ผู้จัดการสุดสัปดาห์ - ถือเป็นสัญญาณที่ไม่ธรรมดามากถึงมากที่สุดสำหรับ “ปฏิกิริยา” ของรัฐบาล กองทัพและคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ที่เกิดขึ้นเมื่อวันสุดท้ายของเดือนกุมภาพันธ์ 2560 กับปฏิบัติการตามล่าและจับกุม “พระเทพญาณมหามุนี” (ไชยบูลย์ ธมฺมชโย) เจ้าอาวาสกิตติมศักดิ์ แห่งลัทธิธรรมกาย
เมื่อ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้า คสช.ได้เรียกบรรดา “บิ๊กๆ” เข้าหารืออย่างพร้อมหน้าพร้อมตาที่ ตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล “เร่งด่วน” เป็น “ครั้งแรก”
บิ๊กๆ ที่ว่านั้นประกอบด้วย พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย นายสุวพันธุ์ ตันยุวรรธนะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม พล.อ.เฉลิมชัย สิทธิสาท ผู้บัญชาการทหารบก พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ พ.ต.อ.ไพสิฐ วงศ์เมือง อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ(ดีเอสไอ) และ ผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติคนใหม่จากดีเอสไอ-พ.ต.ท.พงศ์พร พราหมณ์เสน่ห์
เหตุที่เป็นเช่นนั้น ย่อมมีที่มาที่ไป
หนึ่ง เวลาของปฏิบัติการเนิ่นนานเกินไปจนส่งผลสั่นสะเทือนต่ออำนาจรัฏฐาธิปัตย์
และสอง เป็นที่ชัดแจ้งแล้วว่า ขณะนี้ “กลุ่มคนเสื้อแดง” ได้ผนึกกำลังกับ “ลัทธิธรรมกาย” ในการทำลายและมีเป้าหมายเพื่อโค่น “รัฐบาล คสช.” ซึ่งพวกเขาพร้อมแล้วจะใช้ทำทุกวิถีทางในการต่อสู้กับ คสช.
โดยมีกลิ่นอาย “กลยุทธ์-กลศึก” ที่คล้ายคลึงกับการจัดตั้ง “ม็อบเสื้อแดง” ทั้งเมื่อเดือนเมษายน 2552 และชัดยิ่งขึ้นหากเทียบกับ “ราชประสงค์โมเดล” หรือการชุมนุมของแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) เมื่อปี 2553 ที่มีการสูญเสีย “เลือด-เนื้อ” มากกว่า โดยมีกลยุทธ์ที่สำคัญในการปั่นกระแสให้เกิดภาพความรุนแรงขยายตัวไปทั่วโลก เพื่อให้เข้าสูตร “โลกล้อมประเทศ” ที่ “นายใหญ่เสื้อแดง” อย่าง ทักษิณ ชินวัตร หวังให้ “ประชาคมโลก” เข้ามาแทรกแซงสถานการณ์ความขัดแย้งในประเทศ เพื่อหวังลบล้างมลทินความผิดของตัวเอง
เทียบเคียงในระนาบเดียวกับ “ทักษิณ” ที่ไม่ต่างจาก “เจ้าลัทธิเสื้อแดง” ก็คล้ายคลึงกับ “เจ้าลัทธิจานบิน” อย่าง “พระธมฺมชโย” ในวันนี้ ที่ทำทุกวิถีทางเพื่อให้ตัวเองไม่ต้องเข้ารับโทษทัณฑ์ หรือหลบเลี่ยงการเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม แม้จะประกาศปาวๆว่า ตัวเองไม่มีความผิดก็ตาม
สังเกตได้ว่าตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ไม่ว่าจะเป็นก่อนหน้าที่จะมีการประกาศให้วัดพระธรรมกายเป็นพื้นที่ควบคุมพิเศษ หรือในช่วงกว่า 2 สัปดาห์ที่มีประกาศมาตรา 44 ออกมา หากมีเจ้าหน้าที่รัฐย่างกรายเข้าไปในพื้นที่ “วัดจานบิน” เมื่อใด ก็จะมีการกะเกณฑ์พระสงฆ์-สามเณรออกมารับหน้าเป็น “กองทัพผ้าเหลือง” ขัดขวางมิให้เจ้าหน้าที่สามารถปฏิบัติงานได้ตามภารกิจ
หลายครั้งมีความพยายามในการยั่วยุเพื่อหวังกดดันให้เจ้าหน้าที่ยกระดับมาตรการให้เข้มข้นมากขึ้น อย่างกรณีที่จู่ “ชายห่มเหลือง” หลายร้อยชีวิต เดินเรียงแถวเข้าประจันหน้ากับเจ้าหน้าที่ทั้งทหาร-ตำรวจ มีคุมเชิงอยู่ด้านนอกเขตพื้นที่วัด หวังยั่วยุให้เกิดภาพความรุนแรง ซึ่งทุกๆ ครั้งเจ้าหน้าที่ก็ไม่หลงกล และล่าถอยจากการเผชิญหน้า แต่ก็ไม่วายจะมีการปล่อยภาพและข้อมูลจากทางฝ่ายธรรมกาย ว่ามีพระสงฆ์-ลูกศิษย์ได้รับบาดเจ็บจากการปะทะกับเจ้าหน้าที่ ทั้งๆที่ภาพตาม “สื่อหลัก” ที่ออกมามีแต่ทางฝ่ายธรรมกายเท่านั้นที่พยายามเข้าทำร้ายฝ่ายเจ้าหน้าที่
เป็นทาง “ฝ่ายรัฐ” ที่รู้ทันไม่ตกหลุมพราง จนสร้างความหงุดหงิดใจให้แก่ “ฝ่าย เสธ.ธรรมกาย” ไม่น้อย ที่เห็นว่า แค่มีคนเจ็บ 1-2 ราย ก็ยังไม่เข้าล็อกที่หวังปั้น “ทุ่งคลองหลวง” ให้เป็น “ทุ่งสังหาร - สมรภูมิเลือด” กลายเป็นการปั่นกระแสที่ “เบาหวิว” ไม่สามารถสร้างแรงสั่นสะเทือนในวงกว้างได้อย่างที่หวัง
จนเกิดกรณี “อัตวินิบาตกรรม” ของ นายอนวัช ธนเจริญณัฐ ผู้ศรัทธาลัทธิพระธรรมกายที่ตัดสินใจใช้เชือกผูกคอตนเองกับเสาส่งสัญญาณโทรศัพท์ที่ชุมสายโทรศัพท์คลองหลวง หลังพื้นที่ตลาดกลางคลองหลวง เพื่อเรียกร้องให้รัฐบาลยกเลิกการใช้ ม.44 จัดการกับลัทธิธรรมกาย
ความตายของนายอนวัช เป็น “โอกาสทอง” ที่ถูกลัทธิธรรมกาย นำมาจุดพลุตามกลยุทธ์ “แห่ศพ - โหนคนตาย” ในทันทีทันใด ถึงขนาดนำไปเปรียบกับ “วีรบุรุษเสื้อแดง” อย่าง นายนวมทอง ไพรวัลย์ ที่ผูกคอตายเพื่อต่อต้านอำนาจรัฐประหารเมื่อปี 2549 เลยทีเดียว
ไม่กี่วันถัดมาก็เกิด “ศพที่ 2” ซึ่งยิ่งชัดเจนว่ามีการ “Set up” อย่างเป็นระบบมากขึ้น เมื่อ น.ส.พัฒนา เชียงแรง พยาบาลอาสาของวัดพระธรรมกาย เสียชีวิตจากโรคหอบหืดอยู่ในหมู่บ้านศาสนานูปถัมภ์ เฟส 1 ตั้งอยู่ในพื้นที่ 58 ไร่ของวัดพระธรรมกาย เมื่อวันที่ 1 มีนาคม 2560 ที่ผ่านมา ถูกหยิบยกขึ้นมาเป็นประเด็นในการต่อสู้โดยไม่รอช้าเช่นกัน มีการขึ้นป้ายกล่าวหาโจมตีรัฐบาล ม.44 และดีเอสไอ ว่าขัดขวางการเข้าให้ความช่วยเหลือจากเจ้าหน้าที่กู้ภัย แทบจะทันทีที่ น.ส.พัฒนาเสียชีวิต
ทั้งๆ ที่เป็นเรื่องไม่สมควรที่จะนำความตายของผู้คนมาใช้ในการปกป้องพระธัมมชโย โดยเฉพาะเมื่อเรียกขานตัวเองว่าเป็นชาวพุทธ และนับถือศาสนาพุทธ
ส่วนประเด็นความล่าช้าในการช่วยชีวิต น.ส.พัฒนานั้น มีเงื่อนงำที่น่าสนใจ เพราะต่างฝ่ายต่างก็หยิบยกข้อมูลมากล่าวหาและตอบโต้กันอย่างถึงพริกถึงขิง โดยเฉพาะเรื่องห้วงเวลาที่เสียชีวิต ซึ่งต่างกันอย่างมีนัยสำคัญ
โดยฝ่ายธรรมกายก็หยิบเอาแชทไลน์ของผู้เสียชีวิตมาโจมตีว่า หน่วยกู้ชีพเข้าไปถึงตัว น.ส.พัฒนาได้ล่าช้าเพราะติดด่านตรวจของเจ้าหน้าที่ตำรวจ ทหาร และการประสานขออนุญาตจากดีเอสไอ ขณะที่ฝ่ายรัฐ พล.ท. สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ก็ประกาศชัดเจนว่า ผู้ตายได้เสียชีวิตมาแล้วไม่น้อยกว่า 5 ชม. ก่อนที่เจ้าหน้าที่จะได้รับการประสานจากญาติ เพื่อขอรถพยาบาลนำตัวผู้ป่วยไปยังโรงพยาบาล ซึ่งก็สอดคล้องกับข้อมูลจากเจ้าหน้าที่กู้ภัยว่าไม่ได้ติดขัดด่านตรวจของเจ้าหน้าที่ และได้เดินทางไปถึงที่เกิดเหตุหลังจากได้รับแจ้งไม่นานอย่างที่ฝ่ายธรรมกายพยายามให้ข้อมูล
ท่าทีของฝ่ายธรรมกายต่อการตายของ น.ส.พัฒนานั้น โดยเฉพาะการผลิตป้ายโจมตี ม.44 ว่าเป็นสาเหตุการตาย ก็ไม่ต่างกับป้าย “ที่นี่มีคนตาย” ที่ “คนเสื้อแดง” เคยนำไปชูอยู่หน้าป้ายแยกราชประสงค์ ในระหว่างการชุมนุมเมื่อช่วงปี 2553 ทั้งที่ข้อเท็จจริงแล้ว แม้จะมีการการปะทะที่รุนแรงในหลายจุด แต่ความเป็นจริงแล้วไม่เคยมีผู้เสียชีวิตที่แยกราชประสงค์จากการชุมนุมทางการเมืองในครั้งนั้น
ต่างๆ เหล่านี้ เป็น “ร่องรอย” ที่ยิ่งตอกย้ำว่า “เพื่อไทย - คนเสื้อแดง” ในนาม “ระบอบทักษิณ” กับ “ลัทธิธรรมกาย” นั้นมีการหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกันอย่างแยกไม่ออก ไม่ว่าจะปฏิเสธอย่างไร ก็ฟังไม่ขึ้น เพราะเป็นที่ชัดแจ้งแล้วว่า บัดนี้เป้าหมายทั้งกลุ่มตรงกันคือการปกป้อง “เจ้าลัทธิ” ของตัวเอง โดยมีจุดร่วมคือการโค่นล้ม “รัฐบาล คสช.” เพื่อล้มกระดานทุกๆ เรื่องราวที่รัฐบาลทหารกำลังดำเนินการ โดยเฉพาะเรื่องที่อยู่ในกระบวนการยุติธรรม
ตามมาด้วยการโหมกระพือความจงเกลียดจงชังใน “รัฐบาลทหาร” อย่างต่อเนื่อง อย่างเช่นกรณีการปล่อยข่าวล้มเลิกโครงการหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าหรือโครงการ 30 บาทรักษาทุกโรค ไม่เช่นนั้นรัฐบาลจะไม่แถลงย้ำหลังการประชุม คณะรัฐมนตรีติดต่อกันถึง 2 สัปดาห์ว่าไม่เป็นความจริง พร้อมทั้งมีคำยืนยันอย่างหนักแน่นจากสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) แล้วก็ตาม ตลอดจนการสร้างกระแสว่ารับบาลพยายามใช้กรณีธรรมกายกลบข่าวในหลายๆเรื่อง
เป็นการโฆษณาชวนเชื่อที่บิดเบือนความจริง ผ่านกระบวนการย้ำแล้วย้ำอีก คล้าย การสะกดจิตให้เกิดอุปาทานหมู่ดังที่ใช้ในการตะล่อม-กล่อมสาวกให้ควักกระเป๋านำเงินมาทุ่มบริจาคให้แก่วัดจานบิน แต่ครั้งนี้เปลี่ยนเป็นการตีปี๊บปั่นกระแสความไม่พอใจในรัฐบาลทหาร ให้ได้ผลเหมือนที่กลุ่มคนเสื้อแดงเคยทำสำเร็จมาแล้ว และรัฐบาล คสช.ได้ตระหนักถึงสัญญาณอันตรายที่เกิดขึ้น
ที่สำคัญคือกลุ่มคนเสื้อแดงแห่งรัฐไทยใหม่ฟันธงเปรี้ยงแล้วว่า หนทางเดียวที่จะโค่นรัฐบาลใช้กรณีธรรมกายเป็นชนวนเหตุในการเคลื่อนไหว
สัญญาณอันไม่ปกติเกิดขึ้นเป็นลำดับหลังการตายของ นายอนวัช ธนเจริญณัฐ เมื่อเจ้าหน้าที่ทหารชุดลาดตระเวนของ ร.2 พัน 3 รอ. บริเวณโดยรอบวัดพระธรรมกาย ตรวจพบรถยนต์ต้องสงสัย ยี่ห้อเล็กซัส เลขทะเบียน ธท 5999 กรุงเทพมหานคร จึงขออนุญาตตรวจค้นภายในรถและพบกระดาษโปสเตอร์เขียนคำว่า นายอนวัช ธนเจริญณัฐ วีรบุรุษชาวพุทธ เสียสละชีวิตให้เลิก ม.44 เมื่อวันที่ 25 กุมภาพันธ์ 2560 ที่ผ่านมา
โดยผู้ขับขี่รถคันนี้ มีนามว่า พล.ต.ต.รุ่งโรจน์ เภกะนันทน์ อายุ 73 ปี อดีต ผบก.ภ.จว .พระนครศรีอยุธยา และไม่ใช่เพียงเคยเป็นนายตำรวจใหญ่เท่านั้น “ผู้การรุ่งโรจน์” ยังเป็นอดีตผู้สมัคร ส.ส.กรุงเทพมหานคร เขต 1 (พระนคร ป้อมปราบ สัมพันธวงศ์) พรรคเพื่อไทย เมื่อปี 2554 อีกด้วย
เป็น “ผู้การรุ่งโรจน์” ที่ศรัทธาในลัทธิธรรมกายถึงขั้นเคยบวชและออกโรงชักชวนให้คนอื่นบวชกับวัดพระธรรมกายมาแล้ว
“หลวงพ่อครับ ในช่วงนี้ผมถือว่าการออกมาทำหน้าที่ชวนบวช เป็นหน้าที่หลักในชีวิตครับ ซึ่งผมก็ชวนคนบวชมาตลอดหลายโครงการ และไม่เพียงแค่ชวนคนอื่นบวชเท่านั้น ตัวผมเองก็เคยบวชในโครงการของวัดพระธรรมกายมาแล้วหลายโครงการครับ ทำให้ซาบซึ้งและมั่นใจว่าหลักสูตรการบวชของวัดพระธรรมกายนั้นดีจริงๆ เมื่อผมได้พบกับความสุขแล้ว ผมจึงอยากให้โอกาสแมนแมนน้องๆลูกๆหลานๆได้มาบวชอย่างผมบ้างครับ
“หลวงพ่อครับ ผมไม่ได้แค่ชวนคนบวชทุกวันนะครับ แต่ผมชวนคนบวชทุกลมหายใจ คือ เห็นใครเป็นต้องชวนเอาไว้ก่อน และช่วงนี้ผมกับทีมงานได้ตั้งบูธชวนบวชตามสถานที่สำคัญหลายแห่งทั่ว กทม. เช่น สถานีรถไฟหัวลำโพง สถานีรถไฟบางซื่อ สถานีขนส่งหมอชิต สายใต้ สนามบินดอนเมือง และ อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ เป็นต้น และเรายังได้วิ่งรถกระจายเสียงประชาสัมพันธ์ชวนบวช ที่เขตพระนครอีกด้วยครับ โดยทุกที่จะมีทีมงานหมุนเวียนลงพื้นที่ทุกวัน ยิ่งแดดร้อน ยิ่งเหงื่อออก ยิ่งฝนตก เราก็ยิ่งได้บุญเยอะครับ เพราะเราเกิดมาสร้างบารมี ถ้าเราไม่ออกไปทำหน้าที่ แล้วเราจะเอาบารมีมาจากที่ไหน…”
นั่นคือข้อความที่ พล.ต.ต.รุ่งโรจน์เขียนเอาไว้ในเว็บไซต์วัดพระธรรมกายในหัวข้อ “ทบทวนฝันในฝัน วันที่ 26 มิถุนายน พ.ศ. 2556 จดหมายจากลูกพระธัมฯพันธุ์ฮาร์ดคอร์” ตอน...ชวนบวชกันสนั่น ลือลั่นทั่ว กทม. (เรียบเรียงจากรายการโรงเรียนอนุบาลในฝันวิทยา)
ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา การเคลื่อนไหวของ พล.ต.ต.รุ่งโรจน์ เป็นไปในทิศทางเดียวกับลัทธิธรรมกาย เช่น การเดินหน้าผลักดันให้บรรจุ “พุทธศาสนา” ให้เป็นศาสนาประจำชาติไว้ในรัฐธรรมนูญไทย เป็นต้น
ไม่เพียงเท่านั้น การปรากฏตัวของคนเสื้อแดงที่หลอมรวมเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับลัทธิธรรมกายยังมีให้เห็นอย่างต่อเนื่อง เช่น กรณีที่ นายศักดิ์ชวิศ อรรถศิลปเลขา ศิษย์วัดพระธรรมกาย และสมาชิกคนเสื้อแดง จ.สมุทรปราการ ที่ลุกขึ้นมาถือป้ายปกป้องพุทธศาสนาและสนับสนุนวัดพระธรรมกาย ที่บริเวณแยกเทพารักษ์ อ.เมือง จ.สมุทรปราการ ก่อนจะนำภาพดังกล่าวโพสต์ลงเฟซบุ๊กส่วนตัวเมื่อวันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2560 จนถูกออกหมายเรียก
การ์ดเสื้อแดงสายฮาร์ดคอร์ก็เคยโผล่ไปร่วมปกป้องพระธัมมชโยมาแล้ว ก่อนที่จะถูกจับได้และจำต้องถอยร่นออกมาก่อนที่พากันพินาศฉิบหาย
หรือกรณีของ “บก.ลายจุด” สมบัติ บุญงามอนงค์ แนวร่วมคนเสื้อแดงตัวเอ้ที่แสดงความคิดเห็นเคียงข้างวัดพระธรรมกายอย่างต่อเนื่อง เช่น การโพสต์แนะนำให้พระวัดพระธรรมกาย 14 รูปที่ถูก คสช.เรียกไปรายงานตัวว่า “เรียนพระคุณเจ้าทั้ง 14 รูปที่ถูกประกาศ คสช. เรียกรายงานตัว ในฐานะที่ข้าพเจ้าเคยถูกเรียกโดยประกาศดังกล่าวมาก่อน จึงขอเรียนให้ทราบว่า หากท่านไม่ไปรายงานตัวแล้วต่อสู้คดีในชั้นศาล เป็นไปได้อย่างมากว่าจะถูกรอลงอาญาและถูกปรับเงินสัก 3 พันบาท จึงเรียนมาเพื่อทราบ โปรดเตรียมค่าปรับไว้ด้วย”
จากนั้นก็พาลพะโลปกป้องพวกตัวเองด้วยการโพสต์แขวะ “อุ๋ย บุดด้าเบลส” แบบข้างๆ คูๆ ทั้งๆ ที่เป็นคนละเรื่องเดียวกัน ซึ่งไม่อาจตีความเป็นอย่างอื่นว่า บก.ลายจุดมีจุดยืนเดียวกับลัทธิธรรมกายเหมือนที่มีจุดยืนเดียวกับระบอบทักษิณและกลุ่มคนเสื้อแดง
ทั้งนี้ หากไล่เรียงความสัมพันธ์ระหว่างระบอบทักษิณกับลัทธิธรรมกายก็จะเห็นได้ว่า พวกเขาแนบแน่นกันตั้งแต่ “หัวขบวน” ยัน “ท้ายแถว” ขณะที่ยุทธศาสตร์และยุทธวิธีการต่อสู้ก็แทบจะโขลกออกมาจากพิมพ์เดียวกัน โดยยึดโยงอยู่กับ “แนวทางทุนนิยมสุดขั้ว”
“นช.หนีคดี” ทักษิณ ชินวัตร พร้อมครอบครัว ทั้งคุณหญิงพจมาน-นายพานทองแท้ ต่างก็ล้วนแล้วแต่เคยสวม “เครื่องแบบธรรมกาย” ไปร่วมงานบุญของทางวัดปรากฏเป็นภาพหลักฐานอยู่ทั่วโลกออนไลน์ เช่นเดียวกับน้องรัก “หนูปู” ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เมื่อครั้งเป็นนายกรัฐมนตรี ก็เคยยกคณะรัฐมนตรีไปร่วมอีเว้นท์ของทางธรรมกายหลายครั้ง กระทั่ง “ธุดงค์ดอกดาวรวย” เธอก็เคยไปเบียดเสียดแย่งโปรยดอกดาวเรืองเพื่อให้ภิกษุธรรมกายเดินนุ่มสบายเท้ากันมาแล้ว
นักการเมืองของระบอบทักษิณหลายคนก็ฝักใฝ่ลัทธิธรรมกาย ที่เห็นชัดก็คือ “ลีลาวดี วัชโรบล” ที่ประกาศตัวเป็นอัครสาวก หรือ “สุชาติ ธาดาธำรงเวช” สมัยเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ก็เคยประกาศนโยบายแกมบังคับให้สถานศึกษานำนักเรียน นักศึกษาไปอบรมธรรมะที่วัดสระเกศ วัดพระธรรมกาย หรือสถานปฏิบัติธรรมในเครือมาแล้ว
ส่วนระดับนำทางการเมืองที่โผล่ออกมาแสดงตัวให้เห็นก็คือ “เดอะโต้งไวท์ลาย” นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังที่อยู่ๆ ก็แต่งชุดเครื่องแบบธรรมกายไปใส่บาตรพระแถวๆ ย่านคลองหลวง ปทุมธานี ในขณะที่สถานการณ์กำลังเข้าด้ายเข้าเข็มเสียอย่างนั้น เฉกเช่นเดียวกับ เสี่ยไก่-วัฒนา เมืองสุข ยงยุทธ ติยะไพรัช และหัวโจกคนเสื้อแดงอย่าง นพ.เหวง โตจิราการ หรือ ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ที่เลือกที่จะเข้าข้างลัทธิธรรมกายแบบสุดลิ่ม โดยไม่ลืมที่จะโยงกลับมาเป็นประเด็นทางการเมืองตามที่ถนัด
ยิ่ง “หมอเหวง” ยิ่งเห็นได้ชัด เพราะเคยโชว์เหวงๆออกมาให้สังคมได้รับทราบชัดเจนผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัวถึงความเป็นเนื้อเดียวกันของคนเสื้อแดง ระบอบทักษิณและลัทธิธรรมกายมาแล้วว่า “...การรุกโจมตีวัดพระธรรมกาย ด้วยข้อกล่าวหาที่ร้ายแรงว่า เป็นปาราชิกอวดอุตริมนุสธรรม เป็นการพุ่งปลายหอกเพื่อทำลายกลุ่มพระสงฆ์ที่เป็นฐานกำลังสำคัญของฝ่ายประชาธิปไตย ฝ่ายคนเสื้อแดง ฝ่ายแนวร่วมต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ และฝ่าย พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี”
นี่ไม่นับรวมถึงแดงฮาร์ดคอร์แห่งเมืองปทุมธานี “โกตี๋- วุฒิพงศ์ กชธรรมคุณ” ผู้ที่มีสายสัมพันธ์อันแนบแน่นกับ “แจ๊ดมีวันนี้เพราะพี่ให้” ซึ่งแม้ตัวจะหนีอาญาบ้านเมืองไปอยู่ประเทศลาว แต่ก็ไม่วายปลุกระดมมวลชนคนเสื้อแดงในย่านปทุมธานีและละแวกใกล้เคียงผ่านวิทยุใต้ดินออนไลน์ที่ออกอากาศจากลาวให้ออกมาสนับสนุนการต่อสู้ของวัดพระธรรมกาย
แถมยังยอมรับอย่างหน้าชื่นตาบานด้วยว่า ตนเองมีความผูกพันกับบรรดาศิษย์พระธมฺมชโย มาแต่สมัยเคลื่อนไหวเรียกร้องประชาธิปไตย ในนามกลุ่มปทุมธานีรักประชาธิปไตย ก่อนที่จะเปลี่ยนเกมหลังมีคำขอร้องว่าอย่ามายุ่งเพราะจะทำให้วัดถูกเชื่อมโยงกับการไม่เอาสถาบัน
ถนนทุกสายอันเป็นพันธมิตรของลัทธิธรรมกาย พากันปกป้องพระธัมมชโย โดยที่ไม่ได้เคยสนใจไยดีเลยว่า “เจ้าลัทธิ” ผู้นี้ทำผิดกฎหมายและปฏิเสธกระบวนการยุติธรรมของไทย
ในขณะที่ “รัฐบาลทหาร” กำลังติดลมบน ในทางตรงข้ามกับ “ระบบทักษิณ” ที่เมื่อไม่มีเลือกตั้งก็สาละวันเตี้ยลงๆ “อาณาจักรธรรมกาย” จึงกลายเป็นฐานที่มั่น-ปราการด่านสุดท้ายที่ทักษิณและลิ่วล้อต้องพิทักษ์รักษาไว้ให้ได้
นช.ทักษิณหนีคดีและออกไปเร่ร่อนอยู่ต่างประเทศฉันใด พระธัมมชโยที่ไม่ยอมเข้ามอบตัวเพื่อรับทราบข้อกล่าวหาตามหมายจับก็เป็นเช่นนั้น
ทั้งสองคนใช้ยุทธิวิธีการต่อสู้เดียวกันอย่างไม่มีผิดเพี้ยน
นี่คือการหลอมรวมของกลุ่มการเมืองและลัทธิความเชื่อให้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน
ประเทศไทยในยุคอนัตตาครองเมืองช่างน่าหวาดหวั่นและน่าหวาดกลัวยิ่งนัก สาธุ....