ผู้จัดการสุดสัปดาห์ -ในช่วงเวลานี้ตามหลักโหราศาสตร์ ผู้รู้เขาบอกว่าดาวมฤตยูหันเข้าสู่ราศีเมษ “เข้าทับดวงเมือง” บรรยากาศอึมครึมประมาณเหตุการณ์ช่วงเสียกรุงศรีอยุธยาครั้ง 2 ไม่รู้จะจริงตามนั้นหรือไม่ เพราะว่าไปแล้วเหตุบ้าน-การเมือง ภาพรวมรัฐบาลก็ยังเอาอยู่ จะมีรอยปริอยู่บ้างก็ไม่น่าจะเป็นเรื่องราวใหญ่โตอะไรนัก เพียง..ขออย่าตระบัดสัตย์ อะไรที่เคยสัญญิงสัญญา ก็ว่ากันตามนั้น
แต่ที่เหมือนตอนอยุธยาใกล้แตก น่าจะเป็นบรรยากาศภายในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ !!??
เรื่องที่สั่นสะเทือนวงการสีกากีอย่างหนักเห็นอยู่ 3 เรื่อง คือ 1. การตัดสินใจยุบแท่งสอบสวน 2.เรื่องวุ่นๆ ในการแต่งตั้งโยกย้ายตำรวจระดับนายพัน 3. พฤติการณ์ฉาวโฉ่ของตำรวจหลายหน่วยงาน มีทั้งกรณีตำรวจรุมซ้อมนักศึกษา ตำรวจปฏิบัติหน้าที่ค้านความรู้สึกของประชาชน จากกรณี 6 โจ๋ ซึ่งมีอยู่ 3 คนเป็นลูกตำรวจรุมทำร้ายคนพิการจนเสียชีวิต ล่าสุดคือ การบุกทะลายซ่อง “นาตารี” และเป็นที่ประจักษ์ว่ามีขบวนการค้ามนุษย์ใจกลางเมืองหลวง โดยตำรวจบางคนจากหน่วยงานหลักอย่างน้อยๆ 3 หน่วย ร่วมรู้เห็นเป็นใจ ถึงขั้นเป็นตัวการสนับสนุนให้มีการทำความผิด
เรื่องราวต่างๆ เชื่อว่าท่านที่สนใจติดตามคงจะรับทราบไปในหลายแง่มุมแล้ว โดยข่าวจบลงที่ทางการสั่งปิดตายสถานบริการอาบอบนวด หรือ ซ่องโสเภณี “นาตารี” ไปอย่างไม่มีกำหนด ส่วนเจ้าของคือ เสี่ย ล. ขณะนี้ยังกบดานซุ่มดูท่าทีว่าอำนาจรัฐจะเอาจริงเอาจังขนาดไหน ซึ่งหากว่ากันตามเนื้อผ้าก็คงจะต้องดำเนินคดีในข้อหาค้ามนุษย์ อันมีอัตราโทษสูง มีโอกาสติดคุกติดตะรางและถูกยึดทรัพย์
อีกทางหนึ่งคือ เจ้าหน้าที่ตามรายชื่อในบัญชีหางว่าว ใครเป็นใครที่รับส่วยน้ำกาม หรือเข้าข่ายบกพร่องในหน้าที่ ตอนนี้ฝ่ายตำรวจนครบาลโดย พล.ต.ท.ศานิตย์ มหถาวร รรท.ผบช.น. สั่งให้ พล.ต.ต.วิชาญญ์วัชร์ บริรักษ์กุล ผบก.น.1 ออกคำสั่งเด้ง 4 เสือ สถานีตำรวจนครบาลห้วยขวาง ประกอบด้วยพ.ต.อ.กิตติพงศ์ วิเศษสงวน ผกก. พ.ต.ท.ศาสตร์ศักดิ์ ชัยประเสริฐ รองผกก.ป. พ.ต.ท.จีระพล ประพันธ์จันทร์ สว.สส. และพ.ต.ท.ศุภัทร สวัสดี สวป. ไปประจำศูนย์ปฏิบัติการกองบังคับการตำรวจนคราบาล 1 พร้อมกับแต่งตั้ง พ.ต.อ.ชยุต มารยาทร์ รองผบก.น.1 รักษาการแทน ผกก.สน.ห้วยขวาง
เรียกว่าจับปุ๊บ (หน้าแหก) ปั๊บ ก็จัดการย้ายอย่างทันควัน...เหลือเพียงแต่ว่า ต่อไปจะตั้งนายตำรวจคนใดมาเป็นหัวหน้าพนักงานสอบสวน ซึ่งคาดเดาได้ล่วงหน้าว่า คงไม่พ้นตำรวจใน บก.น.1 เป็นคนคุ้นหน้าคุ้นตาสอบเอาผิดกันเอง
ข่าวจบลงตรงนี้แต่ในโลกออนไลน์ หรือความรู้สึกของประชาชนกลุ่มใหญ่เขายังไม่ยอมจบ!!??
มีคนเขียนตารางส่วยเปรียบเทียบหน่วยงานใดรับมาก รับน้อย บ้างก็ว่า ตม. หรือสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง ได้ส่วยมากกว่าหน่วยอื่น เพราะมีอำนาจหน้าที่เกี่ยวกับหญิงต่างด้าว ส่วนสันติบาลที่รับส่วยมียอดสูงเป็นเบอร์สอง ก็วิเคราะห์กันว่าในยุคความมั่นคงหากไม่ให้ความสำคัญ เจ้าของสถานบริการอาจจะมีปัญหา อันดับสาม ดส. หรือกองกำกับการสวัสดิภาพเด็กและสตรี มีรายรับไม่น้อยหน้าไปกว่าใครก็เพราะโสเภณี “นาตารี” มีเด็กหลายคน ขืนจ่ายน้อยหนทางทำมาหากินคงไม่สะดวก
วิจารณ์กันอย่างไม่เกรงใจกัน แถมด้วยข้อคิดเตือนให้ประชาชนอย่างไว้ใจทาง อย่างวางใจตำรวจ (บางคน) เพราะหากมีพลเมืองดีอยากช่วยสาวบริการไปให้ข้อมูลกับทนายภิภพ จ่าเค้ก ดาบสมนึก รองพงษ์ศักดิ์ หรือ ตำรวจท่องเที่ยว ตำรวจสันติบาล สืบห้วยขวาง ตำรวจ ตม. ตำรวจ ดส.อะไรจะเกิดขึ้น...
ว่ากันไปถึงขนาดนั้น !!??
“ปฏิบัติการสังขร” เที่ยวนี้แม้จะส่งผลดีต่อภาพลักษณ์ให้กับรัฐบาลไทยที่แสดงให้เห็นว่าเรามีความจริงใจกวาดล้างขบวนการค้ามนุษย์ตามเจตนารมณ์ของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ที่ต้องการให้ประเทศไทยหลุดจาก Watch list ค้ามนุษย์จากองค์กรโลก แต่อีกด้าน “ความจริง” ที่ปรากฏกลับมาทำลายภาพลักษณ์ของประเทศไทยอย่างยับเยิน นั่นเพราะมีตำรวจบางนาย - บางคน จาก 4 หน่วยงานหลัก คือ กองบัญชาการตำรวจนครบาล -สันติบาล -สอบสวนกลาง ( ตำรวจท่องเที่ยว)-ตรวจคนเข้าเมือง เข้ามาร่วมมีผลประโยชน์ด้วย
แต่ในฐานะเจ้าของพื้นที่ คือกองบัญชาการตำรวจนครบาล แม้ น.1 จะมีคำสั่งย้าย 4 นายตำรวจระดับหัวของ สน.ห้วยขวาง ไปประจำ ศปก.บก.น.1 ตามแบบฉบับที่ตำรวจไทยนิยมทำกัน ขออนุญาตแสดงความคิดเห็นว่า แค่นี้คงยังไม่พอ
อย่าลืมว่า นี่ไม่ใช่การจับบ่อนพนัน หรือแค่ปล่อยปละละเลยให้สถานบริการเปิดเกินเวลา แต่นี่คือการขัดนโยบายระดับประเทศ และถือเป็นเดิมพันที่คนไทยกว่า 60 ล้าน ต้องร่วมเผชิญไม่ว่าจะเป็นมาตราการกีดกันทางการค้าไทย ซึ่งมีมูลค่านับแสนล้านบาท
แค่เพียงปัญหาค้ามนุษย์จากเรือประมงก็แทบปางตายแล้ว ยังมีการค้ามนุษย์ในรูปแบบโสเภณีเด็กบำเรอให้กับนักเที่ยวไทย และนักท่องเที่ยวต่างชาติ ท่านรักษาการ ผบช.น. จะมาจบกันง่ายๆ ใช้มุกเก่าๆมันคงไม่ได้
มีข้อมูลของ NVADER หรือองค์กรเอกชนที่ต่อต้านการค้ามนุษย์ และเป็นผู้ให้ข้อมูลกรมการปกครอง บุกจับซ่องนาตารี ระบุว่า ประมาณรายได้จากการท่องเที่ยวทางเพศในบ้านเราเมื่อปี คศ.2003 การขายบริการทางเพศในไทยเป็นอุตสาหกรรมมูลค่ากว่า 4.3 พันล้านดอลล่าร์สหรัฐ หรือคิดเป็น 3% ของจีดีพี. โดยนักท่องเที่ยว 10 ล้านคน 60 % เป็นชาย และ 70 % หรือ 4,200,000 คน ตั้งใจมาเที่ยวเรื่องเพศโดยเฉพาะ
ผู้เขียนวิเคราะห์ต่อยอดให้ฟรีๆว่า เม็ดเงินจำนวนมหาศาลนี้ตกเป็นของคน 3 กลุ่มคือ 1. หญิงที่สมัครใจค้าประเวณี 2. ขบวนการค้ามนุษย์ และ 3. เจ้าหน้าที่รัฐที่รู้เห็นเป็นใจ
บัญชีส่วยนาตารี ที่สังคมได้เห็นจึงเป็นเพียง “น้ำจิ้ม” เพราะของจริงต้องว่ากันถึง 7-8 หลัก กระจายไปยังตัวบิ๊กๆ ผู้มีอำนาจหน้าที่ !!??
หากรัฐบาลจะฉวยจังหวะนี้แสดงความจริงใจ และส่งสัญญาณไปยังข้าราชการทุกหน่วยให้ยึดเป็นบรรทัดฐาน ก็ต้องลงทัณฑ์ผู้เกี่ยวข้องมาก หรือน้อย ตามความจริงที่ปรากฏ ซึ่งไม่พ้นกองบัญชาการตำรวจนครบาล เป็นหลัก
นอกจาก พล.ต.ท.ศานิตย์ มหถาวร รรท.ผบช.น. ยังมีรอง ผบช.น. 12 คน...ถามว่ารอง ผบช.น. 1 โหล พอดิบพอดีนั้นเอามาทำอะไร เหตุใดจึงปล่อยให้มีการค้ามนุษย์อย่างโจ๋งครึ่มใจกลางกรุงเทพ ทั้งที่อยู่ใก้ลหูใก้ลตาศูนย์อำนาจมากที่สุด..แถมยังมีตำรวจ 191 ฝ่ายสืบสวนนครบาล กองกำกับการสวัสดิภาพเด็กและสตรี...มือไม้เหล่านี้ไปทำอะไร...ถูกม่านกระดาษสีเทาปิดตา หรือไร้ซึ่งความสามารถ
ในส่วนของกองบังคับการตำรวจนครบาล 1 ซึ่งเป็นผู้บังคับบัญชาสายตรง สน.ห้วยขวาง นอกจากพล.ต.ต.วิชาญญ์วัชร์ บริรักษ์กุล ผบก.น.1 ยังมีนายตำรวจระดับรอง ผบก.อีก 6-7 คน...มีคำถามเดียวกันว่า “ท่ารองฯ ครึ่งโหล” วันๆ ไปทำอะไรกัน
ความล้มเหลวที่เกิดขึ้นคนที่เจ็บปวดแต่อยู่ในอาการ “พูดไม่ออก-บอกไม่ถูก” คงไม่พ้นท่านผู้มีอำนาจทั้งหลาย เพราะนายตำรวจที่มาอยู่ในหน่วยงานหลักก็ล้วนแต่คนคุ้นเคยที่ไว้เนื้อเชื่อใจ หวังว่าให้มาช่วยกันสร้างสรรค์สังคมให้มันดีกว่ายุคนักการเมืองมีอำนาจ...ที่ไหนได้กลับหนักหนาสาหัสกว่า
ทั้ง “เด็กปั้น” และ “ผู้ใหญ่” ตัวดี...ลับหลังแปลงกายเป็นเหลือบ ทำลายเจตนารมณ์ของผู้หลักผู้ใหญ่ในบ้านเมืองเสียเอง !!??