมให้ความเป็นธรรมกับพระธัมมชโยที่กำลังอาพาธหนัก และอย่าเร่งรัดกระบวนการ จนทำให้เกิดความรู้สึกว่ากำลังหาทางกลั่นแกล้ง และดำเนินคดีแบบมีใบสั่ง พร้อมเปรียบเทียบกับคดีกบฏที่ดีเอสไอกลับไม่มีการเร่งรัดแต่ประการใด
“พระเดชพระคุณหลวงพ่อบวชมาแล้ว 47 พรรษา ปฏิบัติธรรมทำความดีมาตลอดชีวิต จะมาทำความผิดฐานฟอกเงิน และรับของโจรทำไมกับเงิน 300 กว่าล้านบาท ในเมื่อปัจจัยที่ญาติโยมถวายเป็นการส่วนตัวเป็นหมื่นล้านบาท” นายองอาจ ระบุ
นายองอาจ กล่าวด้วยว่า อาการอาพาธของพระธัมมชโย ยังมีอาการหนัก ต้องให้ยาแก้ปวด เฝ้าระวังลิ่มเลือดและดูแลอย่างใกล้ชิด ซึ่งมีคณะแพทย์ชุดเดิมและแพทย์ต่างประเทศให้คำแนะนำ ส่วนจะให้แพทย์มาแถลงอาการ ต้องรอพิจารณาอีกครั้ง เนื่องจากแพทย์ที่ไม่เคยมารักษาอาการของพระธัมมชโย มักจะวิจารณ์การรักษาอาการผ่านทางโซเชียล ทำให้เกิดความคลาดเคลื่อน และส่งผลเสียหายตามมา.