ผู้จัดการสุดสัปดาห์ -มีข้าราชการตำรวจหลายคนโทรศัพท์มาระบายทุกข์ด้วย ส่วนใหญ่เกี่ยวกับปัญหาการแต่งตั้งโยกย้ายตำรวจซึ่งเคยบอกพวกเขาไปว่า ก็คงช่วยได้แค่นำความคิดเห็น หรือแง่มุมต่างๆ ที่เป็นประโยชน์เสนอไปยังผู้มีอำนาจได้ไปพิจารณา และในส่วนความผิดปกติที่เรา-ท่าน มองเห็นกันอยู่ก็จะนำออกมาตีแผ่ให้สังคมไทยได้ทราบกัน
เฉพาะเรื่องการแต่งตั้ง-โยกย้ายตำรวจระดับนายพันที่ผ่านมานั้น ในส่วนของสื่อผู้จัดการ ทั้งนสพ. โทรทัศน์ และ MGRออนไลน์ ได้เสนอในทุกแง่ทุกมุม เรียกว่าทั้งพูดทั้งเขียนจนปากเปียกปากแฉะ แต่ทุกอย่างยังเหมือนเดิม คือไม่มีอะไรเป็นความหวัง ลุกลามไปจนถึงการปฏิรูปตำรวจ ซึ่งที่สุดแล้วอาจจะเป็น“ปฏิลวง”เพราะถ้าตำรวจไม่เอาด้วย แม้จะเกิดประโยชน์แก่ประชาชนหรือส่วนรวม แม้รัฐธรรมนูญฉบับรอการลงประชามติ นี้ออกมาแล้ว 1 ปี 2-3-4-5 ปี ก็คงมองไม่เห็น
วิจารณ์-ตีแผ่ทุกมุม จนเกิดเหตุการณ์คุกคามเอาน้ำมันเบรกไปราดรถถึงบ้าน ซึ่งในขณะนี้ยังจับมือใครดมไม่ได้ และไม่อยากจะเชื่อว่า หลังเกิดเรื่องมากว่า 2 เดือน ทุกอย่างยังเงียบกริบ ตำรวจทุกกระดับของ สน.โชคชัย ไม่เคยโผ่ลหน้ามาสอบถาม หรือเยี่ยมเยียนให้ผู้เสียหายได้อุ่นใจ
วันนี้นายตำรวจรุ่น 47 กระจายอยู่ในตำแหน่งหลักทั่วทุกกองบัญชาการ นครบาล ตรวจคนเข้าเมือง ตำรวจภาค 1-9 สอบสวนกลาง เรียกว่า“หัวหมู่ทะลวงฟัน”ของรุ่น คือ จ.หวานเจี๊ยบ สามารถทำได้ตามที่ประกาศไว้จริงๆ
ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นในฐานะที่เป็นนักข่าวสายอาชญากรรม ผ่านร้อนผ่านหนาวมามาก ได้มีโอกาสเห็นธาตุแท้ของตำรวจมาหลายรุ่น ปรากฏการณ์เที่ยวนี้แม้จะรุนแรง น่าเกลียดน่าชังอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน แต่ในความละม้ายคล้ายเหมือนคือ“สนิมเนื้อในตน”แท้ที่จริงตำรวจนั่นแหละ คือคนทำลายองค์กรของตัวเองจึงมีคำปลอบประโลมใจให้พวกผิดหวังทั้งหลายรอวัน “ฟ้าเปลี่ยนสี”แล้วก็อาจจะ เห็นสิ่งดีๆ ที่เข้ามาเปลี่ยนแปลง ไม่ก็เขาสู่วงจรอุบาทว์กันเหมือนเดิม คือ พวกใครพวกมัน เป็นเรื่องของสมบัติผลัดกันชม
แต่สิ่งที่น่าเสียดาย หรือถึงกับเสียใจก็คือ ในยุคปฏิรูปประเทศซึ่งคณะทหารโดยการนำของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) และนายกรัฐมนตรี กลับละเลยไม่ให้ความสำคัญเร่งด่วนในการปฏิรูปตำรวจ
นอกจากไม่ปฏิรูปแล้วยังมีขบวนการ“ดึง”ให้องค์กรตำรวจถอยหลัง(ลงคลอง) จนน่าวิตกว่าสุดท้ายแล้ว ประเทศชาติและประชาชนจะเป็นผู้รับเคราะห์กรรมอย่างแน่นอน ลำดับเหตุการณ์มาตั้งแต่การยุบแท่งพนักงานสอบสวน ซึ่งถือว่าเป็นกลุ่มผู้ชำนาญในสายวิชาชีพ ในส่วนพนักงานสอบสวนนอกจากต้องใช้ความเชี่ยวชาญเฉพาะแล้วนี่คือต้นธารของความยุติธรรม
จุดแข็งของ พงส. คือสามารถเติบโตได้ตามขั้นตอน ไม่จำเป็นต้องวิ่งเต้น (มาก) เหมือนกับสายอื่นๆ เพราะพนักงานสอบสวนทุกคนต้องผ่านการอบรม และผ่านการสอบจากสถาบันส่งเสริมการสอบสวนฯ จาก สบ.1-2-3 หรือรองสารวัตร เลื่อนไหลเป็น สบ. 4-5-6 หรือเทียบเท่ากับตำรวจสายอื่น คือ รองสารวัตร นอกจากเงินเดือนที่มีอยู่จะได้ค่าตอบแทนทางวิชีพอีกรายละ 1.2 หมื่นบาท บวกกับเงินเดือน 1.5 หมื่น เป็น 2.7 หมื่นบาท ตำรวจระดับนี้ซึ่งไม่มีผลประโยชน์ด้านอื่นยังพอประทังชีพไปได้
จากระดับรองสารวัตร มาเป็นสารวัตรสายสอบสวน มีค่าตอบแทนทางวิชาชีพให้ 1.5 หมื่นบาท รอง ผกก. 1.7 หมื่นบาท และ ผกก. 2 หมื่นบาท เมื่อยุบแท่งสอบสวนไปแล้ว ต่อจากนี้ไปไม่จำเป็นต้องสอบเพื่อผ่านเกณฑ์การเป็น สบ.ในระดับต่างๆ
ไม่ต้องใช้ “ฝีมือ”แต่ให้ใช้ “ฝีตีน”กับ “ฝีปาก”ในการวิ่งเต้น-โลมเลียผู้มีอำนาจให้สนับสนุน
ปัญหาการยุบแท่งสอบสวน แม้จะยังไม่เห็นผลชัดเจนในห้วงเวลานี้ แต่ต่อไปจะต้องเกิดขึ้นอย่างแน่นอน เพราะตำรวจบางคนไม่มีความสามารถ หรือมีความชำนาญเฉพาะด้านเข้ามาทำหน้าที่ จุดเริ่มต้นการทำสำนวนคดีเพื่อจะมัดตัวผู้กระทำผิดจนถึงตอนจบคงวุ่นวายถึงขั้นโกลาหล เพราะนอกจากการเอาบุคลากร “ผิดฝาผิดฝั่ง”มาทำหน้าที่แล้ว ระดับ ผกก.ผู้ชำนาญ อีกกว่า 700 ตำแหน่ง ตอนนี้นั่งตบยุงในตำแหน่งประจำในแต่ละกองบัญชาการ
3 เดือน รายได้หายไป ยังลูกผีลูกคนว่ากระทรวงการคลังจะตีความว่าอย่างไร ในเมื่อมีการยุบแท่งพนักงานสอบสวนไปแล้ว จากที่เคยอยู่ในข่ายมีความชำนาญเฉพาะในสายวิชาชีพ กลายเป็นข้าราชการตำรวจปกติทั่วไป หากเงินประจำตำแหน่งตรงนี้ถูกคลังยึดกลับไป ตำรวจสายสอบสวนคงกลายเป็นสายงานที่ไม่มีใครอยากเข้ามาสัมผัส แท่งสอบสวนที่ถูกผู้มีอำนาจทุบทิ้งไปนั้นคือ การเริ่มต้นของปัญหาทั้งหมด....ตามด้วยกฎ-ระเบียบการแต่งตั้ง-โยกย้ายข้าราชการตำรวจ ซึ่งนายกรัฐมนตรี อีกนั่นแหละเป็นผู้ยก มาตรา 44 ให้กับสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ต้มยำทำแกง..ย้ายตำรวจทุกระดับกันอย่างอำเภอใจ
ต่อจากการแต่งตั้ง-โยกย้ายตำรวจสุดอัปยศ ก็คือ คดี 6 วัยรุ่นลูกตำรวจทำร้ายร่างกายชายพิการ จนเสียชีวิต เรื่องนี้ไม่น่าเชื่อว่าจะกลายเป็นบาดแผลสร้างความเจ็บปวดระหว่างประชาชนกับตำรวจอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน ขณะที่ฝ่ายตำรวจยังคงมีจุดยืนอย่างเหนียวแน่น ส่วนประชาชน สู้จนยิบตา หากสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เป็นบริษัทมหาชน ป่านนี้คงล้มละลายไปแล้ว ต้นทุนที่ว่าต่ำอาจจะดิ่งลงเหวจนกู่ไม่กลับ
แล้วความเน่าฉาวโฉ่ก็โผล่มาอีก จากกรณีฝ่ายปกครองบุกเข้าจับอาบ อบ นวด “นาตารี”หรือที่แท้จริงก็คือซ่องโสเณีกลางกรุง มีเด็กหญิงอายุต่ำกว่า 18 และส่วนใหญ่เป็นคนต่างด้าวกว่า 100 คน ถูกจับดำเนินคดีทั้งหมด พร้อมกับบัญชีส่วยที่จ่ายให้กับหน่วยงานต่างๆที่ขึ้นตรงกับ “สำนักงานตำรวจแห่งชาติ”อาทิ ตำรวจนครบาล ตำรวจสันติบาล ตำรวจท่องเที่ยว ตำรวจตรวจคนเข้าเมือง ตำรวจสวัสดิภาพสตรีและเด็ก
ตำรวจไทยถูกประจานจนขายขี้หน้าไปทั่วโลก เพราะนอกจากสื่อไทยพากันเล่นข่าวกันอย่างครึกโครมแล้ว สื่อนอกยังนำเสนอรายละเอียดของขบวนการค้ามนุษย์ ในรูปแบบซ่องโสเภณียกระดับในเมืองหลวง อยู่ใก้ลศูนย์อำนาจแค่ปลายจมูกอีกด้วย
หลังเกิดเรื่องอื้อฉาว ตำรวจที่เกี่ยวข้องถูกย้ายด่วนจากพื้นที่รวมไปถึงตำแหน่ง ผบก. ซึ่งถือเป็นผู้รับผิดชอบระดับสูงสุดของพื้นที่ พร้อมกับคำมั่นของทีมโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ว่าจะจัดการกับผู้มีรายชื่อเข้าไปเกี่ยวข้องกับขบวนการค้ามนุษย์อย่างไม่เกรงหน้าอินทร์หน้าพรหม หรือพะวงกับการลูบหน้าปะจมูกทั้งสิ้น
เวลาผ่านไป 2 สัปดาห์ มีเพียงออกหมายจับเจ้าของสถานบริการ ซึ่งยังตามหาตัวไม่เจอ ส่วนเจ้าหน้าที่ผู้ปรากฏรายชื่อ ยังไม่มีวี่แววความคืบหน้าของการสอบสวน หรือทุกอย่างจะกลับมาแบบเดิมๆ คือไม่พบคนผิด ไม่เจอคนรับส่วย และไม่มีเจ้าหน้าที่ตำรวจคนใดแม้แต่รายเดียว ที่เข้าไปสนับสนุนขบวนการค้ามนุษย์
ต้นสัปดาห์ที่ผ่านมา พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี กำกับดูแลสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เข้าร่วมประชุมคณะกรรมการข้าราชการตำรวจ พร้อมกับการออกข่าวของ สตช.ว่า ด้วยกฎ ก.ตร.ใหม่เพื่อแต่งตั้ง-โยกย้ายข้าราชการตำรวจ โดยระบุชัดเจนว่า ยังจำเป็นต้องใช้ระบบ “ฟาสต์แทร็ก”เพื่อเปิดโอกาสให้คนที่มีความสามารถ ทำงานดี ทุ่มเท เสียสละ มีโอกาสเติบโตเร็ว
ท่านคงไม่ทราบว่า เสียงฮือที่ได้ยินจากตำรวจจำนวนมากที่เขาร่วมประชุมนั้น เขารู้สึกกันอย่างไร และยิ่งมอบหมายให้ พล.ต.อ.พงศพัศ พงษ์เจริญ รอง ผบ.ตร. คนที่จะเกษียณอายุราชการ ในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้านี้ เข้ามาทำหน้าที่รับผิดชอบก็ต้องบอกว่า นี่คือลูกไม้เดิม เป็นแผนเก่าๆ ที่ “พงศพัศ” เพียงหนังหนาไฟ เป็นกระโถน เพื่อรองรับเสลด-น้ำลาย เพราะภารกิจที่ได้รับมอบหมายทั้งการยุบแท่งพนักงานสอบสวน -การแต่งตั้งโยกย้ายระดับนายพัน หรือ อาจรวมไปถึงกรณีส่วยนาตารี ที่นายตำรวจผู้นี้อยู่ในฐานะ รอง ผบ.ตร. ผู้กำกับดูแลกองบัญชาการตำรวจนครบาล....ท่านมีผลงานอะไรให้เป็นที่ยอมรับกันบ้าง
ทั้งหลายที่ยกมานี้คือความล้มเหลวของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ และน่าประหลาดใจเป็นอย่างยิ่งที่ดันมาเกิดในช่วงระหว่างการปฏิรูปประเทศ ปัญหาการแต่งตั้งโยกย้ายหรืออื่นๆ ว่าไปแล้วหากคิดจะแก้ไขกันจริงๆ คงไม่ต้องไปกำหนดกฎเกณฑ์อะไรให้มันเป็นเรื่องยุ่งยาก เพราะหากทุกคนยังขาดคุณธรรม ยังคงยึดผลประโยชน์ของตัวกับพวกพ้อง เรื่องง่ายๆ ก็ยังคงเป็นเรื่องยากที่ประชาชนอย่างเราๆท่านๆ รวมทั้งข้าราชการตำรวจอีก 2 แสนกว่าคน ควรหูตาสว่างกันเสียที